‘ตราราชันย์ไร้เลข’ งั้นเหรอ…
ชงหยวนคิดถึงต้นตอปัญหาที่จินพูดถึงอีกครั้ง
เพราะอย่างไรเสีย… แผนการทั้งหมดของเธอก็สร้างขึ้นเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้
ศึกชิงบัลลังก์ปกครองโลก… สงครามที่เกิดขึ้นทุกร้อยปีเพื่อเฟ้นหาราชาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนโลก
ผู้ที่โลกใบนี้ตัดสินว่าเหมาะสมจะได้รับตำแหน่งนั้น และได้รับตราราชันย์ที่ระบุหมายเลขตั้งแต่ 1 ถึง 7
ราชาทั้งเจ็ดคนจะต้องฆ่ากันจนเหลือคนสุดท้าย และคน ๆ นั้นจะได้รับพลังที่จะเปลี่ยนแปลงโลกตามความปรารถนาของตัวเอง
แต่ว่า… จริง ๆ แล้วราชาควรจะมีแปดคน เพราะโลกนี้ให้สิทธิผู้ชนะคราวก่อนด้วย
ซึ่งคน ๆ นั้นก็คือท่านเอลานอร์ พ่อของชิน
และถ้าเขาตาย ตราก็จะถูกสืบทอดต่อไปตามสายเลือด
นั่นทำให้ตราราชันย์อันที่แปด… ตราราชันย์ไร้เลขควรจะตกเป็นของชิน
แต่ว่า… เราคิดมาตลอดว่าชินตายไปแล้ว…
ตอนที่เราได้รับตราและมีข้อมูลพวกนี้ไหลเข้ามาในหัว เราก็เคยแอบหวังลม ๆ แล้ง ๆ ให้ตราราชันย์ไร้เลขยังอยู่เพราะอยากให้ชิน…
…แต่ใครจะรู้ว่ามันจะกลายเป็นแบบนั้นจริง ๆ
ตอนนี้ เราเลยต้องมานั่งพิสูจน์ว่าชินมีมันจริงไหม
น่าขำสิ้นดี
ชงหยวนยิ้มขม ไม่คิดว่าความหวังที่เคยปรารถนาไว้จะกลายเป็นความจริง แต่กลับต้องแลกมาด้วยเรื่องโหดร้ายอีกอย่างแทน
โลกนี้จะไม่ยอมให้เราสมหวังเลยรึไงนะ
ความรู้สึกตัดพ้อเกิดขึ้นในใจชงหยวน
แต่พอเห็นทุกคนกำลังครุ่นคิด เธอเลยพยายามดึงตัวเองกลับมา
เพราะนอกจากเธอแล้ว… ความคิดของคนอื่นที่มีต่อคำถามที่ว่า ‘ชินมีตราราชันย์ไร้เลขหรือไม่?’ นั้นมีเพียงคำตอบเดียว
“ตราราชันย์ไร้เลข… ชินยะ นัวรอยควรจะมีมันสินะครับ”
จิวซินเอ่ยอย่างซื่อ ๆ
แม้แต่เขาเองก็คิดเรื่องแบบนี้ออก และเข้าใจคำตอบได้ง่าย ๆ
แต่ที่เขาไม่เข้าใจคือความรู้สึกอันซับซ้อนของชงหยวน
และเธอทำได้แค่เก็บมันไว้ไม่ให้แสดงออกทางสีหน้า
“ว่าตามทฤษฎีก็ควรเป็นอย่างนั้นแหละ” ชงหยวนหันมากอดอกเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง แต่การยอมรับเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะมันหมายความว่าชงหยวนแทบไม่มีตัวเลือกอื่นเลยนอกจากฆ่าชิน
หนิงอันเป็นคนเดียวที่มองความหวั่นไหวของชงหยวนออก เธอเห็นแก่ชงหยวนและไม่อยากให้เธอพูดอะไรไปมากกว่านี้
หนิงอันยื่นหน้าเข้ามาในโต๊ะอาสาอธิบายแทนเธอ
“ก็จริงที่คุณชินยะควรจะมีตราราชันย์น่ะนะ แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้นั่นล่ะ… ตั้งแต่สงครามรอบล่าสุดนี้เกิดขึ้น ราชาทั้งเจ็ดคนมีความเคลื่อนไหวมาตลอด แต่กลับไม่มีร่องรอยของราชาคนที่แปดอยู่ในสงครามเลย ถ้าราชาคนที่แปดมีอยู่เขาก็ควรจะเคลื่อนไหวบ้างใช่ไหมล่ะ?”
หนิงอันเสนอความเป็นไปได้ที่ชินอาจไม่มีตราอยู่ ทุกคนเองก็คล้อยตามเพราะสิ่งที่เล่ามามันก็เป็นความจริง
แต่จะให้อนุมานแบบนั้นไปเลยคงไม่ได้… จินมองเห็นจุดนั้นแล้วรู้สึกแย้งในใจ
“แต่ว่า… ชินยะคนนั้นอาจจะ———”
“อาจจะรอจังหวะพลิกเกมทีหลัง ก็เลยไม่ได้เคลื่อนไหวมาตลอด… ใช่ไหมล่ะ?”
“…ครับ”
ชงหยวนพูดแทรกขึ้นทำจินนิ่งไป
ไม่รู้คิดไปเองหรือไม่ แต่จินสัมผัสถึงความหงุดหงิดของชงหยวนได้ระดับหนึ่ง
จินเองแอบคิดว่าควรที่จะโดนโกรธแล้ว… เพราะเขาพูดโดยคิดว่าชงหยวนอาจไม่กล้าพูดมันออกมา
แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด ชงหยวนมองเห็นภาพรอบตัวโดยไม่อคติเท่าที่เขาคิด
…หารู้ไม่ว่าในใจชงหยวนหงุดหงิดจนแทบคลั่ง
เธอเกือบจะลุกขึ้นต่อยโต๊ะจนแหลกไปแล้วเพราะจินสบประมาทเธอ
นี่คิดว่าฉันอยากปกป้องชินจนมองไม่เห็นความจริงเลยรึไง!?
ชงหยวนขมวดคิ้วแน่น
แต่… ก็ทำได้แค่นั้น เธอไม่อยากโกรธลูกน้องแบบไร้เหตุผล
และหากคิดเรื่องนี้ต่อ ชงหยวนก็รู้ตัวว่ามันส่งผลกับอารมณ์ตัวเอง การเปลี่ยนประเด็นไปเลยน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
“ยังไงก็ตาม… ความแข็งแกร่งของเขามีค่าเกินกว่าจะทิ้งไปเปล่า ๆ เราควรจะต้องแน่ใจเรื่องนี้ก่อนจะตัดสินใจ ไม่อย่างนั้นก็จะสูญเสียโอกาสชนะไปแบบไม่มีวันหวนคืน”
ตัวตนของชินคือตัวพลิกเกมที่ต้องมีไว้กับตัวถ้าอยากชนะ ชงหยวนมองตาทุกคนสลับกันไปเพื่อบอกเรื่องนั้น
แต่การพิสูจน์มันเป็นเรื่องยาก ทุกคนโดนชงหยวนสบตาแล้วสีหน้าหมองลง
จิ้นหงถึงกับเอาตัวราบไปกับพื้นโต๊ะเลยทีเดียว
“จะยึดเขตที่ชินยะอยู่เพื่อตรวจสอบเขาสินะคะ… แต่เรายึดเขต 66 ไม่ไหวจริง ๆ ค่ะ”
จิ้นหงทำท่าห่อเหี่ยว ทุกคนเองก็คอตก เพราะได้รู้ผลลัพธ์แล้วว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด
ใช่… แผนการของชงหยวนคือการยึดดินแดนที่ชินกำลังอาศัยอยู่ และใช้พลังของผู้ปกครองดินแดนเพื่อระบุตัวตนของชินและตราที่เขาถือครอง นั่นเป็นวิธีที่เชื่อถือได้ที่สุด
การต่อสู้กับกลุ่มอัลเฟรดเมื่อสามวันก่อนเกิดขึ้นเพราะเหตุผลนั้น
แต่ผลลัพธ์ก็อย่างที่รู้… สงครามในวันนั้นกลายเป็นการจลาจลที่ทำเอากลางเมืองราบเป็นหน้ากลอง แต่กลับไม่มีใครได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ
ฝ่ายวลาดขับไล่พวกชงหยวนออกไปไม่สำเร็จ ต่อให้เขารู้ว่าพวกชงหยวนยังอยู่ในเขต แต่ถ้าสุ่มสี่สุ่มหาบุกเข้าหาโดยตรง เมืองหลวงก็จะกลายเป็นสนามรบอีกครั้งซึ่งครั้งต่อไปอาจไม่จบแค่ห้างสรรพสินค้ากลายเป็นฝุ่น
ส่วนทางชงหยวนก็ไม่ได้มีกำลังที่เหนือกว่าพอจะปิดเกมสำเร็จ จึงได้แต่รอจังหวะอันเหมาะสมในการเคลื่อนไหวครั้งต่อไป
สถานการณ์เสมือนถูกแช่แข็ง ไม่มีใครทำอะไรได้
ตรงจุดนั้นที่ทำให้อัศวินนักษัตรรู้สึกบกพร่องที่ชิงดินแดนไม่สำเร็จ เพราะมันเหมือนพวกเขาทำให้ชงหยวนผิดหวัง
และการถูกชงหยวนมองว่าล้มเหลวคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ เพราะเธอเป็นเหมือนเป็นผู้มีพระคุณสำหรับทุกคน แม้แต่จินที่ดูจะรู้สึกแบบนั้นน้อยที่สุดยังสลดไปกับทุกคนด้วย
จิ้นหงคิดแล้วยิ่งครางเสียงในลำคออย่างรู้สึกผิด ได้แต่คิดว่าพวกตนช่างไร้พลังเหลือเกิน
…แต่ชงหยวนกลับไม่ได้คิดแบบนั้น เธอเอื้อมมือไปลูบหัวจิ้นหงด้วยท่าทีสงบกว่าใคร
“กลุ่มของวลาดน่ะแข็งแกร่ง… จะให้แลกทุกอย่างกับหมอนั่นตอนนี้มันยังเร็วเกินไป ฉันไม่พร้อมจะเสียพวกเธอไปหรอกนะ”
“…ขอบพระคุณนะคะท่านชงหยวน”
เสียงอบอุ่นของชงหยวนช่วยจิ้นหงสงบลง รอยยิ้มกลับมาบนใบหน้าเธออีกครั้ง
คำพูดชงหยวนปลอบประโลมทั้งจิน หนิงอัน จิวซินและมี่หมินไปด้วย
แต่รอยยิ้มที่ออกมาเป็นได้แค่รอยยิ้มแห้ง เพราะมันก็เป็นความจริงที่พวกเขาตอบสนองความคาดหวังของชงหยวนไม่ได้
ทุกคนเลยล้วนแต่ตั้งปณิธานว่า ‘หากมีครั้งต่อไป เราจะต้องชนะให้ได้เท่านั้น!’
“อย่าคิดมากเลยทุกคน ฉันรู้อยู่แล้วถึงได้มีแผนขั้นต่อไปยังไงล่ะ ใช่ไหมหนิงอัน?”
ชงหยวนพูดถึง ‘ครั้งต่อไป’ ที่ว่าทันที ไม่มีใครแปลกใจเพราะเป็นอันรู้กันอยู่แล้ว หนิงอันรับไม้ต่อทันที
“ทุกคนจำได้ใช่ป่าว? ‘ฟรอง’ ที่ท่านชงหยวนกับจิน รวมถึงคุณชินยะกับโอลิเวียจะต้องไปทัศนศึกษา ที่นั่นเป็นเขตใต้การปกครองของราชาลำดับที่สามน่ะ และจากข้อมูล ดูเหมือนผู้ปกครองจะเป็นอัศวินที่ไม่ได้โดดเด่นเท่าไรของกลุ่มด้วยล่ะ”
หนิงอันเล่าไปพยักหน้าไป แววตาเธอเป็นประกายเพราะรู้ว่าศึกนี้จะไม่ยากเท่ากับครั้งที่เผชิญกับวลาด
ความหวังนั้นส่งไปถึงทุกคน… จิ้นหงกับจิวซินเลยยิ้มออกมา มี่หมินที่นั่งกังวลมาตลอดก็ถอนหายใจโล่งอกตาม
จะเหลือก็แต่จินที่ไม่คิดประมาท เขายังจิบชาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่เหมือนเดิม
ชงหยวนเห็นขวัญกำลังใจทุกคนเพิ่ม และหวังจะให้มันเพิ่มเข้าไปอีก
“บวกกับเรื่องที่เราตกลงกับ ‘หมอนั่น’ ไม่ให้เข้ามายุ่ง เราจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูแบบไม่ต้องระวังบุคคลที่สาม และฉันก็เตรียมเรื่องสถานที่ทัศนศึกษาให้อยู่ใกล้กันและห่างจากจุดปะทะไปแล้ว งานนี้เราจะต้องยึดฟรองได้อย่างแน่นอน และใช้พลังนั่นเพื่อตรวจสอบตราราชันย์ของชิน แถมยังได้ดินแดนแถวยุโรปเพิ่มอีกด้วย”
“โห… ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวสินะ”
“สำบัดสำนวนเป็นด้วยแฮะ”
จิ้นหงดีดนิ้วยิ้มร่าร้อง บ๊ะ! ไม่คิดว่าคนซื่อบื้ออย่างจิวซินจะคมคายได้
ขวัญกำลังใจของทุกคนกำลังพุ่งขึ้นถึงขนาดนั้น ชัยชนะที่เลือนรางมาตลอดเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นทำเอาทุกคนสั่นสู้
แต่จินที่รู้รายละเอียดของแผนอยู่แล้วไม่ได้อินตามขนาดนั้น
เขาที่นั่งเงียบมาตลอดไม่ได้สนใจเรื่องที่รู้อยู่แล้ว หากแต่สนใจความเป็นไปได้หลังจากแผนนั้นสำเร็จมากกว่า
“แต่ว่า… หลังจากนั้นจะเอายังไงต่อเหรอครับ?”
จินหันหน้าไปถามชงหยวน การถามเรื่องต่อจากแผนสำเร็จมีอยู่ความหมายเดียว
คือเขายังติดใจเรื่องที่ชงหยวนจะกล้าลงมือกับชินได้ไหม
ทว่าคนที่ทนฟังไม่ไหวกลับไม่ใช่ชงหยวนแต่เป็นหนิงอัน เธอทุบโต๊ะเสียงดังยืนขึ้นข้ามหัวชงหยวน
“ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะจิน! นี่นายเป็นอะไรมากป่ะเนี่ย!!!”
“…ฉันสงสัยแล้วมันแปลกตรงไหนเล่า นี่ก็อุตส่าห์ถามตรง ๆ แล้วนะ”
จินตอบกลับเสียงตะคอกของหนิงอันอย่างใจเย็น คิดว่าการเปิดเผยความคิดขัดแย้งแทนที่จะเก็บไว้คือความจริงใจต่อพวกพ้อง
ถึงแบบนั้นหนิงอันก็ยังแยกเขี้ยวใส่จินอยู่
ชงหยวนยกมือขึ้นปราม หนิงอันจึงยอมนั่งลง
“อา… ขอบใจที่พูดกันตรง ๆ นะ”
ชงหยวนเองก็คิดเหมือนจิน น้ำเสียงเธอเลยปกติ
เธอรู้สึกว่าถ้าจินแคลงใจแล้วเก็บไปคิดคนเดียว ความเชื่อใจของเขาอาจสร้างรอยร้าวให้ได้ในระยะยาว ที่จินพูดออกมาตอนนี้จึงถือว่าดีแล้ว ชงหยวนจะได้ถือโอกาสยืนยันให้ชัดเจนเสียตอนนี้ไปเลย
ชงหยวนมองไปรอบ ๆ เพื่อสังเกตปฏิกิริยาจากทุกคน
“ฉันเข้าใจความกังวลของทุกคน… พวกเธอคงกลัวว่าฉันจะตัดสินใจได้ไม่เด็ดขาดเพราะอีกฝ่ายเป็นอดีตคู่หมั้นใช่ไหมล่ะ?”
ในที่สุดชงหยวนก็พูดสิ่งที่เลี่ยงมาตลอด หนิงอันได้ยินก็เหงื่อตกเพราะรู้คำตอบนั้นและเป็นห่วงความรู้สึกของชงหยวน
ส่วนจิวซิน มี่หมินและจิ้นหงเหงื่อตกในอีกความหมาย พวกเขารู้สึกยำเกรงไม่กล้าถามมาตลอดจนกระทั่งจินเปิดประเด็น
“ก็… ช่วยไม่ได้แหละนะคะ” จิ้นหงยอมรับแบบหลบตา
“มันก็แอบสงสัยอยู่แหละครับ” จิวซิวเกาแก้มเกรง ๆ เหงื่อตก
“ก็มัน… ไม่น่าใช่เรื่องง่ายเลยนี่คะ”
มี่หมินเสียงสั่น พูดราวกับแทนใจชงหยวน
เรื่องความรู้สึกรักใคร่ในฐานะชายหนุ่มหญิงสาวก็อีกเรื่อง… การเป็นคู่หมั้นทางการเมืองก็ดูเป็นเรื่องที่ไม่น่ามีความรู้สึกมาเกี่ยวข้อง
แต่ทุกคนในกลุ่มนี้ต่างเคยได้ยินกันมาทั้งนั้น ว่าความสัมพันธ์ระหว่างชินกับชงหยวนเป็นไปได้ด้วยดี จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าความรู้สึกระหว่างทั้งสองคนเป็นแค่การเมือง
เฮ้อ… เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ นี่ชอบกันซะจริงนะเด็กพวกนี้
ชงหยวนคิดแล้วไม่มีทางเลือกอื่น เธอถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะตอบ
“คงเป็นการโกหกถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยกับการตัดสินใจนี้ล่ะนะ เพราะยังไงชินก็เป็นชายคนเดียวที่ฉันยอมรับ”
“ “ว้าวววว!!?” ” จิ้นหงกับมี่หมินทำตาเป็นประกายทันที คงมีแค่เรื่องแบบสาว ๆ นี่แลที่คิดเห็นตรงกัน
“แต่ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ หรอกนะสาว ๆ”
“ “ “เอ๋!!!?” ” ”
จิ้นหงกับมี่หมินถูกทำลายความหวัง ที่น่าตลกคือหนิงอันมือขวาของชงหยวนก็ส่งเสียงแบบเดียวกันออกมาด้วย
ท่านชงหยวนนี่ล่ะก็ พูดออกไปได้
หนิงอันทำสีหน้าเหมือนกับจะบอกว่าไม่เชื่อ
แตกต่างจากจิวซิน เขาพยักหน้ารับงก ๆ เชื่อคำพูดของชงหยวนสนิทใจ
ส่วนทางจิน… ท่าทีเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้จะได้ยินคำตอบ เสมือนไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ
ยังไม่เชื่อกันอีกสินะ
ชงหยวนเห็นแล้วรู้ทันที แต่เธอไม่มีคำตอบที่ดีกว่านี้แล้ว
…เพราะเธอไม่สามารถตอบคำถามนี้ตรง ๆ ได้เหมือนกัน
“เล่นกันมากไปรึเปล่าครับ”
จินหันไปมองพวกผู้หญิง พวกเธอที่กำลังอารมณ์ดีทำตาปริบ ๆ กลับมา
สายตาจินดูไม่พอใจปฏิกิริยามากกว่าคำตอบ เสียงถอนหายใจมาจากความคิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่จริงจัง
แต่ท่านชงหยวนคงจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ว่าชายคนนั้นน่ากลัวแค่ไหน
จินคิดถึงข้อยกเว้นและหันไปมองพรรคพวกคนอื่น ๆ ด้วยสายตาจริงจัง เพราะพวกเขาอาจไม่เข้าใจความอันตรายของสถานการณ์ดีพอเท่ากับตนหรือชงหยวนจึงล้อเล่นแบบนั้น
“ฟังนะครับ… ถ้าชินยะ นัวรอยมีตราราชันย์จริงเขาจะเป็นศัตรูตัวฉกาจเลยนะ พูดถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นศัตรูก็สูงมากด้วยเพราะตอนนี้เขาน่าจะอยู่ฝั่งเดียวกับวลาด ผมว่ากำจัดเขาไปเลยจะปลอดภัยกว่าอีก”
จินพูดใส่ทุกคน แต่ตาก็ยังแอบเหลือบมองชงหยวน
และเธอยังคงนิ่งสงบเหมือนเคย บางครั้งเขาก็แอบกลัวเหมือนกันที่มองไม่ออกเลยว่าชงหยวนรู้สึกยังไงกับคนอื่นกันแน่
กลับกัน… คนที่ได้ยินแล้วหงุดหงิดก็ยังคงเป็นหนิงอัน
“เงียบไปเลยจิน! ถ้าเจอสถานการณ์เดียวกันแล้วอีกฝ่ายเป็นเฟย นายยังจะกล้าพูดแบบนี้ไหมล่ะ!”
“…ว่าไงนะ”
เสียงตะคอกจากหนิงอันทำเอาจินคิ้วกระตุกเส้นเลือดปูดโปนเป็นครั้งแรก บรรยากาศจากความโกรธของทั้งสองคนทำเอาจิวซิน มี่หมินและจิ้นหงไหล่กระตุก
ทั้งสองฝ่ายต่างก็โกรธจนมือไม้สั่น ท่าทางน่ากลัวจนทั้งสามเริ่มคิดว่าอาจไม่จบแค่การใช้เสียง
“ ‘พอได้แล้ว’ ”
“ “!!!?” ”
ประกาศิตของชงหยวนห้ามไม่ให้ไปถึงขั้นนั้น
ร่างของทั้งสองคนกระตุกแล้วแข็งนิ่งไปก่อนจะได้ยืนขึ้น
แต่ไม่นานนักสติของทั้งสองคนก็กลับมา ชงหยวนใช้พลังเพื่อดึงสติเท่านั้น
“ไม่ต้องทะเลาะกัน ถ้าจะโทษใครก็โทษฉันได้เลย ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของฉันเอง”
น้ำเสียงชงหยวนเปลี่ยนไป ความแข็งกร้าวจนดูเหมือนโกรธปรากฏออกมา
แต่ท่าทางของเธอดูใจเย็นกว่าจินหรือหนิงอันก่อนหน้านี้อีก
“ขะ ขออภัยค่ะท่านชงหยวน”
“…ผมเองก็ขอโทษด้วย”
ทั้งสองคนโค้งหัวลงต่ำ
จิ้นหง จิวซินและมี่หมินเห็นแล้วถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียง
แต่ที่สถานการณ์มันแย่ลง ว่ากันตามตรงจินก็รู้สึกรับผิดชอบอยู่
ทั้งที่พูดไปเพราะอยากให้จริงจังกันเฉย ๆ แค่นั้นเองแท้ ๆ
จินรู้สึกผิดขึ้นมา แต่การถูกหนิงอันต่อว่ามันก็ทำให้เขาตระหนักบางอย่างเหมือนกัน
ว่าไปแล้วมันก็จริง… ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันจะทำได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย
แล้วไปคาดหวังให้คนอื่นทำสิ่งที่เราก็ไม่รู้จะทำได้รึเปล่าเนี่ย
มันก็ออกจะขี้ขลาดจริง ๆ นั่นแหละ
จินเคยคิดว่าผู้นำต้องมีความเด็ดขาดเหนือผู้อื่นและทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้จึงจะได้ชื่อว่าผู้นำ
แต่ในมุมมองกลับกัน… การคาดหวังให้คนอื่นทำแทนเรามันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการโยนความรับผิดชอบให้กับคนอื่น และนั่นไม่ใช่คนประเภทที่เขาอยากจะเป็น
จินยอมรับเรื่องนั้น และรู้สึกว่าต้องแก้ความเข้าใจผิดกับชงหยวนจึงหันไปทางชงหยวนอย่างเกรง ๆ
“ท่านชงหยวนครับ… เดิมที ผมพูดแย้งก็เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านนั่นแหละครับ ผมก็ไม่โทษท่านชงหยวนหรอกถ้าจะตัดสินใจไปแบบนั้นเพราะอารมณ์ คนใกล้ตัวกลายเป็นเป้าหมายแบบนั้นใครก็ตัดสินใจลำบาก แต่เพื่อท่านและเพื่อพวกเรา ผมก็จำเป็นต้องพูดบางอย่างที่จำเป็นต้องพูดเพื่อให้เห็นข้อมูลทุกมุม ส่วนเรื่องที่จะทำหรือไม่ แน่นอนว่าคนตัดสินใจย่อมเป็นท่าน”
“…”
ชงหยวนนั่งฟังจินอธิบายเงียบ ๆ เธอมองออกทันทีว่าจินมีเจตนาดังว่าจริง
ไม่สิ… อันที่จริงเธอก็รู้อยู่แล้วว่าจินมีเจตนาเตือนเธอ เขาไม่ได้แข็งข้อแต่อย่างใด ชงหยวนจึงหันไปยิ้มให้จิน
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอเจตนาดี ฉันถึงไม่โกรธเธอไง”
เอ่อ… ไม่โกรธก็บ้าแล้วครับท่าน
จินแอบเหงื่อตกเพราะชงหยวนโกหกหน้าตาย ก่อนหน้านี้เธอโกรธเพราะคำพูดของเขาชัด ๆ
แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้อีกนั่นแหละ
เพราะต่อให้รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่ถ้ามันไม่ถูกใจก็ย่อมมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นเรื่องธรรมดา
แม้จะไม่ชอบใจธรรมชาติของมนุษย์ แต่ชงหยวนก็จำต้องยอมรับความจริงข้อนั้นแล้วช่างมันไป
เพราะสิ่งที่ฉันต้องทำก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
สายตาของชงหยวนคมกริบขึ้นเพราะตระหนักเรื่องนั้น ทำจินกลืนน้ำลาย ชงหยวนดูมีความตั้งใจจะทำบางอย่างด้วยความแน่วแน่รุนแรงมาก
ที่ว่าเสือซ่อนเล็บคือแบบนี้สินะ
จินเห็นสายตานั้นแล้วรู้สึกว่าตนช่างโง่เขลาที่แคลงใจชงหยวน
เพราะแววตาชงหยวนตอนนี้… ดูไม่มีสิ่งใดสั่นคลอนเธอได้เลย
พอชงหยวนหันมา จินถึงกับไหล่กระตุกเพราะแววตานั่น
“ฉันเข้าใจข้อกังวลของเธอนะจิน ทุกคนด้วย… แต่ชินเป็นบุคลกรที่มีค่าถึงขั้นพลิกกระดานได้ ถ้าอยากชนะศึกนี้เราจำเป็นต้องมีเขา” ชงหยวนพูดแล้วมองไปรอบ ๆ อีกครั้ง
“แน่นอนว่ามันมีโอกาสที่ผลลัพธ์จะเป็นตรงข้าม แต่ถ้ามันกลายเป็นแบบนั้น…”
“ “ “ “!!!?” ” ” ”
แรงกดดันปริศนาจากปณิธานของชงหยวนทำทุกคนกลืนน้ำลายสลับเหงื่อตก
บรรยากาศรอบตัวเธอเป็นคำตอบก่อนที่ชงหยวนจะเปิดปากเสียอีก
“ถ้ามันกลายเป็นแบบนั้น… พวกเธอจะได้เห็นการเตรียมใจของฉันแน่”
น้ำเสียงชงหยวนเข้มข้นหนักหน่วงกว่าทุกครั้ง ทำทุกคนพยักหน้ารับทั้งที่เธอไม่ได้ใช้พลังประกาศิตด้วยซ้ำ
ความสงสัยแคลงใจและทีเล่นทีจริงของทุกคนหายไปตาม พวกเขาทุกคนมองเห็นภาพแบบเดียวกันแล้ว
“…รับทราบแล้วครับท่านราชินี”
จินรู้สึกยอมรับขึ้นมาจากใจ เขาก้มหัวลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
ราวกับทั้งขออภัย ขอบคุณและชื่นชมชงหยวนผู้เป็นนายเหนือหัว
…คงจะเหลือเพียงแต่หนิงอันที่มองชงหยวนด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นใยต่างจากคนอื่น
ท่านชงหยวน…
เธอเป็นคนเดียวที่อยู่กับชงหยวนมานาน จึงทรมานแทนชงหยวนที่ไม่อาจทำอย่างนั้นได้
นอกจากเจ้าตัวแล้ว ก็มีแต่หนิงอันที่เข้าใจปณิธานอันกล้าแกร่งของชงหยวน
รวมถึงความโหดร้ายราวกับคำสาปของมันด้วย
❖❖❖❖❖
หลังจากนั้นกลุ่มของชงหยวนก็แยกย้าย
แผนการของชงหยวนจะเริ่มขึ้นพร้อมกับคืนทัศนศึกษา เพื่อไม่ให้ฝ่ายวลาดรวมถึงชินที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแองกริคราวน์เอะใจ
คืนนี้เธอก็ยังต้องส่งนักษัตรไปเคลื่อนไหวบริเวณรอบ ๆ เขต 66 พวกของชินจึงจะเชื่อว่าเป้าหมายของชงหยวนยังเป็นเขตนี้อยู่
ส่วนชงหยวนไม่มีหน้าที่ตรงนั้น… สิ่งที่เธอต้องทำมีแค่การจับตาดูชินเท่านั้น
เธอจึงเดินกลับที่พักคนเดียว
การเตรียมใจของฉันงั้นเหรอ
ชงหยวนครุ่นคิดสิ่งที่ประกาศกับเหล่าข้าราชบริพาร
ทางเลือกของเธอจากการลงศึกครั้งนี้มีอยู่สองทางเลือกนั่นคือการนำชินมาเป็นพวกให้ได้ไม่ก็ฆ่าเขาทิ้งเสีย
เรื่องความต้องการของเธอก็ส่วนนึง
แต่ด้วยความที่มีตำแหน่งเป็นผู้นำ บางครั้งจึงจำต้องเสียสละความต้องการส่วนตนทิ้งอย่างช่วยไม่ได้
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ง่าย ๆ …แม้แต่ชงหยวนเองก็ทำไม่ได้
แต่ที่เธอเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะที่ผ่านมาเธอไม่คิดว่าตนเหลืออะไรแล้ว
เมื่อไม่มีสิ่งใดให้ทิ้ง ความลังเลจึงไม่บังเกิด
แต่โชคชะตาก็ช่างเล่นตลกให้ความลังเลของเธอหวนกลับมา
และจุดเริ่มของมันก็เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน
วันนั้น… ตอนที่ได้ยินคำสั่งจากท่านพ่อให้ไปแต่งงานกับเจ้าชายของอาณาจักรแวมไพร์
เป็นอันรู้กันอยู่แล้วว่าที่นั่นมีราชาเอลานอร์ผู้ปกครองโลกอยู่
ราชาคนนั้นเอาชนะสงครามโลก แล้วรวมโลกใบนี้เป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อพันปีก่อน
ความแข็งแกร่ง มันสมอง ทรัพยากรและกำลังคน
ไม่มีอะไรเลยที่ฝั่งเราสู้ได้ การยอมศิโรราบแก่ผู้แข็งแกร่งเพื่อชิงความได้เปรียบจากพวกอื่นมันเป็นเรื่องธรรมดา
ประเทศเราต้องมีใครสักคนไปเชื่อมสัมพันธ์ ไม่อย่างนั้นก็คงพัฒนาไม่ทันประเทศอื่น
แต่พอคน ๆ นั้นเป็นฉัน… ความรู้สึกมันต่างกัน
ชงหยวนเดินเข้าสถานีรถไฟฟ้า เงาใต้อาคารปกคลุมเมื่อเธอเดินผ่านเข้าไป
จนไม่มีใครมองเห็นเธอ… หรือสิ่งที่อยู่ในใจเธอ
ไม่มีใครรู้ว่าการเสียสละนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
ฉันยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี
ร่างของฉันสั่นเทา แต่ยังต้องกัดปากตัวเองให้ลืมความกลัวเพื่อทำตามคำสั่งนั้น
มันเหมือนโลกล่มสลาย… ท่านพ่อที่ปกติก็ไม่ได้ใจดีใจร้ายอะไรฉันขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็กลับใช้ฉันเป็นเครื่องมือทางการเมืองแสนสะดวก
อา… ท้ายที่สุดฉันก็เป็นแค่ตุ๊กตาสินะ
ทุกอย่างที่ทำมา สุดท้ายก็เป็นแค่การสร้างมูลค่าเพื่อเป็นการต่อรอง
แม้แต่ทักษะการควบคุมผู้คนที่ฉันตั้งใจฝึกฝนเพื่อช่วยคานอำนาจท่านพ่อ สุดท้ายก็ถูกนำไปใช้เพื่อเข้าหาอาณาจักรแวมไพร์พวกนั้น
…บ้าบอจริง ๆ
เจ้าชายของอาณาจักรแวมไพร์เป็นคนยังไงก็ยังไม่เคยเจอเพราะเป็นความลับระดับประเทศ
ไม่มีใครเคยเจอเขา แต่กลับส่งฉันไป… ไม่มีใครสนใจฉันเลยสิว่าจะต้องไปเจอกับอะไร
ถ้าเขาเป็นคนโหดร้ายขึ้นมาล่ะจะทำยังไง? ฉันจะกลายเป็นที่ระบายรึเปล่า?
ถ้าเขาเป็นพวกหัวรุนแรงขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง? ฉันจะกลายเป็นแค่ถุงเก็บเลือดสำรองของเขารึเปล่า?
ไปที่นั่นฉันจะเจอกับอะไรบ้าง แค่คิดท้องไส้ก็ปั่นป่วนไปหมด
ฉันร้องไห้แทบทุกวัน เจ็บปวดจนทนไม่ไหว
ตัวฉันจะยัง… คาดหวังกับความสุขในฐานะผู้หญิงคนนึงได้รึเปล่า?
ชงหยวนก้าวเท้าเข้าไปในรถไฟฟ้าที่ยังมืดมิด ความรู้สึกรุนแรงพวกนั้นกลับมาได้ทันทีที่นึกถึงมัน
รถไฟฟ้าเริ่มเคลื่อนจากภายในอุโมงค์ราวกับความมืดไร้ที่สิ้นสุด
แต่ว่า… จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
ความมืดแท้จริงเป็นแค่มุมมอง พอรถไฟฟ้าขับออกมาจากอุโมงค์ แสงสว่างจากท้องฟ้าสีส้มแวบเข้ามาจนชงหยวนต้องปิดตา
ขอแค่มองมันให้ดี ความมืดมิดก็เป็นสิ่งชั่วคราว
ชิน…
จี้ที่อกของชงหยวนแกว่งตามแรงรถไฟฟ้ากระทบใต้เสื้อให้เธอต้องหยุดจับ
และมันหวนให้เธอนึกถึงเขา
มีข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ มากมายเกี่ยวกับเจ้าชายที่ไม่มีใครรู้ชื่อและหน้าตา
แต่ตัวจริงมันกลับตรงข้ามไปทั้งหมด
เขาเป็นคนมีสัมมาคารวะ ไม่ถือตัวไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีสถานะต่ำต้อยแค่ไหน
เป็นคนมีรอยยิ้มสว่างไสว ไปที่ไหนก็พาความสุขไปด้วย… รอยยิ้มบางเบาพอเหมาะของเขาช่างทรงเสน่ห์เหลือเกิน
ความแข็งแกร่งของเขาก็มากกว่าที่เลื่องลือ พลังของเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่าท่านเอลานอร์ผู้เป็นบิดาด้วยซ้ำ แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่เคยใช้มันเพื่อข่มขู่ใคร
ปัญญาของเขาเองก็ล้ำเลิศหลายแขนง คนหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างฉันยังต้องยอมรับว่าชินเหนือกว่า
ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของเขา… คือใจดีเกินไปจนอ่านความเคลื่อนไหวล่วงหน้าได้ไม่ยาก
แต่นั่นมัน… ก็มาจากปณิธานอันแกร่งกล้าของเขาที่มีต่อโลกใบนี้
ถ้าเขาคิดจะทำอะไร ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการทำเพื่อคนอื่น
ทั้งที่มีทุกอย่างอยู่แล้วและสามารถนอนสบาย ๆ ที่วังเพื่อกินนอนทั้งชาติยังได้ แต่เขาก็ยังเอาเวลาออกไปช่วยผู้คนตามสถานที่และเขตประเทศต่าง ๆ อย่างเป็นความลับ
ชินไม่สนใจชื่อเสียง… เขาสนแค่โลกที่เขาอยากสร้าง
เขาอยากสร้างโลกใบนี้ให้ดีขึ้น คุณเป็นคนแบบนั้น
คนใกล้และไกลตัวอยู่ในหัวชินตลอดเวลา
แม้แต่กับฉันที่แต่งงานกันทางการเมือง… ชินยังบอกว่าถ้าเขาได้เป็นราชาแล้วเขาจะทำอะไรสักอย่างกับการแต่งงานเอง
ชินไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวฉัน ไม่เคยบังคับฉันหรือใช้งานฉัน
ไม่คิดจะให้ฉันแปดเปื้อนจนกว่าจะได้เป็นอิสระจากเขา
อา… เขาช่างเป็นผู้ชายที่แสนวิเศษเหลือเกิน
ยิ่งชินคิดกับฉันแบบนั้น ฉันยิ่งอยากให้ช่วงเวลาของเราอยู่ตลอดไป
อยากจะทำทุกอย่างไปด้วยกัน และอยู่เคียงข้างเขาคนนั้นไปตลอด
ชงหยวนหลุดยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น
…แต่รอยยิ้มนั้นหายไปแทบจะทันที
เพราะอดีตคือภาพลวงตา
ส่วนความเป็นจริง… มันก่อเกิดขึ้นหลังจากนั้น
แต่ว่า… คำว่าตลอดไปมันไม่มีจริง
วันนั้นเรากลับไปที่ฉินตามกำหนดการปกติ
แต่แล้วอาณาจักรแวมไพร์ก็ถูกทำลายลงในวันนั้น
และข่าวการตายของคุณเองก็ถูกประกาศในวันนั้นด้วย
ฉันยังจำความรู้สึกนั้นได้
ใบหน้าชาและร่างสั่นเทาราวกับลูกนกน่าสมเพช
ฉันกุมหัวร้องไห้ตะโกนดังลั่น
สติแตกไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ร้องลั่นฟังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตะโกนเป็นภาษาคนรึเปล่า
ทำไม?
ทำไม!? ทำไม? ทำไม? ทำไม!? ทำไม? ทำไม? ทำไม!? ทำไม? ทำไม?
ทำไมถึงต้องเป็นชิน!!!? คนบนโลกนี้เลว ๆ มีตั้งเยอะ แล้วทำไมชินถึงต้องตายด้วย!!!!?
เป็นเพราะไม่มีใครเห็นเรื่องดี ๆ ที่เขาทำงั้นเหรอ!?
หรือเพราะกลัวพลังของเขา ทั้งที่ชินไม่ได้คิดจะทำเรื่องไม่ดีแท้ ๆ!!?
หรือแค่โดนลูกหลง? แบบนั้นมันจะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยไหม!!!?
แล้วหลังจากนั้นก็ยังมาให้เราแกล้งตายเพราะไม่อยากเกี่ยวข้องกับชินอีก
จะใครหน้าไหนก็นึกถึงแต่ตัวเองทั้งนั้น!!!
ทั้งชื่อ ทั้งสถานะ ทั้งตัวตน
…แม้แต่ผู้ชายที่ฉันรัก โลกใบนี้พรากทุกอย่างไปจนหมดไม่มีเหลือ
โลกนี้มันยุติธรรมตรงไหน
ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง ทำไมผู้คนถึงไม่ได้รับการตอบแทนในสิ่งที่พวกเขาทำลงไปกันล่ะ?
ทำไมชินถึงได้รับการตอบแทนด้วยการถูกโลกใบนี้หักหลัง
ทำไมฉันถึงได้รับการตอบแทนด้วยการถูกคนรอบตัวหักหลัง
‘ผู้คนควรจะได้รับในสิ่งที่ตัวเองทำไป’ ไม่ใช่รึไง!?
ไอ้โลกเฮงซวยพรรค์นี้ฉันจะเป็นคนทำลายมันแทนคุณเอง
ฉันจะทำให้ทุกคนบนโลกใบนี้ได้รับสิ่งที่ตัวเองสมควรได้ให้หมดทุกคน
ถ้ามีใครมาขวาง… ฉันจะฆ่ามันให้หมดไม่มีเหลือ
ชงหยวนแผ่บรรยากาศน่าสะพรึงออกมารอบตัว เธอเกือบจะกำราวเหล็กที่จับอยู่จนแหลก
โชคดีที่ไม่มีใครอยู่เพราะมันรุนแรงถึงขนาดที่ทำให้สลบได้ ความปรารถนาของชงหยวนเกิดก่อนที่โชคชะตาจะกำหนดให้เธอเป็นเสียอีก
หรือไม่เช่นนั้น… โชคชะตาก็เล็งเห็นความปรารถนานั้นเลยมอบมันให้กับเธอ
แล้วโอกาสนั้นก็ดันมาอยู่ในมือเรา…
ชงหยวนมองหลังมือซ้ายของตน เป็นจุดที่ตราราชันย์ของเธอประทับอยู่
มันคือหมุดหมาย ช่วยย้ำเตือนปณิธานของชงหยวน
โลกใบนี้ช่วงชิงคุณไปจากฉัน… ฉันตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมันไปแล้ว
นอกจากนี้ยังมีคนที่อยากจะเปลี่ยนมันเหมือนกันอยู่ ฉันถอยหลังไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
ชงหยวนผู้หัวใจแหลกสลายมาตลอด และยังคงไม่ประกอบเข้าด้วยกันเพราะโลกใบนี้ไม่ได้มอบทางเลือกนั้นแก่เธอ
ได้แต่เหลือทางเลือกคือปล่อยให้หัวใจดวงนั้นยังคงแหลกสลายต่อไป
ชิน… ชายที่มอบทุกอย่างให้กับฉัน
ความตายของคุณสร้างแผลให้ฉันไปแล้ว… ต่อให้มันเกิดขึ้นอีก แล้วมันจะต่างกันเท่าไรกันเชียว
แววตาที่มองทอดออกไปยังสุดขอบฟ้าเหลือเพียงแต่ความรู้สึกเกลียดชังคั่งค้างในอดีต
ตอนนี้… ร่างกายเธอเพียงแค่เคลื่อนไหวไปตามสิ่งที่เคยตั้งปณิธานไว้เท่านั้น
ฉันจะสานต่อสิ่งที่ฉันเริ่มไว้
และถ้าคุณมาขวาง… ฉันจะเป็นคนลงมือฆ่าคุณเอง
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION