อือ…
เสียงครางเบาดังขึ้นอย่างงัวเงีย มาจากเอลฟ์สาวแสนงดงามผู้นอนอยู่บนเตียงของชิน
โอลิเวียบิดขี้เกียจ แม้หลับจนเต็มอิ่มแต่ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอ แสดงความเกียจคร้านที่แอบซ่อนภายใต้หน้ากากกุลสตรีผู้เรียบร้อยและเย็นชา
แต่จะทำอย่างไรได้… เพราะนอกหน้าต่างแสงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าเข้าสู่ราตรีแห่งฝัน ท้องฟ้าสีส้มทำให้สติตื่นตัวไม่เต็มที่และเคยชินเสียที
ถึงแบบนั้น… ราตรีนี่แหละคือเวลาสำคัญของโอลิเวียในการรับใช้ผู้เป็นนาย เธอจึงยันร่างอันหนักอึ้งของตัวเองขึ้นจากเตียง
สิ่งที่เธอมองหาเป็นอย่างแรกคือชิน… เขากำลังสวมผ้ากันเปื้อนทำอาหารอยู่ตรงเคาน์เตอร์ กลิ่นชีสอันเป็นเอกลักษณ์ของอาหารที่ทำลอยมาเตะจมูก นั่นทำให้เธอตื่นเต็มที่
“ตื่นแล้วสินะ” ชินเอ่ยทัก รู้ตัวเช่นกันว่าโอลิเวียตื่นแล้ว
“ขออภัยด้วยค่ะที่ตื่นไม่ทันเวลาเตรียมอาหาร”
โอลิเวียรู้สึกผิดจนคอตก เธอรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปข้าง ๆ ชิน ดูเหมือนเขากำลังทำสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า
“ดิฉันช่วยนะคะ” โอลิเวียขยับเข้ามาใกล้ชิน ทำเขาเริ่มหน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย พอชินหันหน้าหนีไปอีกทางก็ทำโอลิเวียเอียงคอสงสัย
“…แต่งตัวให้มันเรียบร้อยหน่อย”
ชินเสียงสั่นประหม่า โอลิเวียจึงเริ่มรู้ตัวว่าชุดเดรสที่สวมอยู่มันหลุดลุ่ยไปหมดเพราะเธอนอนดิ้น หากไม่มีหน้าอกขนาดใหญ่คอยรั้งไว้เสื้อเธออาจร่วงลงไปถึงเอวแล้วด้วยซ้ำ
แต่ถึงจะไม่เป็นแบบนั้น มันก็ยังเปิดเผยผิวกายของโอลิเวียจนเกือบจะเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเช่นกัน
น่ารักเสียจริงนะคะมาสเตอร์
โอลิเวียเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของชินแล้วอมยิ้มหยอกเย้า แต่คิดว่ารีบช่วยชินทำอาหารคงจะเป็นประโยชน์กับเขามากกว่า
โอลิเวียรีบจัดเสื้อผ้าตัวเองใหม่แล้วเดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม เธอไม่ได้ขอโทษที่แต่งกายไม่เหมาะสมเพราะแอบจงใจอยู่หน่อย ๆ ถึงสุดท้ายมันจะทำให้ตัวเองรู้สึกประหม่าตามไปด้วย จนแอบคิดขึ้นมาว่า “แบบนี้มันน่าอายกว่าที่คิด”
โอลิเวียพยายามสลัดความคิดนั้นของตัวเองทิ้งไปก่อนเพราะมีเวลาหยอดใส่ชินอีกเหลือเฟือ เธอจึงรีบเดินเข้ามาช่วยชินทำอาหารและจัดจาน
อาหารที่ช่วยกันทำสองคนเสร็จในเวลาไม่นาน ทั้งคู่นั่งทานที่โต๊ะเล็ก
และด้วยความที่โต๊ะมีขนาดเล็ก บางครั้งมือและขาของทั้งคู่ก็สัมผัสกัน อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใกล้ชิดกับผู้ร่วมโต๊ะ
“เรานี่เหมือนคู่แต่งงานใหม่เลยนะคะ ว่าไหมชิน” โอลิเวียอมยิ้มคิกคักเบา ๆ ทำหน้าขี้แกล้ง ทำให้ชินถึงกับคิ้วกระตุก
“…ถ้ายังไม่เลิกพูดล้อเล่นแบบนั้นอีก ฉันจะยึดข้าวเย็นนะ”
แก้มชินแดงระเรื่อเห็นชัดว่าไม่ได้หงุดหงิด เขาทำทีหันไปกินข้าวเหมือนไม่สนใจ ได้แต่แอบคิดว่า ‘แกล้งฉันนี่มันสนุกตรงไหนกันนะ’
ในทางกลับกัน โอลิเวียยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกดีใจที่เขาหวั่นไหว
“ตายจริง ขออภัยด้วยค่ะ เป็นสามีภรรยาที่อยู่กินกันมานานมากกว่าสินะคะ”
“เธอเนี่ยนะ”
ชินตอบเสียงสั่น เป้นที่ชอบใจของโอลิเวียจนเธอยกมือขึ้นป้องปากหัวเราะ
เวลาแบบนี้สำหรับเธอถือเป็นเรื่องสนุก… หรือพูดให้ถูกคือ เวลาที่ได้อยู่กับชินคือเวลาที่เธอมีความสุข และเธอก็หวังว่าชินเองจะรู้สึกแบบเดียวกัน
แต่เวลาแบบนี้ก็มักสั้นเสมอ ต่อให้เป็นที่โรงเรียนก็ยังไม่สามารถใกล้ชิดชินได้ เพราะไม่อยากถูกจับตามองเกินไป
โอลิเวียมองลอดผ่านหน้าต่างออกไป แสงอาทิตย์อัสดงคล้อยลงต่ำและมอดดับ แปรเปลี่ยนเป็นราตรีมืดมิด
เกิดความรู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเช่นเดียวกับชิน
“กลางคืนมาถึงแล้ว”
แววตาชินเปลี่ยนไปเป็นคมกริบ แต่น้ำเสียงยังคงบอกไม่ถูกว่าเหงาหงอยหรือดีใจเหมือนอย่างเคย
โอลิเวียคิดว่าบางทีคงเป็นทั้งสองอย่างผสมกันแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
แม้เธอจะอยากให้ช่วงเวลาแบบนี้คงอยู่ตลอดไปเช่นไร แต่กระนั้น… โอลิเวียก็เลือกทำแบบเดิมไม่เปลี่ยน
“ค่ะ… มาสเตอร์” โอลิเวียตอบรับคำพูดของชินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปคมกริบแบบเดียวกับเขา
สิ่งที่เธอทำยังคงมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการอุทิศทุกสิ่งเหนือความต้องการตัวเองแด่เจ้านาย
ไม่สิ… สิ่งที่เธอทำ คือการอุทิศทุกสิ่งแด่ชายผู้เป็นที่รักของเธอต่างหาก
❖❖❖❖❖
พื้นที่ชายแดนระหว่างประเทศ คือพื้นที่ที่มีความละเอียดอ่อนในแง่ความสัมพันธ์ของสองประเทศมากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ต้องจัดกำลังเฝ้าระวัง ซึ่งระยะห่างระหว่างตะเข็บชายแดนถึงจุดเฝ้าระวังก็แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องที่เพราะมีสนธิสัญญาแตกต่างกัน
และสำหรับเขตชายแดนระหว่างเขตประเทศที่ 66 กับ 855 นั้น มีระยะห่างจากตะเข็บชายแดนราว 10 กิโลเมตร หรือในอีกนัยนึง หมายความว่ากองกำลังของทั้งสองประเทศนั้นอยู่ห่างกันราว 20 กิโลเมตรนั่นเอง
แต่เช่นไรก็ตาม… นั่นไม่ส่งผลต่อการลอบเข้าประเทศของชินและโอลิเวียเลยซักนิด
ทั้งสองคนตอนนี้อยู่ในชุดปฏิบัติการของตัวเอง อยู่ในจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อยจากกองกำลังของประเทศเขต 66 ที่กำลังเดินตรวจตราอยู่ ชินสังเกตพวกนั้นจากในพุ่มไม้ ส่วนโอลิเวียกำลังทำการป้อนข้อมูลสภาพแวดล้อมที่จำเป็นใส่ระบบโอเปอร์เรชั่นของชุดทั้งสองคนเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
“หลบเลี่ยงการตรวจจับจากดาวเทียมสำเร็จ… จะเปิดระบบพรางตัวแล้วนะคะมาสเตอร์”
เสียงของโอลิเวียดังเข้ามาในตัวหน้ากาก นอกจากเป็นการสื่อสารระยะไกลแล้วตัวหน้ากากยังสามารถกันเสียงไม่ให้ออกไปด้านนอกได้ด้วย
ส่วนทางชินได้ยินโอลิเวียก็พยักหน้ากลับ
“งั้นเริ่มเลย”
แล้วสั่งการเริ่มปฏิบัติการ
ทั้งสองคนเดินออกมาจากป่าโดยไร้ความกังวลเสมือนเดินอยู่สวนหลังบ้าน พื้นรองเท้าที่ออกแบบมาเป็นพิเศษทำให้ไม่เกิดเสียงขณะที่เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ
พวกเขาเดินไปจนถึงระยะที่ห่างจากหน่วยลาดตระเวนเพียงแค่ 1 เมตร เรียกได้ว่าแทบจะประจันหน้ากันอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าพวกทหารลาดตระเวนไม่ตอบสนองใด ๆ
เห็นได้ชัดว่าระบบพรางตัวแสดงประสิทธิภาพราวกิ้งก่าเปลี่ยนสี การลักลอบข้ามประเทศของพวกชินสำเร็จอย่างดงาม
ก้าวที่สองของพวกชินพาพวกเขาห่างออกไปยังจุดที่ไม่มีทหารลาดตระเวนหรือตรงกลางระหว่างเขตประเทศทั้งสองพอดี
เพราะแม้พวกทหารจะมองไม่เห็น แต่หากพวกชินทำอะไรเสียงดังหรือมีผลกับสภาพแวดล้อม สิ่งนั้นก็ยังมองเห็นได้อยู่ ซึ่งระยะห่างตอนนี้นับว่าเพียงพอแล้ว
“ฝากด้วยนะโกลเด้นด็อก”
“เช่นนั้นขอเสียมารยาทนะคะมาสเตอร์”
โอลิเวียพยักหน้ารับพร้อมกับยื่นมือขวาไปทางชิน ชินก็เอื้อมจับมือของโอลิเวียก่อนที่เธอจะเริ่มทำบางอย่าง
“ ‘สายลมเอ๋ย จงตอบรับเรา… ช่วยโอบล้อมเราให้โบยบินดังเช่นสายลมบนท้องนภาด้วยเถิด’ ”
สิ้นสุดคำร่ายของโอลิเวีย พริบตานั้นสายลมทั่วทิศก็เริ่มไหลเข้ามาโอบร่างของทั้งเธอและชินเอาไว้
มันค่อยพัดร่างของทั้งสองคนสูงขึ้น นายทหารซึ่งกำลังตรวจตราห่างออกไปได้แต่ยกมือขึ้นจับหมวกตัวเองไม่ให้ปลิวไปตามลม
‘เวทมนตร์’ คือสิทธิพิเศษของเผ่าพันธุ์เอลฟ์
มันคือพลังที่สามารถยืมพลังจากธรรมชาติมาใช้ได้ หมวดหมู่ธาตุที่ครอบคลุมนั้นได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ น้ำแข็งและสายฟ้า
แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเอลฟ์ทุกคนจะสามารถใช้ได้ทั้ง 6 ธาตุเสมอไป หากจะว่ากันตามตรง เอลฟ์ส่วนใหญ่โดยกำเนิดนั้นสามารถใช้เวทย์มนได้เพียง 1 ธาตุเท่านั้น หรือ 2 ธาตุเองก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ หาก 3-4 ธาตุขึ้นไปนั้นยิ่งถือได้ว่าเป็นพรสวรรค์ระดับฟ้าประทานในรอบ 100 หรือ 1,000 ปีจะปรากฏให้เห็น
จำนวนประเภทเวทย์มนที่ถือครองคือ 1 ใน 2 ตัวแปรที่ใช้ตัดสินพรสวรรค์ของเอลฟ์ ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือจำนวนวงเวทย์ที่ใช้ได้พร้อมกันในครั้งเดียว โดยทั่วไปจะเฉลี่ยอยู่ที่ 3 วงเวทย์ต่อครั้ง หรือระดับขั้นสูงขึ้นมาหน่อยคือ 5 และ 7 วงเวทย์พร้อมกันตามลำดับ
แต่หากยึดมาตรฐานเช่นนั้น… โอลิเวียคงเป็นผู้มีพรสวรรค์ในรอบ 10,000 ปี เพราะเธอสามารถใช้ได้ครบทั้ง 6 ธาตุ แถมยังสามารถใช้ได้พร้อมกัน 10 วงเวทย์อย่างสบาย ๆ และจำนวนสูงสุดที่เธอเคยใช้พร้อมกันนั้นก็มากถึง 22 วงเวทย์ต่อครั้ง
เช่นนั้นแล้ว หากจะเรียกเธอว่าอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะก็คงไม่เกินเลย
…แม้ว่าความจริงแล้วนั่นจะยังเป็นแค่ส่วนหนึ่งของพลังทั้งหมดของเธอก็ตามที
พูดกันตามตรง… หากว่าเธอไม่ปิดบังเรื่องนี้ การงานอาชีพและชีวิตของเธอ จะต้องรุ่งโรจน์และโรยด้วยกลับกลีบกุหลาบอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สำหรับตัวโอลิเวีย… เธอรู้สึกว่าพลังอันมากมายมหาศาลทั้งหมดของเธอ มันเป็นเพียงของต้องสาปอันน่ารังเกียจเท่านั้น เธอจึงไม่เคยคิดจะเปิดเผยมันให้ใครรู้นอกจากชิน ผู้ซึ่งเป็นคนบอกกับเธอว่ามันไม่ใช่คำสาปหากแต่เป็นพร ชายผู้ซึ่งทำให้โอลิเวียยอมรับพลังของตัวเองและยอมรับในตัวเอง จนใช้พลังได้อย่างคล่องแคล่วไม่ตะขิดตะขวงใจ
แต่เช่นไรก็ตาม… แม้จะมีพลังมากมายเพียงใด แต่มันย่อมมีข้อจำกัดทางกายภาพของเผ่าพันธุ์ และสำหรับเอลฟ์มันก็คือ ‘พลังเวท’
แต่พลังเวทนี้ไม่ใช่พลังงานที่มีอยู่ตามธรรมชาติแต่อย่างใด
โดยปกติภายในธรรมชาติจะมีพลังงานที่เรียกว่า ‘จิต’ กระจายอยู่โดยทั่วไป แล้วแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะทำการดูดซับมันเข้ามาในร่างอยู่เสมอด้วยอัตราคงที่อย่างช้า ๆ และจะเพิ่มอัตราการดูดซึมได้ในตอนที่นอนหลับหรือในสภาวะที่คลื่นสมองต่ำนั่นเอง
จากนั้นแต่ละเผ่าพันธุ์ก็จะดูดซับ ‘จิต’ เข้ามาในร่างแล้วเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานเฉพาะของแต่ละเผ่า ซึ่งสำหรับเอลฟ์อย่างโอลิเวียก็คือ ‘พลังเวท’ นั่นเอง
ดังนั้น ต่อให้สามารถใช้พลังได้หลากหลายแค่ไหนแต่อัตราดูดซับก็ยังคงที่ การใช้พลังเวทต่อเนื่องจึงมีโอกาสทำให้เหนื่อยล้าได้ โดยเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์จำนวนมากอย่างโอลิเวีย
“ถ้าเหนื่อยก็พักก่อนก็ได้นะโกลเด้นด็อก”
นั่นเป็นเหตุที่ชินกังวลเรื่องนั้น
ตอนนี้ทั้งสองคนลอยคว้างอยู่บนท้องฟ้าเหนือพื้นดินกว่า 100 เมตร กำลังลอยเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้านด้วยความเร็วคงที่
นี่เป็นวิธีเดียวกับที่ทั้งสองคนเดินทางจากกรุงเทพมาจนถึงชายแดน ชินจึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง แถมโอลิเวียยังใช้การร่ายเพื่อให้เวทมนตร์คงสภาพได้ดีกว่าการใช้เวทย์แบบไม่ร่ายอีก พลังเวทที่ใช้จึงยิ่งมากขึ้น
ส่วนสาเหตุว่าทำไมโอลิเวียจึงทำเช่นนั้น ก็แน่อยู่แล้วว่าเธอต้องการลดโอกาสที่เวทย์มนจะเกิดผลลัพธ์ประหลาดขึ้น (Error) ในตอนที่ใช้มันกับชิน
ที่เธอใช้เวทแบบร่ายที่เสียเวลาและกินพลังเวทย์มากกว่าปกติก็เพื่อความปลอดภัยของชิน… เหมือนที่ผ่านมา
“ขอบคุณมากค่ะมาสเตอร์ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ… คิดว่าดิฉันเป็นใครกันล่ะคะ” น้ำเสียงโอลิเวียยังคงปกติแถมแฝงด้วยความโอ้อวดอย่างน่ารักน่าชัง ภายใต้หน้ากากคงปรากฏรอยยิ้มด้วยความดีใจที่ถูกเป็นห่วงมากกว่าจะเหนื่อยล้าเหมือนเคย
“อวดดีน่าดูนี่ แต่ก็จริงของเธอล่ะนะ”
ทั้งสองหัวเราะแห้งเพราะเรื่องความแข็งแกร่งของโอลิเวียเป็นของจริง
โอลิเวียพาชินลดระยะห่างระหว่างตะเข็บชายแดนเข้าไปจนถึงเขตกองกำลังของประเทศคัมบาช่าอย่างง่ายดาย
ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ระยะทางกว่า 20 กิโลเมตรก็ถูกร่นลงจนหมดราวกับเป็นเรื่องโกหก ทั้งสองคนเข้าไปในเขตชุมชนที่อยู่ใกล้ตัวเมืองที่สุดแล้วก็ร่อนลงอย่างเงียบเชียบ
สภาพโดยรอบยังคงเป็นป่าหนาและมีหมู่บ้านการเกษตรอยู่ประปราย ทั้งสองคนสังเกตบริเวณรอบ ๆ ว่าไม่มีใครแล้วก็เข้าไปแอบแถวยุ้งฉาง
ชินเริ่มเปิดแผนที่ของบริเวณนี้ดูด้วยโฮโลวอชเพื่อเริ่มแผนจริง ๆ ของวันนี้
“จุดที่เราจะไปสังเกตการณ์มีอยู่สามจุดที่คาดว่าจะเกิดเหตุวิวาทขึ้น”
“จุดที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไป 2 กิโลสินะคะ”
โอลิเวียทำการบ้านมาดีตามเคย ชินพยักหน้ารับคำของเธอ
จากข้อมูลที่ลองหาดู นอกจากกระทู้นั้นแล้วก็ยังมีกระทู้อื่นพูดถึงอยู่พอสมควร
ทั้งหมดเกิดในสถานที่ที่ไร้ผู้คนในช่วงเวลาประมาณเที่ยงคืนถึงตี 3 ในบริเวณนอกตัวเมืองชายแดน
เพราะงั้นเลยจำกัดวงการค้นหาจนเหลือแค่ไม่กี่ที่
อย่างจุดที่ใกล้ที่สุดที่กำลังจะไปก็เป็นโกดังที่ถูกทิ้งร้างไปหลายปี ถ้าจะทำอะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็น เป็นฉันก็จะเลือกที่แบบนั้นเหมือนกัน
แต่ประเด็นก็คือที่แบบนั้นมีหลายที่… ถ้าหากไปถูกก็คงดี
“คราวนี้เป็นการสอดแนมงั้นเหรอคะ?” โอลิเวียถามเพื่อความแน่ใจจะได้ไม่ทำอะไรเกินเหตุ ชินพยักหน้ารับเธออีกครั้งหลังจากครุ่นคิด
“ใช่… แค่มาดูว่าข่าวลือเป็นเรื่องจริงไหม ถ้าใช่ก็เก็บข้อมูลให้มากที่สุด แล้วก็ถอนทัพ…”
“สมกับเป็นมาสเตอร์… ทราบแล้วค่ะ”
โอลิเวียกล่าวชื่นชมแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ชินกลับเสียดายอยู่ในใจที่ทำได้แค่นี้
บางทีคงมีแผนที่ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้เราก็คิดได้เท่านี้แหละ
กับเป้าหมายที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงรึเปล่าแถมยังไม่รู้ทั้งจำนวน ประเภทอาชญากร องค์กรที่สังกัด คนที่หนุนหลังหรืออะไรก็ตามแต่ คงไปเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ ไม่ได้
เอาไว้รู้ว่าเป็นใครแล้วค่อยตามล่าก็ได้… ถึงตอนนั้นก็คงไม่สายเกินไปหรอก
ชินตัดสินใจอย่างรอบคอบเช่นนั้นก่อนออกเดิน
❖❖❖❖❖
โกดังร้างขนาดใหญ่ถูกตั้งทิ้งไว้ท่ามกลางตู้คอนเทนเนอร์จำนวนมาก ขยะจำพวกถุงพลาสติก แก้วน้ำรวมถึงถุงขนมมีเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่ามันเป็นแหล่งซ่องสุมของเด็กวัยรุ่นแถวนี้แทนที่จะเป็นแหล่งกบดานของอาชญากรดังเช่นที่ชินหวัง
ทั้งสองคนย่องเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง ภายในยิ่งแสดงให้เห็นร่องรอยการเข้า-ออกแบบลวก ๆ ของคนกลุ่มเล็กหลายกลุ่ม ทั้งยังทิ้งหลักฐานที่ไม่จำเป็นอย่างกล่องข้าวและขวดเครื่องดื่มที่ยังใหม่ ของที่มีมาก่อนอยู่แล้วจำพวกแท่งเหล็กที่ใช้ก่อสร้างก็ไม่มีวี่แววว่าถูกดัดแปลงหรือเคลื่อนย้าย
กล่าวโดยสรุปคือ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้หรือสิ่งที่น่าจะเป็นฐานทัพลับ หรือสิ่งที่น่าจะเกี่ยวกับเป้าหมายของชินได้เลยสักอย่างเดียว
“เสียเที่ยวไปหนึ่งที่สินะ” ชินพูดออกมาอย่างเสียดายเหมือนเคย
เอาเถอะ… จะให้สุ่มถูกตั้งแต่ที่แรกมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วล่ะนะ
ชินคิดปลอบใจตัวเอง ถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
“งั้นรีบไปที่ต่อไปกัน————”
ตู้ม!!!!
ก่อนที่จะพูดได้จนจบประโยค อยู่ ๆ หลังคาของโกดังซึ่งอยู่ในจุดที่ห่างออกไป 50 เมตรก็พังทลายตกลงพื้นอย่างแรงจนพื้นถึงกับแตกกระแหงไปทั่ว
ทั้งชินและโอลิเวียตอบสนองในทันทีด้วยการพุ่งไปหลบหลังกองเหล็กก่อสร้างในทันที
นั่นเพราะระบบอัจฉริยะในหน้ากากของทั้งคู่ตรวจจับความร้อนของสิ่งมีชีวิต… ตรวจสอบพบคนสองคนอยู่ตรงกลางของจุดที่ถล่มลงมา
แจคพ๊อตแตกงั้นเหรอ?
หัวใจของชินสั่นระรัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนจนถึงกับเผลอยิ้มออกมา เขาให้สัญญาณมือบอกกับโอลิเวียว่า ‘รอดูสถานการณ์ก่อน’
ทั้งสองคนมองเข้าไปตรงจุดที่เป็นกลุ่มควัน เริ่มเปิดระบบกรองข้อมูลให้เห็นเฉพาะเท่าที่จำเป็นแถมยังพร้อมจะเปลี่ยนเป็นโหมดต่อสู้ได้ทุกเมื่อเตรียมไว้
แต่ก่อนที่จะเริ่มทำแบบนั้น ควันก็ถูกพัดออกไปเนื่องจากหนึ่งในสองคนใช้บางสิ่งที่เป็นแท่งเหล็กยาวเหวี่ยงในแนวนอน พริบตาต่อมาคือเสียงของเหล็กนั่นกระทบเข้ากับวัตถุมีคมของอีกคน
และเมื่อภาพชัดเจนขึ้น… จึงได้รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หอกคู่และดาบของทั้งสองคนเข้าปะทะกัน
ทำไมคนสองคนที่ถืออาวุธดูใช้งานยากแบบนั้นถึงมาอยู่ในที่แบบนี้… คำถามแบบนั้นผุดขึ้นมาอย่างแรกในหัวของชิน แต่คำถามต่อมาคือสภาพของทั้งสองคนมากกว่า
ผู้ใช้หอกคู่นั้นสวมเสื้อคลุมพร้อมเกราะเบาบริเวณหน้าอก ภายใต้เกราะเบานั้นคือเสื้อรัดรูปสีเขียวลวดลายสีแดง มันเผยให้เห็นกล้ามเนื้ออกและท้องที่ผ่านการกรำศึกมาเป็นอย่างดี แต่นั่นยังไม่โดดเด่นเท่ากับหน้ากากลิงเผือกลวดลายคล้ายคลึงกับหัวโขนหนุมานที่เขากำลังสวม
เฉกเช่นเดียวกับอีกคนที่ใช้ดาบสองคมมือเดียวในการต่อสู้ เขาสวมเกราะเบาสีส้มเข้มลายขาวคลุมทั้งตัวรวมถึงปลอกแขนและหน้าแข้งราวกับสวมบทบาทเป็นเสือ และที่โดดเด่นกว่าอุปกรณ์สวมใส่ ชายคนนี้เองก็สวมหน้ากากเสือโคร่งที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีส้มจากพู่กัน
ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากันหลังแลกคมอาวุธไปชุดใหญ่เมื่อครู่ ก่อนจะเริ่มหันคมอาวุธตัวเองเข้าหาอีกฝ่ายอีกครั้ง
“ฝีมือแกร่งกล้าอย่างที่เขาร่ำลือจริงนะครับคุณลิงเผือก” ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งเอ่ยอย่างภาคภูมิ แต่กลับดูเยาะเย้ยศัตรู ตรงข้ามกับปากว่า
น้ำเสียงที่ถูกดัดแปลงผ่านหน้ากากเพื่อปิดบังตัวตนยังดัดแปลงน้ำเสียงอันเย่อหยิ่งนั่นไม่ได้
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายที่ใช้หอกคู่นั้นจะไม่สนใจเล่นสงครามน้ำลาย
หอกทั้งสองเล่มที่มีการออกแบบคล้ายคลึงกันแต่คนละสีอย่างดำและขาวเริ่มถูกออร่าสีแดงเข้าปกคลุมในทันที
“แกนี่มัน… พูดมากชะมัดเลยว้อย!”
ชายสวมหน้ากากหนุมานผู้ถือครองหอกคู่ตะโกนลั่นด้วยความโกรธกริ้ว รู้สึกเหมือนถูกปั่นหัว
พริบตานั้น เขาถีบพื้นพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูง พร้อมกับง้างหอกสองเล่มหวังพุ่งเข้าแทง
“เกือบไป ๆ”
แต่ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งก็ใช้คมอาวุธตัวเองปัดป้องหอกแรกออกไป และหลบคมหอกอีกอันที่พุ่งเข้ามาได้อย่างฉิวเฉียด เขาหมุนตัวลงต่ำหวังเตะตัดขา แต่ชายสวมหน้ากากหนุมานก็กระโดดตีกังลาไปด้านหลังได้ทัน
หนนี้ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งพุ่งเข้าไปหาและกระหน่ำฟันโจมตีอย่างต่อเนื่อง ทั้งความแม่นยำ ความหนักหน่วงรวมถึงเทคนิคที่ใช้ต่างเป็นของระดับสูง แต่ชายสวมหน้ากากหนุมานที่สามารถปัดป้องและโจมตีสวนกลับไปได้เองก็สุดยอดไม่แพ้กัน
แค่ดูก็รู้แล้ว… สองคนนี้แข็งแกร่งมาก
ความสามารถจัดอยู่ในระดับสูงทั้งที่ยังไม่ได้ใช้พลังอะไรมากมาย
ว่าแต่เจ้าพวกนี้เป็นใครกัน? สู้กันด้วยเหตุผลอะไร? ทำไมต้องปิดบังตัวตน?
คำถามจำนวนมากผุดขึ้นในหัวของชินอีกครั้ง เช่นเดียวกับโอลิเวียที่สังเกตเงียบ ๆ เพื่อเก็บข้อมูลของศัตรูให้มากที่สุด
ทางด้านการต่อสู้ของหอกคู่กับดาบรุนแรงและหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาถีบพื้นออกห่างจากกันเพื่อหยุดพักหายใจ
แต่แม้จะพูดว่าพักหายใจมันก็เป็นแค่คำเปรียบเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงพวกเขาไม่มีแม้แต่อาการหอบเลยซักนิด
“ดูเหมือนถ้าไม่เอาจริงคงไล่คุณออกจากประเทศนี้ไม่ได้สินะครับเนี่ย” ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งพูดเหมือนกับจะชม แต่ท่าทางของเขากำลังดูถูกอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
“เฮอะ! ถ้าทำได้อย่างปากว่าก็เอาเด้!”
เป็นอีกครั้งที่ชายสวมหน้ากากหนุมานถูกอีกฝ่ายปั่นหัวเอาง่าย ๆ
ในจังหวะเดียวกัน ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งก็ยกฝ่ามือขวาขึ้น
คิดจะทำอะไรกัน?
ชินคิดเหตุผลที่ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งทำแบบนั้นไม่ออก
ในทางกลับกัน ฝ่ายชายสวมหน้ากากหนุมานเห็นท่าทางนั้น เขาก็รีบยกหอกคู่ขึ้นมาตั้งรับอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
วูม!!!
“!!!!?”
พริบตานั้นคำตอบก็ออกมา… หลังฝ่ามือซ้ายคนละข้างกับที่เขาถือดาบได้ปรากฏสัญลักษณ์รูปดาบสองเล่มไขว้กันโดยมีฉากหลังเป็นโล่ราวสัญลักษณ์ของอัศวิน
…และเป็นพริบตาเดียวกับที่มันส่องแสงสีแดงเพลิงไปทั่วทั้งบริเวณนั้น สะท้อนเข้ามาถึงดวงตาของชิน
แสงแบบนั้นมัน!
ชินไม่มีวันลืม… แม้สัญลักษณ์และสีของแสงจะไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่วิธีการที่แสงทอดออกมาจากรอยสักปริศนานั่นชินยังคงจำได้เสมือนเพิ่งเห็นมันมาเมื่อวาน
แสงสีแดงเพลิงนั่นทำชินนึกถึงทะเลเพลิงที่กลืนกินบ้านเกิดของเขา… แสงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับฆาตกรเป้าหมายของชิน ชินรู้ได้ในทันทีว่ามันเป็นของประเภทเดียวกัน
ทางโอลิเวียที่เห็นชินนิ่งไปเองก็รู้ด้วยเช่นกัน… เพราะเธอเองก็เห็นมันกับตาพร้อมกับชินเมื่อ 12 ปีก่อน
ในที่สุด… ในที่สุดก็เจอเบาะแสสำคัญ!
เวลาที่ใช้ตามล่ากว่าสองปีไม่ได้สูญเปล่าแล้ว
ทีนี้เราก็แค่สืบเรื่องของเจ้าพวกนี้————
“แหม… ดูเหมือนที่นี่จะมีคนอื่นนอกจากเราด้วยนะครับ”
คำพูดของชายสวมหน้ากากเสือโคร่งทำให้วงจรความคิดของชินและโอลิเวียหยุดชะงัก ขาของทั้งคู่หยุดกึกในทันที
ความสับสนเข้าเกาะกุมความคิดทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรู้ตัวทั้งที่ใช้โหมดพรางตัวจนแม้แต่กองทัพเขตที่ 1 ยังไม่อาจตรวจจับได้
แต่นั่นไม่สำคัญอีกแล้ว… ทั้งชินและโอลิเวียตั้งท่ารับมือศัตรูขึ้นพร้อมกัน ส่วนชายสวมหน้ากากหนุมานซึ่งยังไม่รู้ตัวตนของชินก็เอาแต่ทำท่างงงวย
“ไม่อยากทำแบบนี้ซะด้วยสิ… ถึงจะรู้ไปก็เท่านั้นก็เถอะ แต่ผมไม่ใช่ประเภทที่จะปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหลซะด้วย”
ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งหันคมดาบมายังจุดที่ชินและโอลิเวียยืนอยู่อย่างแม่นยำ เป็นการยืนยันว่าหมอนี่รู้ตำแหน่งของชินและโอลิเวียจริง ๆ ทำเอาทั้งสองคนเสียวสันหลังวาบ
ชายสวมหน้ากากเสือโคร่งทำการตวัดดาบในทิศทางที่ชินและโอลิเวียยืนอยู่
หมอนี่คิดจะทำอะไรอีก?
ชินสงสัยและพยายามระแวดระวังเพราะคิดว่าเป็นการขู่ เนื่องจากตรวจจับการโจมตีใด ๆ ไม่ได้เลยสักนิด
ฟุ่บ!
กระทั่งกำแพงด้านหลังของชินและโอลิเวียได้เกิดรอยบาดขนาดใหญ่ขึ้นเป็นแนวยาว
พริบตาต่อมาผนังโกดังด้านหลังของชินก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วน พังทลายลงราวกับเต้าหู้ถูกหั่น
เช่นเดียวกับโอลิเวียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา… มันเกิดขึ้นแค่พริบตาเดียวเท่านั้น เร็วเสียจนชินยังตั้งตัวไม่ทันและได้แต่เบิกตาโพลง
…พริบตาที่ศีรษะของโอลิเวียหลุดออกจากบ่ากระดอนพื้น จนโลหิตสีแดงฉานย้อมอาบไปทั่วบริเวณจากร่างไร้หัวของเธอ
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION