“แฮ่ก… แฮ่ก…”
หญิงสาวในชุดลำลองเรียบร้อยออกแรงวิ่งตามทางภายในพิพิธภัณฑ์อย่างรีบร้อน
แววตาเธอกังวลจนเหงื่อตก เร่งฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง วิ่งผ่านผู้คนไปยังส่วนด้านหลังเฉพาะพนักงาน
ไปจนถึงห้องที่เขียนเป็นภาษาสากลว่า ‘ห้องรับรอง’
หญิงสาว… อาจารย์เลย์น่าเปิดประตูพรวดเข้าไปในห้องทันที
เธอรีบกวาดสายตาไปทั่ว เห็นพนักงานในชุดสูทพร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะก็เริ่มใจคอไม่ดี
กระทั่งเห็นนั่งเรียนชายสองคนนั่งอยู่
นักเรียนชายคนนึงที่มีผมสีดำได้ยินเสียงเธอเปิดประตูเลยหันมายังต้นตอของเสียง
“อาจารย์เลย์น่า———”
“ชิน!”
นักเรียนชายผมดำ… ชินยังไม่ทันพูดอะไร อาจารย์เลย์น่าก็พุ่งเข้าไปกอดเขาแล้ว
การสวมกอดอันรุนแรงทำเอาชินต้องหยุดพูดเพราะถูกหน้าอกเธอกดทับเต็มหน้า
และดูเหมือนเธอมีแต่จะกอดแรงขึ้นไปอีก
“โล่งอกไปที ไม่บาดเจ็บตรงไหนนะ”
“…ครับ ผมสบายดี”
ชินตอบกลับเสียงเบา เก็บซ่อนความประหลาดใจไว้ไม่อยู่จนต้องเบิกตาโพลง สีหน้าท่าทางกังวลจวนเจียนจะขาดใจของอาจารย์เลย์น่าไม่ใช่สิ่งที่ชินคิดว่าจะได้เห็น
น้ำเสียงเธอยังสั่นเครือไม่หาย แต่พอจะบอกได้ว่าร่างกายไม่ได้สั่นเทา
ความหวงแหนนักเรียนของเธอรุนแรงกว่าที่ชินคิด จนตอนนี้เธอยังกอดชินไม่ยอมปล่อยอยู่เลย
ความอบอุ่นแบบนี้… รู้สึกเหมือนกับเคยสัมผัสที่ไหนมาก่อนเลยแฮะ
คงจะคิดไปเองล่ะมั้ง
แต่ก็… ไม่เคยคิดเลยแฮะว่าอาจารย์จะเป็นห่วงนักเรียนขนาดนี้
คงต้องมองใหม่แล้วสิ
ชินรู้มาตลอดอยู่แล้วว่าอาจารย์เลย์น่าเป็นคนขยันกว่าที่เห็นภายนอก (บางเรื่อง) แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นห่วงนักเรียน?ขนาดนี้
ได้เห็นแล้วคงมีแต่ต้องยอมรับว่าอาจารย์เลย์น่าคือคนที่สมควรเรียกว่าอาจารย์
ส่วนทางจินที่นั่งข้าง ๆ ก็ได้แต่มองจี่ไปที่ชินเพราะไม่มีความห่วงใยมาที่ตนบ้าง
ระหว่างนั้นอาจารย์ชายอีกคนที่เป็นครูประจำชั้นของจินก็เดินตามเข้ามาในห้องพอดี ดูท่าเขาเองก็ได้รับการเรียกตัวเหมือนกับอาจารย์เลย์น่า เพียงแต่ตามความเร็วไม่ทันก็เลยมาช้ากว่า
และแน่นอนว่าสาเหตุของเรื่องนี้ก็คือ การวิวาทระหว่างชินและจิน กับกลุ่มชายฉกรรจ์ปริศนา
พอเจ้าพวกนั้นกรูกันเข้ามาทำร้ายฉันกับจิน เราสองคนก็ร่วมมือกันอัดคนพวกนั้นจนหมอบ
แต่หลังจากนั้นพนักงานรักษาความปลอดภัยก็เข้ามาควบคุมตัวพวกเราไว้
ก็เกือบจะโดนจับส่งตำรวจแล้วล่ะนะ โชคยังดีที่ทางนั้นเห็นเราเป็นนักเรียนต่างชาติเลยฟังความข้างเราก่อน
เรื่องเป็นห่วงฉันกับจินก็ส่วนนึง แต่คงเป็นห่วงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่า
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เรียกพวกอาจารย์มาเคลียร์
แล้วพออาจารย์เลย์น่าได้ยินรายละเอียด เธอก็ด่าพวกตำรวจกับพวกยามซะสาดเสียเทเสียเลย
แอบน่ากลัวเหมือนกันแฮะ
แต่ก็เพราะเธอแสดงจุดยืนอยู่ข้างเรากับจิน บวกกับมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิด เรากับจินเลยไม่ได้รับโทษหรือต้องดำเนินคดีอะไร
ไม่สิ… อันที่จริงอาจารย์เลย์น่ากับอาจารย์ของจินก็ตั้งใจจะเอาผิดพวกนักเลงข้างถนนนี่อยู่หรอก
แต่ถ้าทำแบบนั้นนักเรียนคนอื่นก็จะรู้เรื่องนี้ด้วย
แล้วเผลอ ๆ ถ้าโรงเรียนเข้ามายุ่ง การทัศนศึกษาอาจถูกยกเลิกได้
ถ้าเป็นแบบนั้น แผนของเราคงล่มพอดี
เพื่อป้องกันเรื่องนั้น เราเลยเสนอให้ปิดข่าวเรื่องนี้ไว้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแทน ทำเสมือนว่าไม่อยากให้การทัศนศึกษาถูกยกเลิกจนกระทบกับคนอื่น
และมันก็ได้ผล… อาจารย์เลย์น่ามองว่าเราเห็นแก่เพื่อน ๆ ก็เลยยอมรับข้อเสนอของเรา
อาจารย์ของจินเองก็คิดว่าจะจัดการเรื่องนี้หลังทัศนศึกษาแทน เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบกับจิตใจของเรากับจิน
ต้องขอบคุณอาจารย์ทั้งสอง แผนของเราถึงยังดำเนินต่อไปได้
…แต่จุดที่น่าสนใจจริง ๆ คือจินเองก็เห็นด้วย
อย่างน่าประหลาด
ตอนแรกฉันคิดว่ากลุ่มนักเลงพวกนี้เป็นแผนของชงหยวน… คิดว่าชงหยวนวางแผนนี้เพื่อบังคับให้เรากลับเขต 66 ก่อนที่จะได้ทำอะไรซะอีก
ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรหรือมีแผนจะทำอะไรก็ตาม แต่การยับยั้งแผนของอีกฝ่ายก่อนจะได้ทำอะไรคือสิ่งที่ชงหยวนมักจะทำ
แต่ถ้าจินเองก็เห็นด้วยกับการปิดข่าว แสดงว่าการที่ไม่ได้อยู่ที่ฟรองจะส่งผลเสียกับทางนั้นด้วยเหมือนกัน
งั้นก็แสดงว่า… พวกชงหยวนเองก็คิดจะทำบางอย่างที่ฟรองเหมือนกันสินะ
แล้วนอกจากนี้… ถ้าการกระทำของนักเลงพวกนี้ส่งผลเสียกับชงหยวนด้วย
แสดงว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดจากบุคคลที่สาม
…ชักจะวุ่นวายแล้วสิ
ชินแอบรู้สึกปวดหัวไม่เบาที่มีตัวแปรเพิ่มขึ้น
หากจะให้คาดเดาถึงคนที่น่าจะเป็นสาเหตุ… คนแรกที่ชินนึกถึงคืออัลเฟรด
แต่ชินยังหาแรงจูงใจของเขาไม่เจอ ชินไม่เข้าใจว่าอัลเฟรดจะได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้
ชินเลยคิดว่าตัวต้นเรื่องน่าจะเป็นกลุ่มอื่นมากกว่า
อย่างไรก็ดี… สัญญาณนี้เป็นเรื่องไม่ดีทั้งกับชินและชงหยวนอย่างแน่นอน
การเดินหมากเพียงครั้งเดียวของคนที่คิดแผนนี้ สร้างผลเสียให้กับทั้งชินและชงหยวนพร้อมกัน ทำแผนการของทั้งสองคนสะเทือนในพริบตาเดียว
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร… แต่ความแยบยลของมันคือสิ่งที่ชินไม่สามารถประมาทได้เลย
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นการทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ออร์แซจบลงด้วยดี
มีเพียงกลุ่มของชินกับคณะอาจารย์ และพวกคณะกรรมการทัศนศึกษาเท่านั้นที่รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ข่าวน่ากังวลไม่ได้แพร่กระจายไปสู่นักเรียนคนอื่น
การท่องเที่ยวแห่งถัดไปเองก็เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะมีอาจารย์คอยเดินตรวจตราช่วยเหล่าคณะกรรมการเพิ่มขึ้น
กิจกรรมสุดท้ายของวันเป็นการทานอาหารค่ำที่โรงแรม การทัศนศึกษาวันแรกเลยจบลงไปตามกำหนดการโดยไม่มีปัญหาอะไรเพิ่มอีก
หลังจากมื้อเย็นเลยกลายเป็นช่วงเวลาอิสระของนักเรียนแต่ละกลุ่มที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบจนกว่าจะถึงเวลานอน ตามจุดพักผ่อนต่าง ๆ ภายในโรงแรมเลยมีนักเรียนของเซนต์ลอเรนซ์ในชุดลำลองสบาย ๆ อยู่เต็มไปหมด
ในบรรดาสถานที่พักผ่อนต่าง ๆ เหล่านั้น มีอยู่จุดนึงที่นักเรียนไม่ค่อยเดินผ่านเพราะใกล้กับส่วนพนักงาน แต่ก็ยังมีนักเรียนชายและหญิงสองคนนัดคุยกันดูลับ ๆ ล่อ ๆ ไม่เบา
“มันเกิดอะไรขึ้น”
นักเรียนหญิงนามซูซาน… ชงหยวนกอดอกแน่น เค้นคำจากจินที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ
เธอไม่ได้มองตาเขาด้วยซ้ำ แต่น้ำเสียงสั่น ๆ และคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันทำให้รู้ได้เลยว่าเธอกำลังโกรธอยู่
ธรรมดาล่ะนะ… ก็แผนเกือบจะล่มนี่นา
จินเข้าใจชงหยวน แต่เข้าใจก็ไม่ได้ทำให้หายกังวล เขาถึงกับเหงื่อตกกลืนน้ำลาย
เพราะที่ชงหยวนถามว่าเกิดอะไรขึ้น จินก็ไม่รู้จะตอบอะไรได้ดีไปกว่าที่ชงหยวนรู้
“พวกเราโดนหาเรื่องครับ”
จินตอบกลับไปแบบเกรง ๆ ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เพราะเขากับชินเล่าให้เธอฟังพร้อมกับคนในกลุ่มอย่างโอลิเวีย เกวนและเคนเนธไปหมดแล้ว
ชงหยวนเหลือบเห็นจินเกร็ง ๆ เลยเริ่มรู้ตัวว่าหงุดหงิดเกินไป
เธอทิ้งแขนลงเลิกกอดอก ถอนหายใจทิ้งหนึ่งทีปรับอารมณ์ตัวเอง
แล้วพอใจเย็นลงเธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“เจ้าอันธพาลพวกนั้นจงใจใช่ไหม”
“…รู้ด้วยเหรอครับ”
จินเลิกคิ้ว พอหายเกร็งจากความกลัวแล้วก็ยังต้องแปลกใจกับความสามารถในการคาดเดาของชงหยวนแทน
อันที่จริงนั่นเป็นส่วนเดียวที่ชินไม่ได้เล่าให้คนอื่นฟัง เขาเล่าแค่ว่าตัวเองเดินชนกับพวกนักเลงก็เลยมีเรื่องกันเท่านั้น
คนที่มองออกว่าพวกนั้นหาเรื่องก่อนก็คงมีแต่เจ้าตัวอย่างชินและจินที่ตามการเคลื่อนไหวของชินทัน
การที่ชงหยวนจับเรื่องนั้นได้ทั้งที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จึงถือว่าน่าประหลาดใจไม่น้อย
“ชินไม่มีทางพลาดให้เกิดเรื่องหรอก ถ้าอีกฝ่ายไม่ตั้งใจอยู่แล้วน่ะ”
“งั้นเหรอครับ”
แสดงว่าประเมินเขาไว้สูงสินะครับ
จินฟังน้ำเสียงชงหยวนก็รู้แล้วว่าเธอเชื่อในความสามารถของชินแค่ไหน
จินเองก็เกือบจะไม่เชื่อเรื่องนั้น …กระทั่งเขาทันสังเกตเห็นจังหวะที่ชินหลบพวกนักเลงด้วยปฏิกิริยาตอบโต้อันน่าชื่นชม แต่พวกมันก็ยังเดินมาชนอย่างตั้งใจอยู่ดี
ดังนั้น พวกมันต้องจงใจหาเรื่องด้วยวัตถุประสงค์บางอย่างแน่
จะให้คิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็ทำใจเชื่อยาก นักเลงพวกนี้จะต้องมีคนบงการอยู่เบื้องหลังแน่
คำถามก็คือใคร? และทำไม?
แต่สำหรับชงหยวน เธอแทบจะได้คำตอบในทันที
ชงหยวนกัดฟันแน่นทีเดียวเมื่อรู้ตัวการ
บ้าเอ้ย! ต้องเป็นไอ้หมอนั่นแน่!
ทั้งที่ทำสนธิสัญญาไปแล้วแท้ ๆ พวกสหรัฐนี่มันเชื่อใจไม่ได้จริง ๆ!
รู้งี้ยึดครองฟรองเงียบ ๆ ไปเลยก็ดีหรอก
ชงหยวนกัดเล็บ หงุดหงิดตัวเองจนประสาทจะกิน ไม่คิดเลยว่าความร้อนรนจะทำให้มองเกมพลาดไปก้าวนึง
…หรือไม่งั้นอีกฝ่ายก็มองเกมขาดเหนือเธอไปก้าวหนึ่งอยู่แล้ว
ถ้าชงหยวนยึดครองฟรองเงียบ ๆ ก็มีความเป็นไปได้ที่ฝั่งนั้นจะเข้ามาแทรกแซงโดยตรง การจำกัดขอบเขตให้อีกฝ่ายแทรกแซงได้แต่เบื้องหลังอาจทำให้เธอได้เปรียบกว่า ตัวเลือกที่ทำสนธิสัญญาไปก่อนหน้านี้จึงถือว่าถูกแล้ว
เพราะต่อให้ใช้วิธีไหน แต่ทางนั้นก็คงจะหาทางมายุ่มย่ามจนได้อยู่ดี
‘ราชาอันดับ 5’ เป็นมนุษย์เจ้าเล่ห์เช่นนั้น
บ้าเอ้ย… ช่างมันก็ได้
คิดถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วก็รังแต่จะทำให้อารมณ์เสีย ชงหยวนถอนหายใจทิ้งความโกรธนั้นไป
เพราะเรื่องที่ควรต้องสนใจคือผลกระทบจากการแทรกแซงของราชาอันดับ 5 มากกว่า
“…แล้วตอนนี้ชินเป็นไงบ้าง”
“เห็นบอกว่าเหนื่อยก็เลยหลับอยู่ในห้องน่ะครับ”
“งั้นเหรอ”
ชงหยวนได้ยินแล้วแอบยิ้มโล่งอก
แต่… พอคิดถึงท่าทางของชินหลาย ๆ อย่างในวันนี้ รวมกับความเหนื่อยล้าของชิน รอยยิ้มของเธอก็หายไปอีกครั้ง
ทั้งแววตาที่ไม่ได้มองใครหรือที่แห่งใด รวมถึงความโกรธที่ปะทุขึ้นได้ง่ายจนผิดสังเกต
สำหรับชินแล้วเรื่องพวกนั้นค่อนข้างหายาก ชงหยวนนับครั้งได้เลยด้วยซ้ำ
“ว่าไปแล้ว… ช่วงนี้ชินเขาก็ดูเหม่อ ๆ เหมือนคิดอะไรอยู่ตลอด เขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะ”
“…ดูออกด้วยเหรอครับเนี่ย” จินเอียงคอสงสัย
สำหรับเขา ชินเป็นมนุษย์ที่อ่านอารมณ์ออกได้ยาก
ถึงจะเห็นชินยิ้มบ้าง แต่เขาไม่กล้ายืนยันเลยว่ารอยยิ้มนั้นเป็นของจริงหรือของปลอม
ต่างจากชงหยวนที่รู้จักกับชินมานานกว่า …และลึกซึ้งกว่า
“ชินดูออกง่ายกว่ายัยข้ารับใช้ซะอีก เธอต้องฝึกอีกเยอะนะจิน” ชงหยวนพูดไปยิ้มไป ด้วยท่าทางภูมิใจน่าดู
“เอ่อ… ครับ”
ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะนะ
จินได้แต่ยิ้มแห้ง จะแบบไหนก็เป็นงานยากทั้งนั้น
แต่ถึงจะอ่านทั้งสองคนไม่ออก อย่างน้อยถ้าแค่จับตาดูเขาก็ทำได้อยู่ และเขาตั้งใจจะทำส่วนนั้นให้ดีที่สุดเพื่อชงหยวนและพวกพ้อง
และสำหรับชงหยวน… เธอไม่รู้เลยว่าชินกำลังเผชิญหน้ากับอะไรถึงได้ดูหวั่นไหวขนาดนั้น
ด้วยความสัตย์จริง หัวใจเธอกำลังเรียกร้องให้เข้าไปหาชินเพื่อปลอบประโลมความรู้สึกสับสนของเขา
“…”
แต่ในความเป็นจริงชงหยวนทำได้แค่กลืนความรู้สึกนั้นลงคอ หญิงสาวผู้ไม่เคยมีทางเลือกทำได้แค่ครุ่นคิดถึง ‘สิ่งที่ควรต้องทำ’ มากกว่า ‘อยากทำ’
เมื่อมีตัวแปรใหม่ เธอก็ต้องคิดต่อว่าชินจะตอบโต้อย่างไรเพื่อที่จะขัดขวางเขาก่อน
การเป็นผู้นำของเธอมีความหมายแบบนั้น ความรู้สึกของเธอไม่ควรมีผลกับการตัดสินใจนี้
…ต่อให้เธออยากทำแบบนั้นแค่ไหนก็ตาม
จริง ๆ เห็นแล้วก็เป็นห่ว———อยากรู้อยู่หรอกว่าชินกำลังเจอกับอะไรและจะทำอะไร
ชินอาจจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างที่ฟรองอยู่ก็ได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นแผนเกี่ยวกับอะไร เราก็จำเป็นต้องขวางไว้ก่อน
ไม่งั้น… ถ้าชินรู้ตัวแล้วเข้าไปแทรกแซงการชิงดินแดนของพวกเราล่ะก็…
ทุกคนจะทำงานลำบากแน่
ชงหยวนเบือนหน้าหนีจากหัวใจตัวเองอีกครั้ง
“ยังไงก็ฝากจับตาดูชินต่อไปด้วยนะจิน”
“ทราบแล้วครับ”
จินโค้งให้ชงหยวนที่เดินจากไป ไม่มีอะไรที่ทั้งสองคนทำได้มากกว่านี้
…หรือไม่เช่นนั้น ชงหยวนก็ทำสิ่งที่ทำได้ไปหมดแล้ว
ถึงราชาของอมาริโกจะเข้ามายุ่มย่ามจนอาจทำให้การเคลื่อนไหวของชินผิดเพี้ยนไปจากแผน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอกังวลนัก
เพราะทางชงหยวนเอง… ก็ได้สร้างแผนอันเป็นหลุมดักชินไว้แล้วเหมือนกัน
❖❖❖❖❖
———— กลางดึกเวลาไล่เลี่ยกัน, ใจกลางเมืองหลวงปารีส
ยามค่ำคืนของกลางเมืองหลวงอันอารยะ แสงไฟสีเหลืองอ่อนจุดประกายไปทั่วไหลไปตามสายถนนราวกับแม่น้ำระยิบระยับ การได้มองธารประกายเหล่านี้จากบนตึกสูงคงน่าอภิรมย์ไม่น้อย
ถึงกระนั้น… บนยอดตึกสูงใจกลางเมือง ได้มีชายหนุ่มหญิงสาวสองคนยืนสอดส่องเบื้องล่าง แต่กลับไม่ได้ยลโฉมทิวทัศน์เหล่านี้เลย
แม้สายลมกรรโชกพัดไปทิศใดสายตาของพวกเขาก็ไม่ไหวตาม
สายตาของพวกเขาส่องไปยังตึกสูงอีกแห่ง ข้ามผ่านความงามทั้งหลายทั้งปวง
จับจ้องแต่เป้าหมายของตัวเองเพียงเท่านั้น
“พร้อมไหมโกลเด้นด็อก”
“แน่นอนค่ะมาสเตอร์”
หญิงสาว… โกลเด้นด็อกพยักหน้าให้ชินผู้เป็นมาสเตอร์ ยืนยันข้อมูลอาวุธและระบบป้องกันจากชุด รวมถึงตรวจสอบสมรรถนะทางร่างกายของตัวเอง ลับคมประสาทสัมผัสให้คมกริบ
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการณ์สำคัญในคืนนี้
คืนนี้เป็นเวลาอิสระของเหล่านักเรียน นั่นเป็นช่องว่างให้เราออกไปหา ‘เป้าหมาย’ ของเราได้
ทางฉันได้ขอให้ ‘ผู้ร่วมมือ’ ปลอมตัวเป็นฉันแล้วไปนอนที่ห้องพักทั้งคืน หลังจากนั้นค่อยเปลี่ยนตัวกันตอนเช้าพรุ่งนี้
แค่นี้ก็น่าจะตบตาจินได้
ส่วนทางด้านโอลิเวีย เธอบอกว่าได้รับความช่วยเหลือจากเกวนในการสร้างหลักฐานยืนยันที่อยู่ให้
ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปสนิทกันถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็นับว่าดีแล้วล่ะ เพราะเกวนก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ที่สุดแล้วสำหรับสถานการณ์แบบนี้
ปลายสายตาชินมองไปยังโรงแรมที่เพื่อนร่วมชั้นพักผ่อน
ลึก ๆ แล้วยังแอบรู้สึกผิดที่ใช้การทัศนศึกษาเป็นฉากบังหน้าเพื่อฆ่าคน
…แต่ชินก็รีบลบความรู้สึกนั้นทิ้งเสีย
ความสับสนเกิดขึ้นบ่อยเหลือเกินในช่วงหลัง แต่ไม่ได้หมายความว่าควรปล่อยให้มันเข้ามาครอบงำ
ตั้งสติหน่อย
ชินเตือนตัวเอง เขาตัดใจหันไปมองโรงแรมอีกแห่งที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงและเป็นตึกสูงกว่าโรงแรมที่โรงเรียนจัดหาให้
ที่นั่นคือเป้าหมายของเขาและโกลเด้นด็อกในคืนนี้
ที่โรงแรมแห่งนั้นเป็นอีกแห่งนึงที่มีศูนย์กลางของซิงกูลาริตี้ตั้งอยู่
เราสองคนจะเข้าไปที่นั่นเพื่อยืนยันข้อมูลที่ได้มาจากแทรกกิ้งมาสเตอร์
ก็จริงที่ข้อมูลมันเกือบจะถูกต้อง 99.99% อยู่แล้ว
แต่เรากำลังพูดถึงเจ้าตัวตลก… เจ้าคนที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดมาหลายสิบปีทั้งที่ทำเรื่องใหญ่ขนาดนั้นลงไป
มันอาจจะมีอะไรซ่อนอยู่อีก เราจะประมาทไม่ได้
จะไม่ให้ข้อมูลอะไรเล็ดลอดสายตาไปเด็ดขาด
ยิ่งเป็นเวลาเผด็จศึกแบบนี้ ความรอบคอบยิ่งต้องเพิ่มเป็นสองเท่า
ชินเตือนตัวเองเป็นหนที่สอง พยายามเรียกความเยือกเย็นของตัวเองกลับมา
เขาเกือบจะทำได้… ถ้าไม่เห็นคู่หูสาวของตนดูเงียบกว่าทุกที
ปกติโอลิเวียจะมองมาที่ชินแทบจะตลอดเวลาทั้งด้วยความสิเนหาและความเป็นห่วง
แต่ตอนนี้เธอกลับสังเกตรอบ ๆ มากกว่าปกติดูกังวลมากจนน่าเป็นห่วง ความระแวงของเธอเข้าขั้นวิตกจริตทีเดียว
แต่ก็… โทษเธอไม่ได้หรอก
ชินนึกย้อนกลับไปตอนอยู่ที่เซฟเฮาส์ คิดว่าสาเหตุความกังวลน่าจะมาจากตอนนั้น
โอลิเวีย… เธอเป็นห่วงที่ฉันจะเคลื่อนไหวในนามแองกริคราวน์
เรื่องซิงกูลาริตี้ก็เรื่องนึง เพราะรู้กันอยู่แล้วว่าเราไม่ค่อยชอบหน้ากัน
แต่จุดที่โอลิเวียกังวลจริง ๆ คงเป็นเรื่องของชงหยวนมากกว่า
“ถ้ายังเคลื่อนไหวในฐานะแองกริคราวน์ต่อไป ผู้หญิงคนนั้นจะไม่สงสัยเอาเหรอคะ?”
โอลิเวียเตือนฉันมาแบบนั้น กังวลแทนฉันด้วยความเป็นห่วงเหมือนทุกที
พูดตามตรง ก็รู้สึกดีใจอยู่หรอกนะ
แต่ว่า… อันที่จริงมันอาจเป็นความกังวลที่เสียเปล่าก็ได้
ไม่ใช่ในแง่ดีแต่เป็นในแง่ร้าย
เพราะเรารู้สึกว่าชงหยวนกับจินน่าจะรู้แล้วว่าเราคือแองกริคราวน์ ท่าทางและการตอบโต้ของพวกเขาบอกแบบนั้น
โดยเฉพาะจินที่จ้องเราตาเป็นมัน บรรยากาศนั้นคล้ายกับตอนที่เป็นหู่เลยทีเดียว
แต่ถึงจะสงสัยแค่ไหน พวกนั้นก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี ฉันเลยปล่อยผ่านทำเป็นไม่สนใจมาตลอด
แต่สำหรับพวกชงหยวน พวกเธอไม่ควรปล่อยฉันไป… เพราะถ้าอยากจะกำจัดความเสี่ยง พวกชงหยวนไม่จำเป็นต้องรอหลักฐานเลย
แค่เรามีพิรุธน่าสงสัยชวนให้เชื่อว่าเป็นแองกริคราวน์ ชงหยวนก็ควรจะกำจัดเราไปซะเพื่อความปลอดภัยของพวกตัวเอง นั่นคือตัวเลือกที่สมเหตุสมผลที่สุด
…แต่ทั้งแบบนั้นเธอกลับไม่ยอมทำ
ถ้าคำนึงจากเรื่องที่เคยคุยกับโอลิเวีย ชงหยวนมีความเป็นไปได้สูงว่าแฝงตัวเข้ามาที่โรงเรียนเพื่อยืนยันฝ่ายที่ฉันสังกัดแล้วชวนเป็นพวก
ซึ่งตอนนี้ พวกนั้นสงสัยว่าฉันเป็นแองกริคราวน์ซึ่งเห็นชัดว่าอยู่ฝ่ายเดียวกับอัลเฟรด
รู้แบบนั้นแต่ก็ยังไม่ยอมกำจัดเราอีก
แสดงว่า… ต่อให้ฉันกลายเป็นแองกริคราวน์ไป แต่ก็ยังพยายามจะชวนเป็นพวกอยู่สินะ
ห้าสิบเปอร์เซ็นต์งั้นเหรอ…
ความเชื่อใจที่ชงหยวนให้มา จะบอกว่ามีความหมายแบบนี้รึเปล่า?
ชินนึกถึงสีหน้าของชงหยวนที่อยากให้เขาเชื่อใจ พยายามคิดหาเหตุผลเบื้องหลังการกระทำผัดวันประกันพรุ่งของเธอ
ชินไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง
แต่บางที… เขาคิดว่าชงหยวนคงจะพยายามทุกทางเพื่อให้ชินยังมีโอกาสพลิกกลับมาอยู่ฝ่ายตัวเอง นั่นคงเป็นเป้าหมายของเธอ
เรื่องความสิเนหาคงคาดเดาไม่ได้ แต่เรื่องที่ชินมีพลังที่จะเปลี่ยนกระแสสงครามนั้นเป็นของจริง ไม่ว่าใครก็ไม่อยากทิ้งตัวตนแบบเขาไปแน่ถ้ายังมีโอกาสใช้งานได้
ดังนั้น แม้จะเชื่อใจชงหยวนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเป้าหมายของเธอก็พอทำได้อยู่
ทว่ากลับกัน… โอลิเวียทำอย่างนั้นไม่ได้
ชินมองเห็นท่าทางเกร็งและมือที่กำแน่นของเธอก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมองสีหน้าด้วยซ้ำ
ทางโอลิเวียเองก็รู้ตัวดีว่าความจริงนั้นกวนใจเธอแค่ไหน
ความจริงที่ว่า… คนที่เรารักถูกปล่อยให้มีชีวิตอยู่เพราะเป็นตัวหมากที่ยังมีประโยชน์
บังอาจมาก… ทำยังกับจะใช้ทิ้งใช้ขว้างเขายังไงก็ได้
นี่คิดว่าชินเป็นของเล่นของคุณรึไง!?
นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!
โอลิเวียทั้งเศร้าและเดือดดาล แค่ระงับไม่ให้ความรู้สึกพวกนั้นออกมาทางสีหน้าก็ถือว่าพยายามได้ดีแล้ว
ชินเองก็เห็นด้วย เขารู้สึกขอบคุณตรงนั้น
แต่ถ้าเคลื่อนไหวในสภาพไม่มั่นคงแบบนี้โอลิเวียจะเป็นอันตรายเอาได้
ซึ่งชินไม่ต้องการแบบนั้น
“!!!?”
ชินเดินเข้าไปลูบศีรษะโอลิเวีย ถ้าทำได้ก็อยากเข้าไปสวมกอดเธอด้วยซ้ำ
หน้ากากของโกลเด้นด็อกเป็นแบบสวมทั้งหัว มือของชินไม่สามารถสัมผัสเธอได้โดยตรง
แต่น่าประหลาด… โอลิเวียกลับสัมผัสความอบอุ่นจากชินได้
ยิ่งน่าแปลกใจที่ตัวเองยิ้มออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังโกรธจนภายในอกเหมือนถูกไฟเผา
คนที่รู้สาเหตุมากกว่ากลับไม่ใช่เจ้าตัว แต่เป็นชิน
ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วสินะ
ชินสบายดี ไม่ได้กลัวหรือกังวลเรื่องจะถูกใครใช้ประโยชน์หรือกลายเป็นเครื่องมือของใคร
ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ชินก็ไม่กลัว เขาทำได้เพราะมีโอลิเวียคอยอยู่เคียงข้าง
“ฝากหลังฉันด้วยนะโกลเด้นด็อก” น้ำเสียงอ่อนโยนของชินช่วยกระตุ้นโอลิเวียอีกครั้ง แล้วมีหรือที่เธอจะไม่อยากตอบรับ
ความปรารถนาที่อยากจะใกล้ชิดของชินส่งไปถึงโอลิเวียผ่านน้ำเสียง
ขอแค่ยังอยู่เคียงข้างและคอยดูแลกัน ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกลัว… ชินส่งเจตนานั้นไปหาโอลิเวีย และเธอก็เข้าใจมันแล้ว
“…แน่นอนค่ะมาสเตอร์”
คิดไปก็เสียมารยาท แต่โอลิเวียที่ตอบรับทันทีนั้นราวกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์สมฉายาจริง ๆ
แต่เพราะเธออยู่เคียงข้างชิน พร้อมเป็นทุกอย่างให้ชินเช่นนั้นแหละ ชินจึงสบายใจและเคลื่อนไหวได้อย่างมั่นใจมาตลอด
และในตอนที่ชินต้องการเป็นพิเศษ โอลิเวียก็ยังคงทำได้ดีเหมือนที่ผ่านมา
“งั้นก็… ไปจบเรื่องกันเถอะ”
ชินตั้งสติเป็นหนที่สาม ตัดทอนเรื่องไม่จำเป็นออกจากหัว ทำร่างกายให้ร้อนระอุเพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย
ตอนนี้ร่างกายและจิตใจของเขาพร้อมเต็มที่ ชินกระโดดลงจากยอดตึกไปสู่อีกตึกโดยมีโอลิเวียตามไปติด ๆ
เพื่อชำระแค้นที่รอมานานกว่าสิบสองปี
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION