ทัศนวิสัยกลางเมืองหลวงโดยทั่วไปหาความสงบได้ยากยิ่ง เนื่องด้วยจำนวนของประชากรที่อัดแน่น ตามมาด้วยการจราจรที่อัดแน่นยิ่งกว่า
แม้จะมีสิ่งปลูกสร้างอันมีอารยะงดงามมากมาย แต่ความวุ่นวายก็ทำลายบรรยากาศเหล่านั้นก่อนจะอยากเชยชมเสียอีก
แต่ไม่ใช่กับเมืองหลวงของฟรอง
ความงดงามของสิ่งปลูกสร้างให้ความรู้สึกอิ่มเอมราวกับกำลังเดินชมนิทรรศการณ์จัดแสดงงานศิลป์ ความวิจิตรของลวดลายแม้จะเป็นเพียงช่วงสายของวันยังทำให้รู้สึกตื่นเต้น มันทำให้ผู้คนรู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอช่วงเวลาที่หลอดไฟทั้งหมดจะเปล่งประกายสว่างไสวยามราตรี
นั่นแหละคือบรรยากาศของเมืองแห่งนี้
“บองชู! ปารีสสสสสสสสสส!!!”
คนที่เก็บความตื่นเต้นนั้นไว้ในอกไม่ไหวจนตะโกนออกมาคือเคนเนธ
ทันทีที่เดินออกมาจากเทอร์มินอลของสนามบิน ความตื่นเต้นของเขาก็ทะลุปรอทจนออกมาจากปาก
ถึงจะมากเกินไปหน่อยก็เถอะ
“จะตะโกนทำไมยะ!”
“แอ๊ก!!!”
โดนอาจารย์เลย์น่าตบกบาลไปหนึ่งทีด้วยสมุดเช็คชื่อเขาถึงสงบลงได้
ทำอะไรของหมอนี่เนี่ย
ชินที่เป็นเพื่อนสนิทก็ได้แต่กุมขมับถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
เกวนเองก็ได้แต่ยิ้มแห้งตาม ส่วนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นก็ได้แต่ปิดตาตัวเองแก้เขินทำเป็นไม่รู้จัก
…ถึงมันจะสายไปแล้วเพราะทุกคนสวมชุดนักเรียนเดียวกันก็เถอะ
แต่หลังจากนี้คงจะมีเรื่องตื่นเต้นกว่านี้อีกแน่เพราะเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเคนเนธ ชินคิดว่าใส่ปลอกคอแต่เนิ่น ๆ คงดีกว่า
เขาเดินไปหาเคนเนธแล้วกระทุ้งศอกใส่สีข้างเคนเนธอีกต่อจากอาจารย์เลย์น่า
“เคนเนธ ส่งเสียงดังแบบนั้นมันรบกวนคนอื่นนะ”
“ขะ ขอโทษที! เผลอเกินไปจริง ๆ นั่นแหละนะ”
โดนดุสองต่อเคนเนธก็เริ่มรู้สึกผิด เขารีบหันไปพนมมือขอโทษประชาชีที่อยู่รอบ ๆ พร้อมเหงื่อตกกระจายด้วยความสำนึก
โชคดีเกินคาดที่ทุกคนตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรกันหมด การเป็นทั้งเด็กนักเรียนและนักท่องเที่ยวดูจะช่วยให้การอภัยทำได้ง่ายขึ้น
“ดีนะที่ทุกคนใจดี ไม่งั้นนายอาจจะถูกตำรวจจับได้เลยนะเนี่ย”
เกวนเดินเข้ามาเตือนเคนเนธอีกรอบ เธอคงกังวลน่าดูถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาตั้งแต่วันแรก
จินเองก็เดินตามมาติด ๆ
“นั่นสิครับ อยู่ต่างบ้านต่างเมืองควรจะระวังให้มากกว่านี้สิ” จินเข้ามาเตือนแบบสงบเสงี่ยม แต่น้ำเสียงช่างเรียบเฉยเสียยิ่งกว่าอะไร ถ้าไม่ติดว่าอยู่กลุ่มเดียวกันเขาคงไม่สนใจด้วยซ้ำ
กลับกัน… สายตาของเขาแทบจะมองชินตลอดเวลา
ส่วนเคนเนธ พอโดนย้ำหลายครั้งก็ทำหน้ามุ่ย เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองโดนแกล้งมากกว่าโดนดุ
“มู้ววววว เตือนรอบเดียวก็รู้แล้วน่า ฉันไม่ใช่เด็กซะหน่อย”
“แต่ก็ทำตัวเหมือนเด็กนี่คะ ฮุฮุ!”
“อุก…”
เคนเนธถึงกับจุกเมื่อโดนซูซานแทงใจดำ ต่อให้โดนเธอยิ้มหัวเราะคิกคักอย่างแสบสันเคนเนธก็เถียงอะไรกลับไปไม่ได้เลย
โอลิเวียเดินผ่านฉากนั้นไปไม่สนใจซูซานกับเคนเนธ เธอลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาข้าง ๆ ชิน หยิบกระดาษรายชื่อขึ้นมาตรวจสอบกำหนดการร่วมกับชินที่เป็นหัวหน้ากรรมการเหมือนกัน
“หืม…”
ซูซานเหลือบไปเห็นมีหรือจะปล่อยไปเปล่า ๆ
เธอรีบเดินเข้าไปหา ไม่ยอมให้ชินได้จังหวะอยู่กับโอลิเวียสองต่อสองแน่
“แล้วนี่เราต้องไปไหนต่อเหรอคะชิน?” ซูซานเดินเตาะแตะมาอยู่อีกฝั่งตรงข้ามกับโอลิเวีย
เธอขยับเข้าใกล้ชิดกับชินอย่างจงใจ ส่งสายตาใส่โอลิเวียเป็นเลศนัยอีกต่างหากว่าไม่ยอมให้เธอชิดใกล้กับเขาคนเดียว
โอลิเวียเห็นแบบนั้นก็คิ้วกระตุกในทันที
ที่ซูซานเข้าไปถามชินเรื่องกำหนดการ ดูยังไงก็แค่ข้ออ้างชัด ๆ
“ที่ต่อไปเหรอ———”
“ไปเก็บสัมภาระที่โรงแรมไงคะ”
โอลิเวียชิงตอบก่อนชิน ทำซูซานมองค้อน แล้วโอลิเวียก็มองค้อนกลับไปอีก
ชินเห็นสองสาวจ้องกันแล้วกลืนน้ำลายทันที เขารู้ว่าเรื่องไม่จบง่าย ๆ แน่ แถมโอลิเวียก็กำลังจะพูดกับซูซานต่ออีก
“เป็นคณะกรรมการแท้ ๆ แต่ยังจำกำหนดการไม่ได้นี่ค่อนข้างน่าผิดหวังนะคะคุณซูซาน” โอลิเวียถอนหายใจออกมาอย่างแรง ทำสีหน้าผิดหวังอย่างจงใจ
…จงใจเกินไปสำหรับคนที่ปกติทำหน้านิ่งเรียบเฉย ซูซานเห็นจึงรู้ได้ทันทีว่าตั้งใจหาเรื่อง
กล้ามากนะยัยข้ารับใช้
แล้วมีหรือซูซานจะยอมได้ ถ้าไม่ติดว่าตรงนี้มีชินอยู่คงต้องถึงขั้นลงไม้ลงมือไปแล้ว
แต่เธอก็กัดฟันแน่นยั้งตัวเองไม่ให้ลงมือเกินเหตุ แล้วเลือกทางที่ทำให้ตัวเองดูดีมากกว่าแทน
“แหม ๆ จริงจังไปได้ค่ะคุณโอลิเวีย แค่ฉันรู้สึกตื่นเต้นไปหน่อยถึงกับต้องว่ากันแบบนั้นด้วยเหรอคะเนี่ย”
“เราเป็นคณะกรรมการ ก็ต้องทำงานให้สมกับความคาดหวังของทุกคน… ไม่ใช่ตอนประชุมคุณเป็นคนพูดเองเหรอคะ?”
“แต่มันก็ต้องมีขีดจำกัดนี่คะ เครียดมากแก่เร็วนะคะ ริ้วรอยก็ออกเร็วด้วยนะเอ้อ”
โอลิเวียได้ยินแล้วคิ้วกระตุกอีก ซูซานผู้อ่านคนเก่งมองเห็นปฏิกิริยานั้นและคิดว่าได้เรื่องแล้ว
แต่คนลำบากใจคือชินที่ฟังมาตลอด แถมเขายังอยู่ตรงกลางให้ทั้งสองคนเถียงทะลุหูเขาอีก แบบนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบแน่ ชินคิดว่ามีแต่ต้องหยุดสองสาวก่อนที่เรื่องจะบานปลาย
“นี่ ทั้งสองคน———”
“แต่เป็นเอลฟ์ก็คงไม่มีใครดูออกหรอกเนาะว่าแก่แล้ว เผลอ ๆ ปลอมอายุมาเรียนคงยังไม่มีใครรู้เลยมั้งคะเนี่ย ฮุฮุ!”
“…จะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกันค่ะ เพราะคุณคงทำแบบเดียวกันไม่ได้”
“เป็นความงามตามธรรมชาติที่เอลฟ์ไม่มีทางสัมผัสได้ยังไงล่ะคะ”
“ขอโทษนะคะ ดิฉันคงไม่มีวันเข้าใจเรื่องนั้น …พอดียังไงก็ไม่มีวันแก่อยู่แล้วด้วยสิ”
แต่คำพูดชินหาได้มีใครฟังไม่ ทั้งสองคนยิ้มแยกเขี้ยวใส่กัน ยื่นหน้าเหมือนเตรียมเข้าปะทะจะจบเรื่องมันเสียตรงนี้
จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ชินไม่เคยมีจังหวะแทรกระหว่างทั้งสองคนได้เลย ทำเอาแอบสงสัยทักษะการเจรจาของตัวเองเลยด้วยซ้ำ
แต่อย่างว่า… คนต้นเหตุอย่างชินยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุสาว ๆ สองคนนี้อยู่ดี ทักษะของเขาเปล่าประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่กำลังมีความรักและความโกรธ
คนที่จะช่วยชินได้ เห็นทีจะมีแต่คนที่เข้าใจความรู้สึกนั้น จึงแทรกแซงจังหวะนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“น่า ๆ อุตส่าห์ได้มาเที่ยวกันทั้งที ใจเย็น ๆ กันเถอะนะทั้งสองคน! เนาะ!”
ผู้ช่วยชีวิตนามเกวนเดินเข้ามาดันไหล่ของสองสาวออกจากกัน หันไปยิ้มแห้ง ๆ ให้ทั้งโอลิเวียและซูซานพักรบ
นอกจากนั้น เกวนพยายามใช้สายตาเบนทั้งสองคนให้ไปมองข้างหลัง
ตอนนี้นักเรียนหลายกลุ่มกำลังกระซิบกระซาบกันหลังได้เห็นฉากละครหลังข่าวระหว่างชิน โอลิเวียกับซูซาน
ช่วงหลังทั้งสามคนเป็นที่จับตามองกันมากขึ้น
แต่เดิมก็เป็นหนุ่มสาวหน้าตาดีของโรงเรียนอยู่แล้ว พอมีเรื่องรักสามเศร้าเข้ามา ความสนใจของทุกคนจึงยิ่งเพิ่มขึ้น เด็กนักเรียนมัธยมสนใจเรื่องนี้กันนักแล
กับคนที่มีแผนเบื้องหลัง การเป็นจุดสนใจย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดี
โอลิเวียกับซูซานเลยต้องยอมผละออกจากกันอย่างช่วยไม่ได้ …ถึงสุดท้ายจะยังมองเขม่นกันอยู่ แต่ก็ต้องจำใจยอมสงบศึกไปก่อน
เกวนกับชินเห็นแล้วถอนหายใจโล่งอกพร้อมกัน
จังหวะตรงกันจนเกวนอดรู้สึกดีใจไม่ได้
“…”
ใบหน้าเกวนเริ่มแดงก่ำขึ้น
ปกติเกวนก็แอบมองชินอยู่แล้ว พอใจตรงกันความสนใจของเกวนก็ยิ่งพุ่งทะยาน แถมลึก ๆ แล้วก็ไม่อยากน้อยหน้าโอลิเวียหรือซูซานด้วย
เกวนเลยตัดสินใจเดินเข้าไปเบื้องหน้าชิน เริ่มมองช้อนเขาด้วยสายตาหวานฉ่ำ
“ถ้าชินรู้สึกเหนื่อยก็มาพึ่งฉันแทนได้นะ ฉันยินดีเสมอเลยจ่ะ”
เกวนส่งรอยยิ้มพิมพ์ใจให้ชิน ช่วงชิงจังหวะที่เขาเหนื่อยจากโอลิเวียและซูซานทำตนให้เป็นเทพธิดาเยียวยาหัวใจ
“ “ห่ะ!?” ”
จากที่เรื่องจะจบ เลยกลายเป็นโอลิเวียกับซูซานยิ่งยั๊วเข้าไปใหญ่
ใครจะรู้ว่าจะมีฝ่ายที่สามตามมาลงสนามรบทีหลัง
การคาดเดาไม่ได้นี่แลคือเสน่ห์ของสงครามที่ชื่อว่าความรัก
ขอพักบ้างเถอะ
ถึงมันจะทำให้คนกลางเหนื่อยสุด ๆ ก็ตาม
ชินผู้อยู่ตรงกลางต้องรับแรงกระแทกจากทั้งสามด้านเต็ม ๆ เขาเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกของกระสอบทรายที่ต้องรับแรงกระแทกแต่ตอบโต้อะไรไม่ได้ขึ้นมาแล้ว
คนที่บันเทิงใจคงมีแต่คนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง
โดยเฉพาะเคนเนธที่ได้เก้าอี้นั่งรับชมละครเรื่องนี้ใกล้ที่สุดเพราะอยู่กลุ่มเดียวกัน
“ชักจะสนุกขึ้นมาแล้วสิเนี่ย” จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกไหมนะ นั่นคือสายตาคาดหวังพร้อมรอยยิ้มแสนสนุกของเคนเนธ
“ชักจะวุ่นวายขึ้นมาต่างหากครับ”
จินเห็นแล้วรู้สึกเหนื่อยใจมากกว่า
เพราะเขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าตนกับซูซาน… ชงหยวนมาทำอะไรที่นี่กันแน่
❖❖❖❖❖
หลังจากที่ฟังทั้งสามคนสู้กัน?ไปสักพัก รสบัสที่เราเช่าก็มาถึงสนามบินพอดี
ต้องขอบคุณเรื่องนั้นฉันเลยได้พักสักที
เมื่อก่อนแค่โอลิเวียกับชงหยวนปะทะกันเราก็รับมือไม่ไหวแล้ว นี่เกวนเข้ามาร่วมด้วยอีกอย่าหวังเลยว่าจะหยุดได้
ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าจะทำแบบนั้นไปทำไม… หรือว่าเบื้องหลังบทสนทนาเหล่านั้นมีความหมายอะไรอย่างอื่นที่เราไม่รู้ด้วยรึเปล่านะ?
เป็นการส่งโค้ดลับอะไรกันระหว่างพวกผู้หญิงรึเปล่า?
คงไม่ใช่มั้ง
ชินครุ่นคิดแต่หาคำตอบไม่ไหว ได้แต่เหม่อมองสามสาวที่นั่งถัดไปข้างหน้าคุยเล่น?กันอย่างสนุกสนานภายในรถบัสโดยสาร
แน่นอนว่าความจริงมันเป็นตรงข้าม ชินเองก็นึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่าทั้งสามคนนั้นจะเล่นกันได้ยังไง
แต่การมองเป็นแบบนั้นมันสบายใจกว่า เพราะยังไงชินก็ห้ามพวกเธอไม่ให้ทะเลาะกันไม่ได้อยู่ดี
แล้วที่หนักกว่าคือสามคนนั้นดันจับอยู่กลุ่มทัศนศึกษาเดียวกันด้วย
ก็จริงที่มันสมเหตุสมผลแล้วที่จับเอาหัวหน้าและรองหัวหน้าคณะกรรมการมาอยู่กลุ่มเดียวกัน
แต่ก็ไม่คิดเลยแฮะว่าจะกลายเป็นแบบนี้
นี่ทั้งสามคนจะกลายเป็นแบบนั้นจนจบเลยรึเปล่านะ?
ชินยิ้มแห้งปลอบใจตัวเอง แอบคิดว่าสถานการณ์ระหว่างทั้งสามคนอาจจะส่งผลกระทบกับแผนของเขา
…แต่ชินก็แค่คิด เพราะความรู้สึกเครียดไม่มีอยู่
เนื่องจากมันถูกถมด้วยความมั่นใจว่าแผนของตัวเองจะสำเร็จไปแล้ว
แต่ในใจของชินกลับไม่ได้รู้สึกเบาสบาย
มันกลับยังหนักอึ้ง ขุ่นมัว และจับต้นชนปลายไม่ถูก
…เพราะอย่างไรเสีย มันก็ยังไม่น่าพิศมัยเท่าไรนัก เมื่อเขาต้องเตรียมใจไปเจอคนที่คิดว่าตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน
ความกระอักกระอ่วนน่าจะเป็นของธรรมดาเมื่อมีสถานการณ์นั้นรออยู่
แม้นอกหน้าต่างรถบัสเป็นนครอันวิจิตร สายตาชินเลยยังเหม่อลอยไร้หลักแหล่ง
ว่าไปแล้ว… นั่นอาจเป็นสิ่งเดียวที่สะท้อนความสับสนในใจของเขา ที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัว
❖❖❖❖❖
“ “ “โหหหหห!!!!” ” ”
ทันทีที่มาถึงโรงแรม เคนเนธ เกวนและซูซานก็ทำตาเป็นประกาย ส่งเสียงพร้อมกันยังกับวงดนตรีออเคสตรา
เสียงไม่ดังเท่ากับตอนที่อยู่สนามบิน แต่ปริมาณไม่สำคัญเท่ากับการกระทำ เพราะสุดท้ายเกวนกับซูซานก็กลืนคำพูดตัวเอง
ด้วยโคมระย้าประกายแสงสีเหลืองทองอร่ามเต็มฝ้าโถงกลาง
ไฟประดับที่ดูตระการตาโดยรอบราวกับเป็นงานเลี้ยงเต้นรำในราชวัง ความหรูหรามีระดับของพรมแดงนำจากทางเข้าไปสู่เคาน์เตอร์ทำให้ลูกค้าทุกคนที่เข้าพักรู้สึกว่าตัวเองนั้นพิเศษ
เจอบรรยากาศที่เคยเห็นแค่ในหนังแบบนี้เข้า ปฏิกิริยาของทั้งสามคนคงถือว่าปกติแล้ว
ทางจินไม่ได้เจอการออกแบบเช่นนี้เป็นครั้งแรก เขากลับแปลกใจซูซานที่ควรจะได้เจอของแบบนี้บ่อยแต่ก็ยังแสดงความตื่นเต้นออกมา
แสดงเนียนเกินไปมันจะดีรึเปล่าครับเนี่ย
จินคิดได้แต่ว่าซูซานกำลังเล่นไปตามบท เพราะไม่น่าเชื่อว่าซูซาน… ชงหยวนจะไม่เคยเจอความหรูหราระดับนี้
ส่วนคนที่ไม่ได้สนใจเลยไม่ว่าจะเคยหรือไม่เคยเห็นก็มีอยู่
นั่นคือชินกับโอลิเวียที่ยืนอยู่หลังสุดเกือบประตูทางเข้า ทั้งสองมองเพื่อนในกลุ่มตัวเองและเพื่อนร่วมชั้นอยู่ห่าง ๆ เสมือนผู้ปกครองมองลูก ๆ ให้อยู่ในระยะสายตา
ถึงแบบนั้น ความงดงามของที่นี่ก็ชวนให้เผลอมองอยู่ดี โอลิเวียเองก็อดมองโคมระย้าที่อยู่กลางห้องโถงไม่ได้เช่นกัน
“หนก่อนที่เรามาก็เป็นที่นี่เหมือนกันสินะคะ” โอลิเวียยังคงประทับใจแม้เป็นหนที่สอง
ถึงสีหน้าจะเรียบเฉยตามเคย แต่ชินสัมผัสได้ว่าโอลิเวียชอบที่นี่ ชินพยักหน้ารับหนนึงเพราะเข้าใจความรู้สึกนั้น
“นั่นสินะ… ถึงจุดประสงค์จะเป็นคนละอย่างกันก็เถอะ”
คำพูดชินเบาลงในประโยคหลัง
“?”
แต่… พอโอลิเวียได้ยินอย่างนั้นสีหน้าเธอก็หมองลงแต่ก็รีบปรับไม่ให้ชินสังเกตเห็น
ครั้งก่อนที่มาที่แห่งนี้ ชินกับโอลิเวียเคยใช้โรงแรมนี้เป็นที่พักระหว่างเดินทางเพื่อตามหาเบาะแสของตัวตลกเมื่อหลายปีก่อน
และครั้งนี้ เพราะได้ข้อมูลมาว่าตัวจริงของตัวตลกอาศัยอยู่ในปารีสพอดีกับที่มีการทัศนศึกษา ทั้งสองจึงวางแผนเพื่อจบเรื่องนี้และมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง
ดังนั้น จุดประสงค์ครั้งก่อนกับครั้งนี้มันควรจะเหมือนกัน
…ทั้งอย่างนั้น ชินกลับบอกว่าไม่เหมือน
“ครั้งนี้… ชินมาเพื่อท่องเที่ยวใช่ไหมคะ”
“…”
น้ำเสียงออดอ้อนมาจากโอลิเวีย ความคาดหวังของเธอทำให้ชินเหงื่อตกกังวล ไม่สิ… รู้สึกผิด
โอลิเวียคาดหวังว่าชินอาจลำดับความสำคัญว่ามาพักผ่อนมากกว่ามาเพื่อจบปัญหาเรื่องตัวจริงของตัวตลก
…ทั้งที่รู้อยู่ว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้น ไม่งั้นชินคงไม่เตรียมแผนไปเจอตัวตลกและแผนรับมือชงหยวนแต่แรก
แววตาชินสับสนเสียขนาดนั้น เขาไม่ได้คิดเรื่องเที่ยวแน่นอน
ดังนั้น ความหมายเบื้องหลังคำของชินที่บอกว่าจุดประสงค์ของครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว มันคือความสับสนของเขาล้วน ๆ
ชิน…
เห็นชินเหมือนขาดหลักยึด มือของโอลิเวียเอื้อมไปเกือบจะกุมมือของชิน สีหน้าสับสนของเขาเกือบจะทำให้ใจเธอแตกสลาย โอลิเวียเกือบจะพุ่งเข้าไปกอดชินไว้แน่น ๆ แล้วด้วยซ้ำ
แต่เพราะซูซานเดินเข้ามาทางนี้เสียก่อน โอลิเวียจึงจำต้องชักมือกลับ
“ชินดูคุ้นเคยจังนะคะ” ซูซานเอียงคอ เพราะรู้สึกว่าชินไม่ได้สังเกตรอบ ๆ เท่าที่ควร
“…ก็เคยมาที่นี่ครั้งนึงน่ะ”
ชินไม่คิดปฏิเสธเพราะภาษากายก็บ่งบอกอยู่
ยิ่งภาษากายบ่งบอกแล้วยังโกหกอีก แบบนั้นจะยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่ ยิ่งกับซูซานที่อ่านคนเก่งด้วยยิ่งไม่ควรทำ
ถึงบางครั้ง… เธอจะดูอ่านได้เก่งเกินไปหน่อยจนน่ากลัวก็ตาม
“ชินมาตามหาคนเหรอคะ?”
“…”
ซูซานมองมาด้วยแววตานิ่งแต่กลับใครรู้ยิ่งกว่าหนไหน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในใจชินคือความร้อนรุ่ม แววตาของชินคมกริบขึ้น บรรยากาศรอบตัวก็สั่นไหวขึ้นมาจนรู้สึกขนลุกไปหมด แม้แต่โอลิเวียเองยังเหงื่อตก
แล้วซูซานที่เป็นต้นเหตุมีหรือจะไม่หวั่นไหว คิ้วเธอเลิกขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัวทีเดียว
ชินจึงได้รู้ตัวว่าปล่อยอารมณ์แบบไหนออกมา เขารีบสงบตัวเองลงในเวลาไม่ถึงวินาที
แต่แน่นอนว่าไม่ทัน… ไหล่ของซูซานสั่นเพราะความกลัวไปแล้ว
“ฉัน… ถามอะไรแปลก ๆ เหรอคะ” ซูซานที่ยังเหงื่อตกถามชินเกรง ๆ ขึ้น
ชินจำท่าทางแบบนั้นได้ ซูซาน… ชงหยวนแสดงสีหน้าแบบนั้นออกมาเมื่อวันประชุม
นั่นคือสีหน้าของคนที่รู้สึกเศร้าและรู้สึกผิด ชงหยวนโกหกสีหน้านั้นกับชินไม่ได้
การได้รู้แบบนั้นเลยทำให้ชินรู้สึกแบบเดียวกัน เขาแสดงเจตนาของตัวเองออกมามากเกินไปเพราะถูกคำพูดชงหยวนกระตุ้น ทั้งที่เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจแท้ ๆ
เราเป็นอะไรของเรากันนะ
น่าหงุดหงิดซะจริง
“…เปล่าหรอก ขอโทษทีนะ”
ชินตอบกลับเสียงเบา รู้สึกผิดกับท่าทีของตัวเอง
เขาพยายามมองข้ามความผิดพลาดนั้นแล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเคนเนธเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซูซานกับโอลิเวียมองแผ่นหลังชินที่เดินจากไปด้วยความเป็นห่วง
คงมีแค่เวลานี้เท่านั้นที่ทั้งสองคนรู้สึกเหมือนกัน
…ถึงคนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ของชินจะมีอยู่แค่คนเดียวก็ตาม
ชินเองก็มีเรื่องที่ต้องทำสินะ… เรื่องที่เราไม่รู้
และการไม่เข้าใจเรื่องนั้น ก็เป็นอันทำให้สาวน้อยอย่างซูซาน… ชงหยวนเป็นทุกข์อยู่ลึก ๆ อีกครา
❖❖❖❖❖
————ในเวลาเดียวกัน, ตึกแห่งหนึ่ง ห่างจากโรงแรมที่ชินเข้าพักราว 2 กิโลเมตร
อาคารสำนักงานไม่ใช่สิ่งที่มองหาได้ยากในเมืองหลวง
กลับกัน… มันเป็นสถานที่ที่ดูกลมกลืนที่สุดแล้วหากต้องการจะทำบางสิ่งภายในอาคารโดยที่ไม่มีใครสังเกต
ตัวตึกเงียบงันสนิทไร้ผู้คนทั้งที่เป็นตอนกลางวัน มีเพียงห้องผู้บริหารในสุดห้องเดียวที่มีเสียงการพูดคุย ซึ่งไม่มีทางเล็ดลอดออกไปให้บุคคลที่สามได้ยิน
ที่นั่งผู้บริหารถูกยึดโดยเด็กผู้ชายสูงราว 160 ซม. ผมบลอนด์สั้น เขากำลังนั่งเอาเท้าพาดกับโต๊ะอย่างสบายใจเฉิบ ท่าทางภายนอกดูมีสกุลรุนชาติ หน้าตาเองก็คมขัดกับรูปลักษณ์ที่ดูเป็นเด็ก
อีกอย่างที่ไม่ทำให้รู้สึกแบบนั้นคือแววตาเป็นประกายแห่งความมั่นใจและคมกริบเกือบจะตลอดเวลา รวมกับบรรยากาศที่ดูเคร่งขรึม ช่างสวนทางกับท่าทีเหมือนเด็กชอบเล่นซนเสียจริง
ส่วนคนที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้องคือหญิงสาวอีกคนในชุดสูทและกระโปรงสั้นทรงเอ เธอมีผมสีน้ำตาลยาวหยักศก มีส่วนเว้าโค้งอันน่าอัศจรรย์และทรงเสน่ห์จนน่าจะตรึงสายตาชายหนุ่มได้ทุกคน
เธอยืนอยู่ใกล้ประตูห้องยกมือขึ้นแนบหูที่มีหูฟังสื่อสาร แอบให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเลขาส่วนตัวของเด็กหนุ่มตัวน้อยอยู่เหมือนกัน
‘ยืนยันข้อมูล… ‘เป้าหมาย’ เข้าพักโรงแรมตามกำหนดการแล้ว’
“เข้าใจแล้ว ขอบใจมาก”
ข่าวดีส่งมาถึงเธอผ่านหูฟัง พริบตานั้นเด็กผู้ชายที่นั่งสบายใจเฉิบก็เอาเท้าลงจากโต๊ะ
ดูท่าเขาคงจะรอนานจนเกิดความเบื่อ… และไม่รู้เป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ความเบื่อหน่ายนั้นหายไปแล้ว
“ท่านคะ ดูเหมือนข้อมูลจะเป็นความจริง———”
“จริงเหรอเนี่ย!!!”
เด็กหนุ่มผมบลอนด์ตะโกนดี้ด้าดีใจใหญ่
ไม่พูดขัดจะตายไหมเนี่ย!!!
แต่หญิงสาวไม่ได้ดีใจไปด้วย เส้นเลือดเธอปูดโปนขึ้นอย่างง่ายดาย ทั้งที่ดูจากภายนอกแล้วน่าจะเป็นหญิงสาวที่ตั้งใจทำงานและไม่คิดเล็กคิดน้อยแท้ ๆ
“นี่แอบด่าผมอยู่ป่ะเนี่ย?”
“ไม่มีทางค่ะ”
หญิงสาวปฏิเสธหน้าตายด้วยสีหน้าเรียบเฉยทันควัน
ไม่ว่าเธอจะตอบแบบไหนคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางรู้ความในใจของเธอแน่เพราะสีหน้าเธอแข็งนิ่งยังกับหิน
พอได้ยินแบบนั้นเด็กหนุ่มก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากช่างมัน
แล้วให้ความสนใจกับข้อมูลแทน
“แต่ก็น่าแปลกเหมือนกันนะครับเนี่ยที่ข้อมูลถูกต้องตรงเผงง่าย ๆ แบบนี้ มันจะเป็นกับดักรึเปล่านะ”
เด็กหนุ่มยืนขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปมารอบโต๊ะครุ่นคิดหาคำตอบ
ดูเหมือนข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้านี้จะตรงกับสิ่งที่เห็นหน้างานจนทำเอาระแวง ทั้งคู่คงกำลังรู้สึกเหมือนเป็นหนูที่เห็นชีส แต่ไม่แน่ใจว่าใต้นั้นมีกับดักหนูอยู่รึเปล่า
แต่เพื่อความรอบคอบ… เซนส์ของหญิงสาวบอกว่าเป็นกับดัก
“ก็อาจใช่นะคะ”
“ไม่ให้กำลังใจกันเลยนะครับรูธ”
“…”
แล้วอยากให้ฉันตอบแบบไหนกันแน่ยะ!!!!
หญิงสาว… รูธตะโกนสบถในใจ ช่างตรงข้ามกับการแสดงออกราวกับตุ๊กตาแท้
แต่อย่างว่า… อีกฝ่ายเป็นหัวหน้าของเธอ ถึงมันจะขัดใจที่ตอบแบบไหนก็อาจไม่ตรงใจคนถาม แต่ยังไงก็ต้องตอบในสิ่งที่ควรตอบ นั่นคือหลักการของเธอ
แถมเจ้านายเธอก็ดูจะไม่ได้คิดอะไรมากซะด้วย
“อืม… แต่ข้อมูลที่ได้มาอุตส่าห์เป็นเรื่องจริงทั้งที จะไม่เอามาใช้ประโยชน์มันก็ยังไงอยู่นา”
เด็กหนุ่มจับคางครุ่นคิดหยุดเดิน เสมือนได้ข้อยุติ
รูธเห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าตนกำลังจะกระโจนลงไปโดยไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร ความกังวลเลยเกิดขึ้นในใจตามมา
“แล้วคิดจะเคลื่อนไหวยังไงต่อล่ะคะ? เพราะดูเหมือน ‘ท่านฮ่องเต้’ เองก็อยู่ที่นั่นด้วยนะ… แบบนี้จะไม่เป็นการผิดสนธิสัญญาหรอกเหรอ?”
“…สนธิสัญญาคือไม่ยุ่งกับการชิงดินแดนที่ฟรองไม่ใช่เหรอครับ?”
“ค่ะ”
รูธพยักหน้ารับ เรื่องรายละเอียดสัญญานั้นเธอจำได้ไม่มีพลาด และคิดว่านายเหนือหัวของเธอเองก็ไม่พลาดเหมือนกัน
“ชินยะ นัวรอย… เดิมทีผมก็แค่อยากรู้ตัวตนที่ฮ่องเต้สนใจเฉย ๆ แต่ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วยสิ———”
“งั้นแสดงว่าให้ ‘แหย่’ แบบที่ไม่เกินงามเป็นพอสินะคะ”
“สมเป็นคุณรูธเลยครับ ตามนั้นเลย!”
เด็กหนุ่มชี้นิ้วมาทางรูธอย่างถูกใจ รอยยิ้มแป้นนั่นยังกับเด็กน้อยของจริง
เฮอะ! ทีงี้ล่ะมาทำเป็นชมฉัน!
ความต้องการตรงกันในจังหวะเวลาเดียวกันอย่างน่าประหลาด ทั้งที่รูธแค่อยากเอาคืนเรื่องที่เขาพูดแทรกก่อนหน้านี้ เธอเลยพูดสิ่งที่คิดขึ้นมาได้เป็นอย่างแรกแค่นั้นเองแท้ ๆ
พอคิดว่าใจตรงกันทั้งที่ไม่พูดก็แอบรู้สึกขนลุกขึ้นมาอยู่
แต่พอคิดว่าเด็กหนุ่มตัดสินใจเลือกทางที่ตนคิดขึ้นมาแบบตื้น ๆ แล้ว เธอยิ่งรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจเข้าไปใหญ่
เฮ้อ… นี่เขาเป็นราชาจริง ๆ รึเปล่าเนี่ย
รูธแอบคิดแบบนั้นทุกครั้งที่แบกรับตัวเลือกของเด็กหนุ่มเบื้องหน้าตัวเอง
ช่างแลดูไร้ความรอบคอบ เอาแต่ใจและหุนหันพลันแล่น
แต่ช่างน่าฉงน… ที่ตัวเลือกอันแปลกประหลาดจนดูเหมือนทำตามใจอยากนั้น มักนำพาผลลัพธ์ที่ทำให้ฝ่ายตนได้เปรียบมาเสมอ
การตัดสินใจแทรกแซงในครั้งนี้เองก็คงจะเหมือนกัน เธอเลยได้แต่ทำใจยอมรับความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้ผู้เป็นราชาของเธอ
…แต่สำหรับบางสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจากตัวเลือกของเขา ดูท่าแล้วจะไม่ได้มีผลดีต่อทางชงหยวนเท่าไรนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวเลือกนั้นก็ไม่น่าจะเป็นผลดีกับชินด้วยเช่นกัน
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION