————เวลา 21.00 น. , นอกเมืองปารีส
ณ เมืองย่อยที่อยู่ข้างเขียงเมืองหลวงต่างประเทศ แทบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับคืนวานที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มคนปริศนา
ตึกรามพังทลาย ถนนเป็นหลุมอุกกาบาต เสาไฟล้มพับ และบ้านเรือนหลังคาเปิด… สภาพใจกลางเมืองย่อยแห่งนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในคืนเดียว ทั้งอย่างนั้นกลับไม่มีข่าวหรือโทรทัศน์ใด ๆ พูดถึงเรื่องนี้
กระทั่งคนที่เคยอาศัยในเมืองยังไม่ได้กลับมาดูบ้านตัวเองด้วยซ้ำ แม้แต่อาหารที่ทำทิ้งไว้เมื่อคืนยังวางบนโต๊ะอยู่เลย
และสาเหตุที่เกิดเรื่องประหลาดแบบนั้น… ก็ต้องขอบคุณผู้ครองดินแดนอย่างเซอร์เคย์
เขาได้ใช้อำนาจของตราอัศวินเพื่อจูงใจให้ผู้คนออกไปจากเขตปะทะ ชาวเมืองแห่งนี้จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ และข่าวสารก็ไม่แพร่กระจายสู่คนทั่วไปด้วย
เท่านั้นไม่พอ… เซอร์เคย์ยังทำตัวสมหน้าที่ เขายังคงปักหลักอยู่ที่เมืองแห่งนี้แม้จะขับไล่ศัตรูไปได้ตั้งแต่เมื่อคืน
แต่นั่นก็เพราะเขารู้ว่าศัตรูจะไม่รามือ
เพียงปะทะกันครั้งเดียว เขาก็รู้แล้วว่าหลงเป็นชายนิสัยมุมานะ และไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
เขาจึงนั่งรออยู่บนถนนเส้นเดิมตั้งแต่เมื่อวาน รอต้อนรับผู้บุกรุกซึ่งรู้ว่าต้องกลับมาแน่
แต่การไม่รู้เวลานี่แหละคือปัญหาที่ทำให้เจ้าตัวหงุดหงิด
“…รอจนเงกแล้วเนี่ย”
เซอร์เคย์บ่นหน่ายนั่งชันเข่าไม่สบอารมณ์ โกรธเหมือนคู่ค้ามาผิดนัด
…ทั้งที่ตัวเองก็เหลวแหลกดื่มเหล้ามาจนถึงเมื่อกี้ เหล้าหลายสิบขวดยังกองอยู่บนพื้นข้าง ๆ เขาอยู่เลย
ไม่ว่าเจ้าตัวจะยอมรับหรือไม่ แต่ความอดทนที่หมดลงนั้นมาจากเหล้าที่เตรียมมาหมด มากกว่าที่รอศัตรูต่างหาก
รู้งี้ซื้อมาเยอะกว่านี้ก็ดีหรอก
เจ้าตัวถอนหายใจเบื่อสุด ๆ
เขาลุกขึ้นตัวตรงราวกับแอลกอฮอล์ไม่มีผล และทั้งที่บ่นอุบไปอย่างนั้น เขากลับจะเดินไปซื้อเหล้ามาเพิ่มอีก
…แต่ดูเหมือนโอกาสนั้นจะหมดลงเสียแล้ว
“!!!?”
เซอร์เคย์สัมผัสได้ถึงตัวตนที่เดินตามถนนเข้ามาหา
หนนี้ศัตรูไม่มีการซ่อนตัวใด ๆ พวกเขาเดินทัพเข้ามาปะทะแบบซึ่งหน้า
ประกอบด้วยหนิว ทู่ สู่ที่ปะทะกันไปในยกแรกเมื่อวานก่อนและแพ้ไป นำหน้ามาโดยหลง นักรบผู้ที่สูสีกับเขาเมื่อคืนจนต้องพักยกกันไปก่อน
ทุกคนพกอาวุธประจำกาย สวมเกราะและปิดบังตัวตนด้วยหน้ากากอันเดิมของเมื่อคืน ต่างแค่ว่ามาพร้อมกัน
และเพราะการปรากฏตัวของหลง ความตื่นเต้นจึงกลับมาสู่กายของเซอร์เคย์อีกครั้ง
“นึกว่าจะไม่มีซะแล้ว ท่านมังกร” เซอร์เคย์ฉีกยิ้มใต้หมวกเกราะอัศวิน การต่อสู้เมื่อวานยังทำเขาเนื้อเต้นไม่หาย
…แต่สำหรับเรื่องนั้น หลงเองก็เหมือนกัน
“อา…” หลงหยุดเท้าตอนที่ห่างกับเซอร์เคย์สิบเมตร เป็นระยะที่เขาร่นไปได้ในชั่วอึดใจ
ราวกับเป็นเส้นแบ่งก่อนการเข้าปะทะ เซอร์เคย์อ่านออกจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้จะเข้าบุกทันที
“หืม? พวกเจ้ารออะไรอยู่ล่ะ?”
“…”
หลงไม่เปิดปากตอบทันที รู้สึกเป็นเรื่องยากที่จะพูด
…แต่ไม่ว่าเขาจะลำบากใจอะไรอยู่ เขาก็กำจัดความลังเลได้ในเวลาอึดใจ
หลงตั้งมือทั้งสองขึ้นตามกระบวนท่าแรกเริ่ม หนิว ทู่และสู่เห็นก็ยกขวาน หมัดและมีดสั้นประจำตนขึ้นพร้อมตาม
เซอร์เคย์เห็นความพร้อมเพรียงนี้ก็เดาความลำบากใจของหลงได้ทันที
“อ้อ… ศึก 4 ต่อ 1 มันไม่รู้สึกยุติธรรมสำหรับเจ้าสินะ”
“ฉันไม่ขอแก้ตัวอะไรละกัน”
หนนี้หลงตอบกลับทันทีไม่มีสะดุด เขาเป็นชายที่หากตัดสินใจแล้วจะไม่กลับมาลังเลอีกแม้ว่ามันจะขัดใจก็ตาม
ตรงจุดนั้นยิ่งถูกใจเซอร์เคย์
“ทำเป็นคิดเล็กคิดน้อยไปได้ สงครามที่ไหนเขาสนเรื่องจำนวนเล่า” เซอร์เคย์แบะมือเหมือนไม่คิดมาก ส่วนตัวแล้วเขาก็ไม่ได้คิดว่าเรื่องรุมเป็นเรื่องผิด
“…” แต่ทางหลงไม่สนเรื่องนั้นอีกแล้ว
จะทั้งความรู้สึกผิดหรือศักดิ์ศรีก็ไม่อาจทำลายโฟกัสของเขาลง แววตาภายใต้หน้ากากจดจ้องไปยังเซอร์เคย์อย่างแน่วแน่ราวพญาอินทรีจ้องโฉบเหยื่อ
เซอร์เคย์สัมผัสความจริงจังนั้นได้จึงชักดาบออกจากฝักและตั้งท่าไปทางทั้งสี่คน
ลมหายใจผสมแอลกอฮอล์ถูกลมพัดหายเหลือไว้แต่แววตาคมกริบจริงจัง สะท้อนหลงผู้จริงจังยิ่งกว่า
มือเขากำแน่นเผยความหงุดหงิด แต่แววตาที่เพ่งโฟกัสของเขาไม่สั่นคลอนสูญเสียเป้าหมาย
โทษทีนะอัศวินเอ๋ย แต่ราชินีของเราต้องได้รู้ความจริง ท่านถึงจะก้าวต่อไปได้
เพราะงั้น… ศึกนี้เราต้องชนะเท่านั้น!
หลงเตรียมใจสละศักดิ์ศรีเพื่อผู้เป็นนายและง้างหมัด เซอร์เคย์เองก็ง้างดาบไปด้านหลังตอบสนอง
สองฝ่ายย่อเท้าลงพร้อมกัน จิตวิญญาณนักสู้ส่งแรงถีบพื้นพุ่งเข้าหาศัตรู
ตู้ม!!!
หมัดเหล็กของมังกร และคมดาบของอัศวินปะทะกันลั่นท้องฟ้า
ศึกที่จะแพ้ไม่ได้… โอกาสสุดท้ายของพวกชงหยวนได้เริ่มขึ้นแล้ว
❖❖❖❖❖
————เวลาเดียวกัน, ห้องบอลรูมของโรงแรมที่พวกชินเข้าพัก
หลังจากเดินเที่ยวบนถนนชื่อดังของปารีสในช่วงกลางวันจนหนำใจ เหล่านักเรียนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเพราะรอให้ถึงกิจกรรมช่วงหัวค่ำ
นั่นคือ งานเลี้ยงสไตล์ยุโรป
ในห้องบอลรูมขนาดจุได้ถึงร้อยคน ภายในถูกตกแต่งด้วยผ้าม่านสีนวลโทนเดียวกับแสงสบายตา ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม ช่างดูเหมาะกับธีมเดรสราตรีในงานเต้นรำของชนชั้นสูง
ทว่าความงามไม่อาจสู้น้ำย่อยในกระเพาะได้ เหล่านักเรียนผู้หิวโหยและอดทนรอบุฟเฟ่ต์นานาชาติมาตลอดช่วงเย็นถึงรุมกันอยู่ที่โซนโต๊ะอาหาร
จะลานกว้างตรงกลางสำหรับเต้นรำ หรือริมห้องที่มีการจัดเตรียมสถานที่ไว้ถ่ายรูป เลยกลายเป็นว่าไม่มีใครอยู่เลย นอกจากคณะกรรมการทัศนศึกษากับเหล่าผองเพื่อน
อันประกอบไปด้วยชิน โอลิเวีย เกวนและซูซานในชุดเดรส รวมเป็นกลุ่มคนเหงาอยู่ใกล้ซุ้มสำหรับถ่ายภาพที่ระลึก
“แบบนี้ถือว่าเหนื่อยเปล่าไหมคะเนี่ย” ซูซานหน้าบูดบึ้ง เหลือบมองป้ายซุ้มและม้านั่งที่ช่วยกันเตรียมกับกรรมการ ซึ่งไม่มีใครมาเลยสักคน
พอเทียบกันแล้ว… พวกโต๊ะอาหารบุฟเฟ่ต์นั้นเต็มไปด้วยกองทัพนักเรียนเข้าไปตัก และยืนกินยังกับฝูงมด ซูซานเห็นแล้วทั้งสงสารทั้งหงุดหงิด
“ช่วยไม่ได้นี่นา เรื่องกินมันเรื่องใหญ่นี่เนาะ” เกวนยิ้มแห้ง ๆ มองตามซูซาน เธอเองถ้าไม่ติดเรื่องมารยาทยังอยากพุ่งไปกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนร่วมชั้นเลย
…ถึงสาเหตุหลักจะเป็นเพราะไม่อยากถูกชินมองว่าเป็นผู้หญิงตะกละก็เถอะ
แต่พอเกวนแอบมองชิน เขากลับกำลังอมยิ้มมองพวกเคนเนธเหมือนเอ็นดูมากกว่า เดิมทีเขาคงไม่ใช่คนคิดอะไรเล็กน้อยเหมือนซูซานด้วย
แล้วดูเหมือนสายตาชื่นชมไปยังชินจะไม่ได้มีแค่เธอ… โอลิเวียเองก็กำลังเหลือบมองใบหน้าด้านข้างของชินด้วยเหมือนกัน
แต่เกวนรู้เลยว่าในแววตาโอลิเวียมีความหลงใหลมากกว่า
โอลิเวียอยู่ในโลกของเธอ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกวนก็กำลังมองเธอเหมือนกัน ราวกับความคลั่งไคล้ที่อยู่ส่วนลึกมันแสดงออกมาเป็นประกายทางตายังไงอย่างนั้น
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจหรอกนะ ก็ชินใส่สูทแล้วเหมาะกันสุด ๆ เลยนี่นา!
บรรยากาศดูต่างจากสูทของแองกริคราวน์ด้วย แบบนี้มันเท่สุด ๆ ไปเลยอ่ะ!
เกวนพยักหน้างก ๆ เข้าใจความดีงามนั้นเหมือนกัน
…แต่ไม่รู้จ้องมากไปหรืออย่างไร ซูซานที่อยู่ใกล้กับชินมากกว่าเพราะยืนอยู่ข้างเขาถึงมองค้อนกลับมา
และที่น่าโมโห… คือซูซานเธอหรี่ตาจ้องใส่ทั้งเกวนและโอลิเวีย แถมพอรับรู้สายตาของพวกเธอ ซูซานยังขยับเข้าไปใกล้ชินมากกว่าเดิมอีก
เพราะมีไอ้ท่าทีแสดงความเป็นเจ้าของแบบนี้ เกวนกับโอลิเวียเลยยิ่งขมวดคิ้วจ้องตากลับไปด้วย เห็นชัดเลยว่าความพ่ายแพ้จากร้านเสื้อยังคุกรุ่นอยู่
คนที่ซวยเลยกลับกลายเป็นชินที่อยู่ตรงกลาง
บรรยากาศไม่ดีเลย ยังกับสมัยก่อนแน่ะ
แต่ไม่สิ… ครั้งนี้มีเกวนด้วยนี่นา
ชินนึกภาพในอดีตแล้วยิ่งเหงื่อตก เพราะหนนี้เป็นความลำบากใจคูณสาม
ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เขาไม่เคยรู้สึกว่าจะรับมือเรื่องพวกนี้ได้ดีเลย
แต่… ความวุ่นวายตรงนี้ยังไม่สามารถกลบความปั่นป่วนในใจเขาได้
ชินยังคงเตือนตัวเองมาตลอดว่ามาที่ฟรองด้วยเหตุอะไร และตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่เพื่อจุดหมายนั้น
ดวงตาเลยมองผ่านหน้าต่างออกไปอัตโนมัติ เหมือนข้างนอกนั่นมีสิ่งที่ตามหามากกว่าในห้องนี้
แถมการจะไปที่นั่น ยังต้องเคลียร์ปัญหาเก่าให้ได้ก่อนอีก
จะว่าไปแล้ว… ตอนนี้พวกชงหยวนคงกำลังยึดฟรองอยู่สินะ
เพราะว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
ชินพยายามอ่านสถานการณ์ซึ่งคงไม่ต่างไปจากนี้ คิดแล้วก็จับสังเกตชงหยวนไปด้วย
แต่เจ้าตัวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กลับกะพริบตาปริบ ๆ แล้วอมยิ้มมองช้อนเขาเสียอย่างนั้น
ท่าทางที่ดูออดอ้อนของเธอทำเอานึกถึงเมื่อก่อนจริง ๆ นั่นคือสิ่งที่ชินแอบคิด
ช่างแตกต่างจากช่วงแรกที่กลับมาเจอกัน… ตอนนั้นเธอทั้งดูน่าสงสัยและเหมือนจะซ่อนคมเล็บอันตรายไว้ตลอด ราวกับสัตว์ร้ายฝนเขี้ยวลับคมหลังผ่านมาจากโลกอันโหดร้าย
หากแต่ตอนนี้… เธอกลับดูออดอ้อนเหมือนกับเด็กผู้หญิงธรรมดา แต่ก็ยังองอาจ ซื่อตรงและเชื่อมั่นในตัวเอง
…เหมือนกับเมื่อก่อนไม่มีผิด
“เป็นอะไรไปคะชิน เขินที่ต้องเต้นรำกับฉันเหรอ?”
อาจเพราะจ้องนานเกินไปซูซานเลยเอ่ยถาม แถมยังด้วยรอยยิ้มแสบสันอีก
แต่กลับกัน เกวนกับโอลิเวียนี่หน้ามุ่ยเชียว ซึ่งนั่นแหละคือสิ่งที่ชินกลัว …โดยเฉพาะโอลิเวีย
“…ไม่ใช่หรอก แค่นึกถึงเรื่องเมื่อก่อนน่ะ”
“…เห”
ชินตอบไปตามตรงเพราะไม่มีเหตุผลให้โกหก อารมณ์ที่เปลี่ยนไปของชงหยวนมีผลกับการรับมือเธอโดยตรงจึงต้องนำมาคิดด้วย
…แต่สำหรับซูซานที่ได้ยิน รอยยิ้มเธอยิ่งกว้างเข้าไปใหญ่ เรียกว่ายิ้มจนแก้มจะปริเข้าไปแล้ว
“ “ฮึ่ม!” ”
ทำเกวนกับโอลิเวียแก้มปริเหมือนกัน แต่เป็นเพราะพวกเธอแก้มป่อง
ชินเห็นยิ่งหงอยจนเหงื่อตกไม่รู้จะทำยังไง ซูซานยิ่งเห็นยิ่งเอ็นดู
…ยิ่งยืนยันได้ว่าชายตรงหน้าคือชินตัวจริง
อาการสุภาพบุรุษทำพิษแบบนี้ เป็นชินตัวจริงชัวร์
แถมบรรยากาศที่แผ่ออกมาก็เหมือนกับทุกทีด้วย เพราะงั้นไม่ผิดตัวแน่!
งั้น… ที่เหลือก็คือยึดฟรองให้ได้
แล้วพอเสาแสงปรากฏขึ้นหลังเกิดการยึดครอง เราก็จะอยู่กับชินไปอีกสักระยะเพื่อให้ทุกคนตรวจสอบ
แล้วพอแยกกับชินไปแล้ว ทุกคนก็จะติดต่อเรากลับมาว่าชินที่อยู่กับเรามีตราราชันย์รึเปล่า
ชงหยวนทบทวนแผนในใจ ทุกอย่างถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว
จินเองก็ไม่อยู่ในห้องบอลรูม บางทีเขาคงออกไปเตรียมตัวและหาจังหวะเข้าไปช่วยพวกหลง
แผนการสมบูรณ์แล้ว
เหลือก็แต่อย่าทำตัวน่าสงสัย
ชงหยวนตัดอารมณ์จริงจังทิ้ง มองช้อนใส่ชินอีกครั้งด้วยอารมณ์อื่นที่แทรกเข้ามา
แบบนี้… จะถือว่าไม่มืออาชีพไหมนะ
ชงหยวนถามกับตัวเองที่ทิ้งงานไว้เบื้องหลังชั่วคราว เพราะหากจะแสดงอย่างแนบเนียนก็ต้องอินกับบทบาทในตอนนี้เพื่อไม่ให้ชินสงสัย
แต่จุดที่เธอเป็นห่วงแม้แต่ตัวเอง… คือชงหยวนรู้ตัวเองดี ว่าหากแสดงออกมามันจะไม่ใช่แค่การแสดง
และนั่นมันอาจทำให้เธอทำใจลำบากทีหลัง
ไม่สิ… แบบนี้แหละดีแล้ว
ชงหยวนคิดเด็ดขาด หวนนึกถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวัน
เราตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นตัวของตัวเอง
จะซื่อตรงและชนะอย่างใสสะอาด
ต่อให้… ต้องแสดงความรักแก่เขาแล้วเจ็บปวดทีหลัง แต่เราก็จะทำ!
นั่นเพราะเราเลือกเส้นทางนี้เอง… ใช่ไหมล่ะชงหยวน!
คำตอบออกมาจากการคุยกับตัวเอง เธอไม่คิดอยู่ในจุดปลอดภัยและทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ อีกแล้ว
ต่อจากนี้ไปเธอจะปล่อยหัวใจให้ไปตามธรรมชาติ ไม่ปิดกั้นความรู้สึกของตัวเอง
…ต่อให้ผลลัพธ์จะต้องกลายเป็นศัตรูกับชายที่รัก เธอก็จะไม่หลอกหรือกดความรู้สึกนี้ไว้อีกแล้ว
ชงหยวน… ซูซานก้าวนำชินออกมา มองเบื้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกเต็มเปี่ยมเช่นนั้น
“ว่าไปก็ถึงเวลาเต้นรำแล้วนะคะ แต่ไม่ยักมีใครสนใจเลย”
“…ก็นั่นน่ะสิ แต่ก็ตามคาดนี่นา”
ชินไม่คิดแปลกใจเรื่องนั้น เดิมทีจะให้นักเรียนไทยมาเต้นรำในงานยุโรปมันก็ยากอยู่แล้ว
ถึงทางโรงเรียนจะมีนโยบายในการเรียนรู้วัฒนธรรมต่างเผ่าพันธุ์และต่างประเทศ แต่เรื่องที่ไม่ชินยังไงก็ไม่ชินอยู่ดีนั่นแหละ
“ก็นั่น… สินะคะ…” ซูซานเห็นด้วย แต่สายตาแอบหลบต่ำเหมือนเขินอาย
แม้สุดท้ายจะเชิดขึ้นมองชินอยู่ดีก็ตาม
“แต่อุตส่าห์จัดทั้งที ถ้าเราไม่ทำคงเสียเปล่าแย่” ซูซานมองตรงเข้ามาที่ชินด้วยสายตาคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด
รอยยิ้มอ่อนละมุลเธอเผยเจตนาแฝง ทว่ามันไม่ได้ดำมืด… เจตนาแฝงนั้นดูจะละมุลตามรอยยิ้มของเธอในตอนนี้
งานกรรมการจะเสียเปล่าหรืออะไรไม่รู้หรอก
แต่… ขอให้ฉันได้เต้นรำกับคุณเถอะค่ะ!
เจตนาส่งมาผ่านดวงตาสั่นระรัวตื่นเต้น ดูจะใช้ความกล้าไม่เบา
การจัดงานให้สมบูรณ์ก็เป็นหน้าที่ และคู่เต้นรำก็ถูกตัดสินผ่านเกมไปแล้ว …การร้องขอรางวัลอย่างเป็นธรรมเช่นนี้ หากปฏิเสธคงรู้สึกอับอายในฐานะผู้ชายน่าดู
“นั่นสินะ” ชินรู้สึกช่วยไม่ได้ แต่ในใจของเขากลับผ่อนคลายกว่าที่คิด
เขายื่นมือออกไปทางซูซานตามมารยาท เธอก็เลิกคิ้วเบิกตาเหมือนไม่คาดคิด แต่ก็รีบจับมือของชินไว้
ก่อนที่ทั้งสองคนจะจับมือกันเดินไปกลางห้อง
“เฮ้ย ๆ ดูนั่น!”
“อย่าบอกนะว่าจะเต้นรำกัน!”
“แต่เดี๋ยวสิ นั่นมันชินไม่ใช่เหรอ!?”
เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบห้อง ทั้งตื่นเต้นทั้งเขินทั้งอิจฉา อาจารย์เลย์น่าที่ร่วมกินข้าวยังส่งเสียงวี้ดวิ่วมาให้
การปรากฏตัวของชินกับนักเรียนใหม่ดึงดูดสายตาทุกคู่จากอาหารได้หมด ทุกคนจ้องชินกับซูซานตาไม่กะพริบจนทั้งสองเดินไปถึงกลางฟลอร์
เหล่าคณะกรรมการจัดทัศนศึกษาที่คอยคุมแสงสีเสียงเห็นแล้วดีใจจนแทบจะดีดตัว เขาเลยได้ฤกษ์ทำงานและเปิดเพลงเสียที
ดนตรีเริ่มคลอส่งจังหวะเริ่ม ซูซานจีบกระโปรงโค้งอย่างมีมารยาทสมหญิง ส่วนชินเองก็โค้งรับแล้วเข้าไปจับมือเธออย่างสมชาย
ทั้งสองจับมือกัน มือข้างหนึ่งของชินสัมผัสเอวซูซาน ส่วนมือข้างหนึ่งของเธอวางบนไหล่ชิน ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มขยับเท้าไปมา
จังหวะช้าบรรเลงขึ้นอย่างนุ่มนวลสอดคล้องการเดินสลับหน้าทีหลังที แต่การเต้นเพียงแค่นั้นไม่อาจดึงดูดเหล่านักเรียนให้มาร่วมได้
ทั้งสองคนจึงปรับระดับให้สูงขึ้น… เริ่มหมุนตัวและเล่นท่า
ยามเมื่อชงหยวนเริ่มหมุน ชินก็จะจับมือเธอเป็นแกน เมื่อหมุนครบรอบเขาก็จะโอบเอวเธอไว้ให้ทรงตัว แต่ก็ยังส่งแรงพร้อมกับหมุนตัวเองไปด้วยอย่างชำนาญ
“สุดยอด!”
“เต้นกันเก่งจัง!”
คำชื่นชมมาจากนักเรียนที่อยู่รอบ ๆ พวกเขารู้สึกเหมือนได้เห็นการเต้นรำของมืออาชีพ
แต่นั่นจะแปลกอะไร… ในเมื่อคู่เต้นรำที่พวกเขาเห็น คือเจ้าชายเจ้าหญิงตัวจริงเสียงจริง
“ดูเหมือนจะสำเร็จนะคะเนี่ย”
ซูซานยิ้มภูมิใจที่สร้างแรงกระเพื่อมสำเร็จ ยิ่งเห็นว่ามีนักเรียนเริ่มจับคู่เข้ามาเต้นก็ยิ่งรู้สึกคุ้มค่า กระทั่งพวกคณะกรรมการยังชูนิ้วโป้งมาให้พวกชิน
เป็นเพราะทั้งสองคน งานเต้นรำถึงไม่จืดสนิท
“แถมเราโดนชมใหญ่เลยนะคะเนี่ย” ซูซานอมยิ้ม ดูจะดีใจเรื่องนี้มากกว่า
“เธอก็รู้เหตุผลอยู่แล้วนี่”
“เพราะเราเข้าขากันดีไงคะ”
“…ก็ไม่ใช่ครั้งแรกของเรานี่นา”
ชินตอบตามสถิติในอดีต เพราะเป็นคู่หมั้นกันจึงต้องออกงานบ่อยเป็นเรื่องปกติ จะเข้าขากันก็เป็นธรรมดา
ดูอย่างตอนนี้ ที่ทั้งสองคนเต้นท่าระดับสูงไปด้วยคุยกันไปด้วยแบบสบาย ๆ
ถึงจะไม่ได้ทำมาสิบปีกว่า แต่เห็นชัดว่ากล้ามเนื้อและร่างกายยังจดจำได้ดี
แม้สำหรับซูซานที่ใบหน้าแดงก่ำ… เธอจะใช้หัวใจจดจำสิ่งนี้มากกว่าก็ตาม
“นี่… ชิน”
“อะไรเหรอ?”
“เคยคิดไหมคะ… ว่าถ้าบ้านเกิดคุณไม่ถูกทำลาย เรื่องระหว่างเราจะเป็นยังไง”
“…”
คำถามซูซาน… คำถามชงหยวนทำชินอึ้ง แต่เขาก็ไม่ลืมความลื่นไหลและยังขยับเท้าต่อ
ทว่าแม้จะเต้นต่อไปได้ ในใจเขาก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวง
“ก็ไม่คิดยังไง… เคยบอกแล้วนี่ว่าจะไม่แตะต้องอะไรเธออยู่แล้ว” ชินย้ำเรื่องที่เคยพูดซ้ำนับครั้งไม่ถ้วน ชงหยวนก็ยิ้มขมกลับมา
“งั้นเหรอคะ น่าเสียดายจังเลยค่ะ” เจ้าตัวว่าแบบนั้นแล้วเต้นต่อไป
แม้จังหวะจะไม่ได้ช้าลง แต่ชินสัมผัสได้ว่าอารมณ์ตื่นเต้นดีใจของเธอหายไป
ชงหยวน… กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ชินไม่อยากจะคิดว่าเธอกำลังใช้มารยาหลอกล่อให้สงสาร แต่อย่างไรชินก็ไม่เชื่ออยู่แล้วเลยคิดจะปล่อยผ่าน
แต่ถึงแบบนั้น… ความรู้สึกรับผิดชอบก็ยังเกิดขึ้นอยู่
เพราะถ้าสิ่งที่ชงหยวนพูดเป็นใจจริงของเธอ ชินคงสมเพชตัวเองน่าดูที่ไม่เชื่อ
“รู้ใช่ไหมว่าฉันเชื่อใจเธอในตอนนี้ไม่ได้” สิ่งที่ทำได้เลยมีแต่พูดไปตามตรงเหมือนก่อนหน้านี้
ชงหยวนเองก็สัมผัสความปรารถนาดีนั้นได้ รอยยิ้มจึงได้กลับมา
“ฉันรู้ค่ะ” สีหน้าเธอยังคงเข้มแข็ง แม้จะถูกบอกชัดว่าเชื่อใจไม่ได้
“แต่ต้องขอโทษด้วยค่ะที่ฉันสนใจเรื่องนั้นไม่ได้เหมือนกัน” ชงหยวนมองตรงเข้ามาไม่หลบตาชิน ขณะทั้งสองหมุนวน
“ต่อให้รู้ว่าคุณไม่เชื่อ แต่ถ้าไม่ทำอะไรฉันคงเสียใจทีหลังแน่”
“…เหรอ”
ความจริงจังพุ่งตรงเข้ามา แม้จะยังเชื่อกันไม่ได้ แต่คงมีแค่เรื่องนี้ที่ชินยอมรับ
ความซื่อตรงนี้ ความเถรตรงนี้ …คือชงหยวนคนเดิมที่เคยรู้จักอย่างแน่นอน
คิดแบบนั้นความรู้สึกสบายใจก็เกิดขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย ๆ คนที่ชินรู้จักในอดีตก็ยังไม่ได้ตายจากเขาไปจนหมดทุกคน
ทั้งสองคนเต้นรำเพิ่มระดับไปเรื่อย แม้นักเรียนหลายคู่จะเข้ามาผสมโรง แต่ความโดดเด่นก็ยังจับอยู่ที่คู่ของชินกับซูซาน ความเข้าขากันของทั้งสองคนมันไม่ธรรมดาจนคนเริ่มซุบซิบในเชิงชู้สาว
และคงเป็นจุดนั้นแหละที่เกวนเริ่มทนไม่ไหว
“หนอย… บรรยากาศเป็นใจเกินไปไหมอ่ะ!” เกวนกำมือหงุดหงิดขั้นสุดอยู่ข้าง ๆ โอลิเวีย
“โอลิเวียก็พูดอะไรบ้างสิ!”
เห็นโอลิเวียที่น่าจะไม่พอใจเหมือนกันไม่พูดอะไรเลย เกวนก็ชักจะทนไม่ไหว เหมือนเป็นคนเดียวที่คุมอารมณ์ไม่ได้
แต่นั่นเป็นเพราะเสียงของเกวนไปไม่ถึง โอลิเวียเลยยังยืนนิ่งเป็นหุ่น
มันเป็นแผน มันเป็นแผน
โอลิเวียพูดซ้ำ ๆ ในใจราวกับบริกรรมพุทโธ หากไม่ทำอย่างนั้นสติเธอจะแตกซ่านเอาได้
“!!!?”
ต้องให้เกวนจิ้มแก้ม โอลิเวียถึงได้สะดุ้งกลับมาพร้อมสติ เกวนเห็นท่าทีแล้วก็เข้าใจได้เลย
“นึกว่าไม่โกรธซะอีก ที่แท้ช็อคไปแล้วนี่เอง”
“ไม่ใช่ซะหน่อยค่ะ” โอลิเวียรีบปฏิเสธเสียงแข็ง
เกวนหรี่ตามองกลับมาแบบไม่เชื่อ แต่เธอก็เห็นใจโอลิเวียเลยไม่อยากย้ำให้เจ็บช้ำ เรียกว่าเพราะเข้าใจความรู้สึกเหมือนกันนั่นแหละ
…แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นความจริงที่โอลิเวียยอมทนทั้งหมดได้เพราะมีแผนอยู่เบื้องหลัง
และเพราะนึกเรื่องนั้นขึ้นมาได้ จึงนึกเรื่องก่อนหน้านั้นได้ไปด้วย
“ว่าไปแล้ว… ‘ทางคุณ’ จะเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“อ๋อ”
เกวนหัวไว เข้าใจได้ทันทีว่าโอลิเวียหมายถึงอะไร
เกวนเหลือบมองนาฬิกาลูกตุ้มที่ห่างออกไป ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งเศษ เลยพยักหน้าตอบโอลิเวียเหมือนรู้กัน
“เริ่มตอนนี้แหละ”
❖❖❖❖❖
ขอส่งกำลังใจให้ทุกท่านที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวด้วยนะครับ
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION