————เช้าวันต่อมา, ชั้นสองของโรงแรมที่โรงเรียนของชินเข้าพัก
ช่วงเช้าตรู่ของโรงแรม บรรยากาศภายในอาคารยังคงสงบเงียบแม้จะเป็นช่วงที่กลุ่มนักเรียนมาทัศนศึกษา
แต่จะบอกว่าไม่มีนักเรียนเลยก็คงไม่ได้ เพราะคนที่ตื่นเช้ามาเตรียมตัวแต่เนิ่นและรอทานข้าวเช้าของโรงแรมก็มีอยู่บ้าง ส่วนอีกกลุ่มคือจำพวกที่ชอบสนุก คิดเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการมาเที่ยวต่างประเทศให้เต็มที่
บ้างก็ถ่ายรูปประตูบานใหญ่ของโรงแรมกับเพื่อน บ้างก็เดินดูภาพถ่ายติดโถงทางเดิน คนกลุ่มนี้จะเดินเล่นไปที่ไหนคงไม่แปลก
ต้องขอบคุณนักเรียนกลุ่มนี้ การจะแอบทำอะไรเลยไม่ดูน่าสงสัย …อย่างเช่นชงหยวนกับจินที่นัดเจอกันตรงบันไดหนีไฟ
หากถูกเจอตัวเข้าและรู้เรื่องไปถึงชิน พวกเขาก็แก้ตัวได้ว่ากำลังเดินเล่นไปเรื่อย
ถึงบรรยากาศร้อนระอุที่ชงหยวนแผ่ออกมาจะไม่ใกล้กับคำว่าเล่นเลยก็ตาม
“รายงานมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชงหยวนกอดอกมองค้อนจินแถมน้ำเสียงยังเข้มเค้นมากอีก จินรู้เลยว่าเธอกำลังหงุดหงิดสุด ๆ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเหงื่อที่ตกนี่มาจากความกังวลหรือร้อนจากไฟโกรธของชงหยวนกันแน่
แต่มันก็แหงอยู่แล้ว… ก็ศึกที่คิดว่าจะชนะได้ง่าย ๆ ดันชนะไม่ได้นี่นา
จินนึกถึงผลลัพธ์เมื่อวานแล้วคิ้วก็พลอยตกตาม เพราะเขาเองก็คิดว่าหลงจะชนะศัตรูได้ง่าย ๆ แต่ว่า…
“จากการรายงานของหนิงอัน… เซอร์เคย์ที่เป็นศัตรูมีความสามารถในการดูดซับจิตสูงกว่าข้อมูลที่ได้รับมา จากที่ประมาณการน่าจะมากกว่าตราอัศวินทั่วไป 2-3 เท่าเลยครับ”
“…ไม่ผิดแน่นะ”
ชงหยวนถามย้ำจินก็พยักหน้าอย่างเกรง ๆ เธอก็มีแต่ต้องเชื่อตามนั้น
แม้มันจะยากจนชงหยวนเผลอกัดฟันเลยก็ตาม
เป็นไปไม่ได้… โดยปกติตราอัศวินจะเพิ่มอัตราการดูดซับจิตของผู้ใช้ได้ 50% ของพลังพื้นฐาน ส่วนของตราราชันย์คือ 100% หรือก็คือเพิ่มพลังพื้นฐานได้เป็นเท่าตัว
แล้วถ้าตราอัศวินทำได้สองเท่ามากกว่าปกติ
มันก็หมายความว่าเจ้าคนที่ชื่อเซอร์เคย์นั่น… ดูดซับจิตได้เท่ากับคนที่มีตราราชันย์เลยนะ!?
ชงหยวนคิดตามจนกุมขมับเพราะปวดหัว ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเรื่องผิดปกติแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงและด้วยสาเหตุอะไร
ไม่สิ… ใจเย็นก่อน
จะใช้วิธีไหนไม่รู้หรอก แต่เรื่องนั้นคงต้องเอาไว้ทีหลัง
ชงหยวนตั้งสติกลับมาสนใจสิ่งที่ทำได้ เพราะนั่นเป็นปัญหาที่จะเจอในอนาคต
ส่วนเป้าหมายของตอนนี้คือการยึดฟรองและยืนยันตราราชันย์ของชินให้ได้ต่างหาก
ตอนแรกก็อยากจะยึดฟรองให้ได้ในคืนแรกอยู่หรอก
แต่พอทำไม่ได้… ภาระมันก็จะตกมาวันนี้เพราะเป็นการทัศนศึกษาแบบสามวันสองคืน
พูดง่าย ๆ คือ คืนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว
“เราไม่มีเวลาพอจะสืบทริกของพวกนั้นสินะ”
“ครับ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ” จินก้มหน้ารับสภาพเพราะเขาเองก็เข้าใจสถานการณ์
หากจะเอาชนะศึกในตอนกลางคืน ก็ต้องใช้เวลาช่วงกลางวันในการตรวจสอบวิธีที่เซอร์เคย์ใช้เพิ่มพลังอย่างผิดปกติ ซึ่งรู้กันอยู่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลากระชั้นชิดอย่างนี้
ชงหยวนเองก็เข้าใจเรื่องนั้นเลยตบบ่าจินที่กำลังคอตก
“ช่างเถอะจิน หลังศึกค่อยไปสืบเรื่องนี้ทีหลัง”
“ขอบคุณครับ”
โดนราชินีตัวเองปลอบเขาก็พอคลายความรู้สึกผิดลงได้
ส่วนชงหยวนก็ได้แต่คิดต่อไปว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายทั้งที่ไม่รู้ข้อมูลได้ยังไง
เธอจับคางครุ่นคิดก็ได้คำตอบในชั่วอึดใจ
“งั้นคืนนี้นายก็ไปร่วมด้วย…” ชงหยวนชี้ใส่จินทำเขาเลิกคิ้ว
“มีกันตั้งหกคน เอาไม่ลงก็ให้มันรู้ไป”
แววตาหรี่คมของชงหยวนจ้องใส่เขาจนเหมือนถูกอสรพิษจับตา เหมือนบอกว่าถ้าทำขนาดนี้ยังไม่ชนะเธอคงผิดหวังในตัวเขาแย่
ทุ่มหมดหน้าตักเลยสินะ
“เข้าใจแล้วครับ ผมจะเตรียมตัวให้พร้อมไว้ตลอด”
จินยืดอกขันแข็ง ชงหยวนเห็นก็พลอยสบายใจบ้างด้วยความที่เชื่อใจลูกน้อง
ทั้งหกคนเป็นคนที่แกร่งที่สุดของเราแล้ว
เราปั้นพวกเขาให้ทั้งหกคนมีพลังรวมกันเท่ากับราชาหนึ่งคน เพราะงั้นชนะได้แน่!
แต่ว่า… เรื่องหลังจากนั้นต่างหากที่ยัง…
ชงหยวนคิดต่อไปจากนั้น ในอกก็รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมา
ไม่ใช่เรื่องของใครเลยนอกจาก…
“นี่… เมื่อคืนมีข่าวอะไรเกี่ยวกับแองกริคราวน์บ้างไหม” ชงหยวนถามด้วยน้ำเสียงและแววตาที่เปลี่ยนไป กระทั่งจินยังสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ ว่าเธอเสียงเบาลง
แต่จินเองก็เหงื่อตกเมื่อคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน
“…ครับ โรงแรมของ Singularity สาขาปารีสมีการปะทะกับแองกริคราวน์เมื่อคืน แต่เขาหนีไปได้ครับ”
“เหรอ…”
ชงหยวนตอบเสียงเบาอีกรอบ เธอรู้ตัวเลยว่าไหล่ของตนเองผ่อนคลายลงด้วยความเบาใจ
…แม้ว่าสาเหตุจะเกิดจากที่เธอตั้งค่าหัวเขาเอง
ชงหยวนก็ได้แต่บอกตัวเองในใจซ้ำ ๆ ว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นมากกว่าอยากทำ ไม่งั้นคงจำกัดความเคลื่อนไหวของชินที่นี่ไม่ได้
เธอจึงจำต้องทำลายความเป็นห่วงในใจนี้ทิ้งไปเสีย เพราะมันไม่ได้เกิดจากใครเลยนอกจากตัวเธอเอง
…แต่พอตั้งสติได้ เธอเลยเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์มีอะไรแปลก ๆ
“เดี๋ยวก่อนนะจิน แล้วเมื่อวานชินไม่ได้อยู่ที่ห้องรึไง?”
“…ใช่ครับ ชินนอนหลับอยู่ในห้องพักทั้งคืนเลย”
จินก้มหน้าก้มตาตอบ หรี่ตาลงปานสำนึกผิด ในที่สุดชงหยวนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาดูหงอนัก
…ก็ในเมื่อเขามีหน้าที่ต้องจับตาดูชินไม่ให้เข้ามาแทรกแซงการยึดดินแดน แต่จินกลับดูไม่ออกเลยว่าชินที่อยู่ด้วยกันทั้งคืนเป็นตัวปลอมเสียได้
“ขอโทษด้วยนะครับ ท่านชงหยวน”
“…ก็อยากจะโกรธอยู่หรอก แต่มันก็ช่วยไม่ได้”
ชงหยวนส่ายหน้าปล่อยผ่าน เหมือนรู้กันดีอยู่แล้วว่าถ้าชินเอาจริงยังไงก็รับมือได้ยาก
แม้นั่นจะไม่ทำให้จินโล่งใจเลยก็ตาม ไม่สิ… กลับกันคือมันทำให้เขายิ่งเคืองด้วยซ้ำ เพราะยังไงมันก็เป็นความพ่ายแพ้ น่าหงุดหงิดจนต้องกำหมัด
จะชินหรือแองกริคราวน์… ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนจินก็ไม่เคยตามเขาทันเลย
แต่เรื่องที่ตามชินไม่ทันมันก็สำหรับชงหยวนด้วย เธอถึงกับกัดเล็บไปปวดหัวไป
เพราะการที่ชินมี ‘ผู้ร่วมมือปริศนา’ มันทำให้สมการเปลี่ยนไป
“แย่ล่ะสิ… ต่อให้เรายึดครองฟรองได้ แต่ชินก็สามารถใช้ตัวปลอมมาหลอกเรื่องตำแหน่ง ส่วนตัวจริงที่มีตราราชันย์ก็อาจจะหนีไปอยู่ที่อื่นแทนได้เหมือนกัน”
แผนสลับตัวนั้นเรียบง่ายแต่ได้ผลชะงัด พอเป็นแบบนั้นการยึดครองฟรองก็กลายเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์เสมือนหัวล้านได้หวี
ก็ในเมื่อไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวจริงไหม ต่อให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีตราราชันย์ มันก็ยืนยันอะไรไม่ได้อยู่ดี
จินเองก็คงเข้าใจเรื่องนั้นถึงยังทำหน้ารู้สึกผิดอยู่ แต่ก็จนปัญญาที่จะคิดวิธีรับมือเหมือนกัน
“จะทำยังไงดีครับท่านชงหยวน… พอจะมีอะไรที่บอกได้ไหมครับว่าชินเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม?”
“เทคโนโลยีสมัยนี้มันล้ำหน้าจะตาย แล้วถ้าฉันเป็นชิน ฉันคงเลือกคนที่จะมารับบทตัวเองได้เนียนที่สุดอยู่แล้ว”
เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกนี่ตัดไปได้เลย ยังไงก็จับผิดไม่ได้แน่ถ้าคนปลอมตัวมีฝีมือจริง
ส่วนพวกลายนิ้วมือหรืออะไรต่อมิอะไรก็คงเตรียมไว้แล้วด้วยเหมือนกัน
ชินเค้าไม่มีทางปล่อยอะไรเล็ดลอดเป็นหลักฐานให้รู้แน่
ชงหยวนมั่นใจความรอบคอบราวกับเป็นเจ้าตัว แต่นั่นก็เพราะเธอรู้จักเขามานาน
ว่าไปแล้วก็แอบตลกร้ายที่ความใกล้ชิดในอดีตมันกลับเป็นสิ่งทำให้ชงหยวนเข้าใจ ว่าตัวเองไม่มีทางเอาชนะชินได้
…แต่ความใกล้ชิดในอดีตมันจะมีแต่ผลเสียแค่นั้นหรือ?
ความรู้สึกในฐานะ ‘ผู้หญิง’ คนนึงของเธอกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น อันที่จริงมันรู้สึกตรงข้ามด้วยซ้ำ
ชงหยวนใช้ตรรกะคิดมาตลอดถึงได้คิดไม่ออก แต่พออารมณ์ของผู้หญิงเข้าครอบงำ คำตอบกลับออกมาง่าย ๆ
หลังจากหน้าบูดบึ้งมาตลอดที่ผิดแผน รอยยิ้มจึงแย้มขึ้นมุมปากของชงหยวนเป็นครั้งแรก
“ถ้าเป็นเธออาจจะจับไต๋เขาไม่ได้… แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันจะรู้แน่นอนว่าชินที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม”
ชงหยวนพูดเสียมั่นอกมั่นใจ
จินเลิกคิ้วด้วยประโยคที่ดูส่วนตัวของเธอ เขาเข้าใจได้ทันทีว่ามันหมายความว่ายังไง
“จะใช้สัญชาตญาณเหรอครับ?”
“เรียกว่าประสบการณ์จะดูดีกว่าไหมเล่า? ฉันว่าเธอเองก็น่าจะแยกออกนะ ถ้าเฟยตัวจริงกับตัวปลอมมาอยู่ตรงหน้าน่ะ”
“เรื่องนั้นมันก็…”
จินถึงกับเถียงไม่ออก เหมือนกับถูกบอกว่า ‘ใครเล่าจะจำคนรักตัวเองไม่ได้’
…และแน่นอนว่าจินเองก็คิดว่าตัวเองทำได้ จะไปบอกเจ้านายตัวเองว่าเป็นวิธีที่ใช้อารมณ์เกินไปก็คงไม่ถูก
ยังไง… ชินยะก็เป็นอดีตคู่หมั้นของคุณนี่นะ
ช่วงเวลาในอดีตที่ใช้ร่วมกัน จินรู้สึกว่านั่นน่าจะมากพอให้จับความรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายคือตัวจริง
…ถึงจะมีความเสี่ยงที่ว่า ‘ชินอาจจะไม่ใช่คนเดิมที่เคยรู้จัก’ แต่ชงหยวนก็ใช้เวลากับชินหลังจากได้กลับมาเจอกันเป็นสัปดาห์ เธอคงรู้แล้วว่าชินยังเป็นคนเดิม
แต่ปัญหามันก็มีอีกอย่าง… นั่นคือการไม่รู้ว่าจะยึดครองฟรองได้ตอนไหน
หากการอยู่ใกล้ชิดกันจะทำให้มองตัวจริงออก ชงหยวนก็ต้องอยู่กับชินคืนนี้ทั้งคืนเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส
ตรงจุดนั้นแหละที่จินกังวล เพราะไม่รู้ว่าชงหยวนจะใช้วิธีไหน
“แต่จะให้อยู่กับชินทั้งคืนมันก็เกินไปนะครับ”
“หา? นี่เธอเห็นฉันเป็นผู้หญิงไร้ยางอายขนาดไหนกันเนี่ย!!!”
“มะ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับ!”
จินถอยกรูดแทบไม่ทัน ใครจะรู้ว่าชงหยวนจะขึ้นเสียงดังเสียขนาดนั้น
…แต่ชงหยวนก็ต้องขอบคุณที่จินเอาแต่กลัว แก้มที่แดงระเรื่อของเธอจึงไม่ถูกเห็น
“…ให้ตายสิ เธอนี่จริง ๆ เลย”
ชงหยวนบ่นในลำคอ รีบลบภาพจินตนาการที่เธอคิดตามจินเพื่อทิ้งอาการประหม่า
“แต่ว่า… งั้นจะใช้วิธีไหนล่ะครับ” จินรีบกลับมาตั้งสติ เพราะถ้าชงหยวนพูดแบบนั้นแสดงว่าเธอมีวิธี
แล้วพอจินได้เห็นชงหยวนฉีกยิ้มราวกับสาวน้อยแสบสัน เขาก็รู้เลยว่าเธอมีแผนจริง ๆ
“เธอลืมไปแล้วรึไงจิน… ว่าคืนนี้จะมีงานอะไร?”
❖❖❖❖❖
หลังจากผ่านช่วงเวลาทานอาหารเช้าและเตรียมตัว เหล่านักเรียนก็เข้าสู่การทัศนศึกษาวันที่ 2 อย่างเป็นทางการ
ไม่เหมือนกับวันแรกที่เป็นการเที่ยวในสถานที่ที่เตรียมไว้ ในวันที่สองจะเป็นการเที่ยวกับกลุ่มแบบอิสระแทนเพื่อเพิ่มการปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนด้วยกัน
…แม้อันที่จริง ตัวเลือกนี้จะมาจากความต้องการที่อยากจะเที่ยวเถลไถลของนักเรียนส่วนใหญ่ แต่อย่างไรการทัศนศึกษามันก็เป็นการเรียนรู้ผ่านการท่องเที่ยวอยู่แล้ว พวกอาจารย์จึงไม่ขัดใจ
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่นักเรียนทั้งหลายได้ย้ายมาเดินบนถนนที่มีชื่อเสียงที่สุดในปารีส… ถนนฌ็องเซลิเซ่
ด้วยอาคารพาณิชย์ที่ทอดยาวถนนสองฝั่งจนแทบจะสุดปลายฟ้า ไปยังอีกฝั่งที่จรดยังประตูชัยอันโด่งดังอย่างอาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล
ประตูมโหฬารสูงเกือบ 50 เมตรนั่นเป็นจุดที่เหล่านักเรียนกำลังยืนถ่ายรูปกับกลุ่มเพื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก มีเพียงกึ่งหนึ่งที่เริ่มเดินเที่ยวตามริมอาคารพาณิชย์ก่อนกลุ่มอื่น ๆ เพราะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นถนนคนเดินของบ้านเกิดอันน่าคิดถึง
กลุ่มของชินเองก็จัดเป็นประเภทนั้น… ชิน โอลิเวีย เกวน เคนเนธ ซูซานและจินจึงกำลังเดินตามถนนไล่ดูร้านต่าง ๆ ด้วยอาการตื่นตาตื่นใจ
“ดูนั่นสิ! นั่นมันร้านขนมชื่อดังที่เห็นในเน็ตนี่นา!”
“เอ้ย! ร้านนั้นมีบัสท์ไลท์เยียร์อยู่หน้าร้านด้วย! ข้างในคงมีของเจ๋ง ๆ แหงแซะเลย!”
โดยเฉพาะเกวนกับเคนเนธที่ตาเป็นประกายทุกครั้งที่เจออะไรใหม่ ๆ ชินเห็นแล้วก็ยิ้มเอ็นดูเพื่อนสนิทสองคนนี้เสียทุกครั้ง
“เราค่อย ๆ เข้าไปดูทุกร้านเลยก็ได้ ยังไงก็มีเวลาทั้งวันอยู่แล้วนี่นา”
“วู้ว! ฉันโคตรรักนายเลยเพื่อนเลิฟ!”
เคนเนธทำปากจู๋เข้ามากอดคอชิน ดีใจยังกับพ่ออนุญาตให้ซื้อของเล่น ทำเอาซะชินเขิน (เพราะโดนคนบนถนนมอง)
ส่วนเกวนก็เขินไปอีกคน ในแง่ที่เผลอทำตัวติดสนุกจนเกินงามไปหน่อย …ซึ่งมันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยถ้าชินไม่ได้เห็นเธอโดดโลดเต้นเป็นเด็กผู้ชายคู่กับเคนเนธ
โอ้ย! บ้า บ้า บ้า! จะดี้ด้าอะไรขนาดนี้นะตัวฉัน!
นี่ชินจะมองเราเป็นเด็กไหมเนี่ย!!!
คิดแบบนั้นแล้วเกวนก็ได้แต่ยกมือปิดหน้าอายม้วนต้วน เป็นที่ชื่นใจ?ของโอลิเวียยิ่งนัก
โอลิเวียตบบ่าเกวนประหนึ่งปลอบใจ ทำเกวนกะพริบตาปริบ ๆ ดีใจยังกับแม่พระมาโปรด
แต่ที่ไหนได้…
“แค่นี้ยังอ่อนหัดนะคะ” เกวนโดนซ้ำเติมเข้าให้ คู่แข่งก็ยังเป็นคู่แข่งวันยันค่ำ ทำเอาเกวนน้อยหน้ามุ่ยไปเลย
“งึยยยยย! อย่าให้พลาดบ้างนะโอลิเวีย”
“ไม่มีวันค่ะ”
โอลิเวียตอบกลับหน้านิ่งมั่นใจสุด ๆ
…แต่ชินเห็นเลยว่าสาวเจ้าจมูกยื่นทำเสียง ฮึ่ม! เป็นท่าทางแบบที่พยายามโอ้อวดว่าตัวเองชนะแล้ว
ถึงชินจะไม่รู้อยู่ดีว่าแข่งอะไรกัน จนได้แต่เอียงคอก็ตาม
ว่าแต่… สองคนนี้ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?
ชินหันไปสนใจเรื่องความเป็นกันเองระหว่างเกวนกับโอลิเวียแทน ดูท่าจะมีบางอย่างระหว่างสองสาวเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้
แล้วพอพูดถึงฝั่งผู้หญิง ชินก็สังเกตเห็นบรรยากาศรอบตัวของชงหยวน… ซูซานเปลี่ยนไปนิดหน่อยด้วย
โดยเฉพาะสายตาที่กำลังจ้องเขาจากด้านข้างซ้าย และรอยยิ้มเลศนัยแบบที่อ่านเจตนาไม่ออก
วางแผนอะไรไว้อีกรึเปล่า…
ชินรู้มาจากอัลเฟรดเมื่อคืนว่าชงหยวนยึดฟรองล้มเหลว ทำให้เขาต่อลมหายใจไปได้อีกคืน แต่ในเมื่อแผนล้มเหลว ชงหยวนย่อมต้องหาทางแก้มืออยู่แล้ว
เธอเป็นผู้หญิงเกลียดความพ่ายแพ้ ชินรู้ดี
แต่พอหันไปมองจิน เขาก็ยังสงบเหมือนกับที่ผ่านมา ไม่มีท่าทีจะเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ เป็นที่น่าแปลกใจของชินอยู่เหมือนกัน
ดูทรงแล้ว ฝั่งชงหยวนเองก็น่าจะมีข้อมูลของฝั่งเราเหมือนกัน
ทางนั้นน่าจะรู้แล้วว่าแองกริคราวน์ปรากฏตัวในเมืองเมื่อคืน จึงน่าจะคาดเดาได้ว่าคนที่อยู่กับจินและเคนเนธในห้องพักเป็นเราตัวปลอม
และคงคิดต่อไปด้วยว่าหากยึดฟรองแล้ว คนที่อยู่ด้วยเป็นตัวปลอม ก็คงพิสูจน์ไม่ได้ว่าเรามีตราราชันย์จริงไหม
งั้นหมากตาต่อไปของชงหยวน จะต้องเป็นการยืนยันให้ได้ว่าเราเป็นตัวจริงไม่ทางใดก็ทางนึงแน่
แต่จินยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร… งั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าชงหยวนจะเป็นฝ่ายเคลื่อนไหวเอง
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น… ฉันขอเริ่มก่อนเลยละกัน
ชินอ่านสถานการณ์อีกฝั่งอย่างใจเย็น และเริ่มออกเดินตาแรกเพื่อหวังคุมเกม แววตาก็สบเข้ากับซูซานที่มองมาพอดี
“แล้วซูซานล่ะมีร้านที่อยากไปรึเปล่า?”
“…สุภาพบุรุษเสมอเลยนะคะ นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว”
ซูซานอมยิ้มเดินเตาะแตะมือไพล่หลังเข้ามาใกล้ ท่าทางออดอ้อนเกือบจะทำให้ชินวางการ์ด คนเดินถนนอยู่รอบ ๆ เองก็คงต้องหลงความน่ารักของเธอแน่
…ถ้าไม่ติดเรื่องแววตาคมกริบที่เธอมองมาทางชินล่ะก็
แต่สายตานั้นก็ดันเปลี่ยนกลับเป็นยกยิ้ม แล้วหันไปหาคนในกลุ่มแทน
“ว่าไปแล้วนะคะทุกคน… ถึงจะเร็วไปหน่อย แต่ยังจำได้อยู่ใช่ไหมคะว่าคืนนี้เรามีกิจกรรมอะไรน่ะ!” ซูซานส่งความร่าเริงพร้อมกับมองทุกคน ตั้งแต่เกวน โอลิเวีย เคนเนธไปจนถึงจิน
และแน่นอนว่าทุกคนรู้คำตอบ เพราะมันอยู่ในกำหนดการอยู่แล้ว
“งานเต้นรำสินะ”
“ใช่เลยค่ะชิน!”
ซูซานชี้มาทางชินอย่างตื่นเต้น
แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นตื่นตัวด้วยเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่ทำให้คนขี้ลืมอย่างเคนเนธร้อง อ๋อ! แค่นั้น
“ว่าไปแล้วก็จริงแฮะ แต่งานนี้มันไม่ได้บังคับนี่นา” เคนเนธแบะมือ ไม่ได้มีกะใจจะเข้าร่วม
ซึ่งอันที่จริง นักเรียนส่วนใหญ่เองก็ไม่ได้สนใจกิจกรรมนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะมันเป็นธรรมเนียมของรุ่นก่อน ๆ ที่มาทัศนศึกษา ก็เลยจัดไปตามสมควรเท่านั้น
แต่ซูซานไม่คิดอย่างนั้น เธอทำเสียง จุ๊จุ๊! พร้อมกับสะบัดนิ้วชี้ไปมา
“แหม ๆ เรื่องนั้นมันก็ใช่แหละค่ะ แต่ฉันกับชินเป็นคณะกรรมการนะคะ! ถ้าพูดถึงความเหมาะสมแล้ว ยังไงก็ต้องเข้าร่วมนี่ ใช่ไหมล่ะคะชิน?” ซูซานหันมามองชินด้วยรอยยิ้ม มัดมือชกกันอย่างเห็นได้ชัด
“…ก็น่าจะใช่แหละนะ”
ชินตามน้ำแบบเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากจะให้นักเรียนทั่วไปเข้าร่วม คนที่เป็นหัวหอกก็ต้องเข้าร่วมด้วยจึงจะจูงใจให้คนอื่น ๆ ตามมาได้
…แต่ถ้านั่นเป็นสาเหตุเดียวก็คงดี
และพวกชินรู้ว่าไม่ใช่ เมื่อซูซานพุ่งเข้ามาคล้องแขนชินตอนสบโอกาส
“ “!!!?” ”
โอลิเวียและเกวนเห็นแล้วถึงกับแผ่นหลังสะดุ้ง ยิ่งเห็นว่าซูซานยิ้มเยาะยิ่งทำเอาเส้นเลือดปูดขึ้นหน้าไปอีก
แต่เจ้าตัวซูซานกลับไม่ยี่หระ แล้วหันไปยิ้มก้อร่อก้อติกมองช้อนอ้อนชิน เพราะรู้ว่าเขาไม่มีทางใจร้ายสะบัดเธอออกได้
“เพราะงั้นแหละค่ะชิน เราไปเลือกชุดสำหรับงานเต้นรำกันดีกว่า———”
“ “เดี๋ยวก่อน” ”
โอลิเวียกับเกวนพูดขึ้นพร้อมกันยังกับนัดไว้
ไม่เพียงเท่านั้น… โอลิเวียกับเกวนยังจับแขนซูซานที่กำลังคล้องแขนชินไว้ด้วย ความอดทนของพวกเธอถึงขีดสุดจนเก็บสีหน้าไม่อยู่แล้ว รอยยิ้มถึงดูไม่เหมือนยิ้มเลย
รุกหนักเกินไปแล้วครับ ท่านชงหยวน
จินเหงื่อตกอยากจะกุมขมับ เพราะรู้เลยว่าเจ้านายตัวเองเล่นแรงเกินไป
ดูจากโอลิเวียกับเกวนที่มองแค้นยังกับจะเอามีดจ้วงก็รู้
“ทำไมถึงตัดสินว่าตัวเองจะได้คู่กับชินล่ะคะคุณซูซาน”
“ใช่แล้วค่ะ บังคับกันเกินไปแล้ว”
ทั้งสองคนมองตาซูซานยังกับจะกินเลือดกินเนื้อ
แน่นอนว่านั่นไม่พอให้ซูซานกลัว เธอถึงกับจ้องทั้งสองคนกลับไปตรง ๆ ด้วยซ้ำ
แต่เธออ่านบรรยากาศเป็นและไม่อยากดึงดันจนผลออกมาตรงข้าม จึงได้ผละมือจากแขนชินก่อน
ชินถอนหายใจโล่งอก รู้สึกขอบคุณที่เรื่องจบ …แต่ที่ไหนได้
“ไม่ได้เหรอคะ? ก็ชินยังไม่มีใครจองตัวนี่นา”
“ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปมัดมือชกชินนะซูซาน” เกวนใจเย็นลงและพยายามพูดมีเหตุผล โอลิเวียเองก็พยักหน้ารับตาม
“ถูกอย่างที่เกวนว่า ต้องถามชินด้วยนะคะว่าอยากคู่กับใคร”
“เรื่องนั้นมันก็จริงแหละค่ะ แต่พูดกันตรง ๆ นะ… ต่อให้ไม่ถูกเลือก แต่พวกคุณจะยอมแพ้ง่าย ๆ เหรอคะ?”
“ “…” ”
โดนซูซานถามด้วยแววตาคมกริบราวกับแทงเข้าไปในใจ โอลิเวียกับเกวนชักไม่แน่ใจแล้วว่าเธอหมายถึงเรื่องเต้นรำหรือว่าเรื่องอื่น
แต่ไม่ว่าเธอจะหมายถึงอะไร… คำตอบมันชัดเจนในใจอยู่แล้ว
กระทั่งโอลิเวียกับเกวนยังหันมามองกันเพื่อดูท่าทีอีกฝ่าย กลายเป็นว่ายอมให้กันไม่ได้ไปอีกคู่
จากศึกสองต่อหนึ่ง กลายเป็นศึกสามทาง… ชินเห็นแล้วยังทึ่งกับความสามารถด้านการชักจูงของชงหยวนไม่หาย คนทั่วไปไม่ได้เป็นอะไรนอกจากลูกไก่ในกำมือของเธอเลย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับหญิงสาวในห้วงแห่งความรักยิ่งง่ายเข้าไปอีก
“ใช่ไหมล่ะคะ… เพราะงั้นสุดท้ายแล้วชินจะเลือกใคร แต่เราก็ต้องพยายามอยู่ดี” ซูซานมองตาสองสาวด้วยรอยยิ้ม กลายเป็นนำหน้าหนึ่งก้าวไปโดยปริยาย
“…นั่นสิ แต่ยังไงไปมัดมือชกก่อนก็ไม่ถูกนะ” เกวนนึกถึงตอนที่ซูซานคล้องแขนชิน รู้สึกว่ายังไงนั่นก็เกินไป
“แล้วถ้าจะตัดสินว่าใครจะได้คู่กับชิน เราควรตัดสินอย่างยุติธรรมด้วยกฎที่สมเหตุสมผลด้วยค่ะ”
โอลิเวียยืนยันอีกเสียง ชินจับอารมณ์เธอได้เลยว่ากำลังเร่งเร้า
ว่าแต่… กลายเป็นความเห็นของเราไม่ถูกนำมาคิดแล้วสินะ
ชินสรุปเอาจากบทสนทนา แม้จะน่าเสียดายแต่เขาก็เป็นคนที่ไม่กล้าปฏิเสธทั้งสามคนจริง ๆ นั่นแล
เรียกว่า ‘ตามมารยาท’ แล้ว ต่อให้ใครจะมาเต้นรำกับเขาก็รับได้ทั้งนั้น
…ส่วนตัวเลือก ‘ตามหัวใจ’ ก็น่าเสียดายอีกเหมือนกันที่ทำไม่ได้ เพราะเป็นการโจ่งแจ้งเกินไป
สำหรับเรื่องนั้น ตอนนี้เขาคงทำได้แค่มองเอลฟ์สาวเพียงอย่างเดียว
“อะแฮ่ม! ฟังมานานแล้ว ฉันขอพูดอะไรหน่อยละกันสาว ๆ”
เคนเนธที่เงียบมาตั้งนานจู่ ๆ ก็เปิดปากขึ้นมา คงมีแต่ชินที่มองเขาอยู่เลยรู้ว่าเจ้าตัวกำลังสนุกกับสถานการณ์อย่างนี้
แล้วดูจากรอยยิ้มของเจ้าตัว เขาน่าจะคิดอะไรแผลง ๆ อีกแน่
“อะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าคิดอะไรแปลก ๆ ขึ้นมาอีก”
“แปลกที่ไหนเล่าเกวน! ที่ฉันคิดได้นี่มันไอเดียสุดบรรเจิดเลยนะ! แถมยังวัดความเข้ากันกับชินได้ด้วย!”
ความเข้ากันกับชินเหรอ?
สามสาวได้ยินแล้วหูผึ่ง แถมคิดเหมือนกันในเวลาเดียวกันอีก
กระทั่งซูซานยังเผลอใจไปกับเขาด้วย …แผนยืนยันตัวจริงของชินถึงกับปลิวหายไปจากหัวชั่วคราวเลยทีเดียว
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อความเข้ากับชินมันเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
แล้วยิ่งถ้ามีวิธีพิสูจน์ความเข้ากัน พวกเธอก็ต้องอยากเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว
“…แหม ๆ ชักอยากจะฟังแล้วสิคะว่าจะใช้วิธีไหน”
“นั่นสิคะ หวังว่าจะทำได้อย่างที่พูดนะคะเคนเนธ”
“ถ้าเป็นวิธีพิลึก ๆ ล่ะก็ ฉันตีนายแน่!”
สามสาวมองเคนเนธอย่างจริงจัง แต่เจ้าตัวกลับไม่เสียรอยยิ้ม
กระทั่งชินก็มองออกเพียงแค่เจตนาแฝงที่ไม่ดีของเพื่อนสนิท
แต่เรื่องที่เขาจะทำอะไรนั้น แม้แต่ชินเองก็ไม่อาจรู้ได้
เจ้าบ้าเคนเนธ… สังหรณ์ใจไม่ดีเลย
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION