“ว้าว… คนพวกนั้นหน้าตาดีจังเลยอ่ะ”
“นั่นสิ ๆ เป็นนางแบบนายแบบกันรึเปล่า?”
เสียงกระซิบในร้านคาเฟ่ยังคงดังต่อเนื่อง สายตาสนอกสนใจของสาว ๆ ในร้านเหล่มาทางโต๊ะของพวกชงหยวนไม่วางตา
เป็นเพราะทั้งหกคนที่นั่งอยู่นี้หน้าตาดีไปหมดยังกับกลุ่มดารานัดกันมาเที่ยว
…โดยหารู้ไม่ว่าคนเหล่านี้คือกลุ่มที่เป็นสาเหตุการจลาจล จนใจกลางเมืองพังทลายเป็นแถบเมื่อหลายวันก่อน
“ให้ตายสิ… แบบนี้มันจะไม่เป็นจุดเด่นเกินไปหน่อยเหรอ”
เด็กสาวไว้ผมหางม้าสีน้ำตาลเอ่ยรำคาญ นามเธอคือจิ้นหง (荩鸿) ผู้เป็นอัศวินนักษัตรในนามของหนูหรือสู่
เรื่องที่ไม่อยากถูกมองเพราะกลัวไปเตะตา URI เข้าก็เรื่องนึง แต่สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดมากกว่าคงเป็นเพราะสายตาชื่นชมเหล่านั้นไม่ได้มองที่เธอแต่มองไปที่คนอื่นเสียส่วนใหญ่
“ช่วยไม่ได้หรอก ยิ่งทำอะไรแปลกไปจะยิ่งน่าสงสัยนี่นา”
“…เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ”
พอเด็กหนุ่มผมเงินเอ่ยจิ้นหงก็พงกหัวรับ แม้จะไม่ค่อยพอใจแต่เธอก็เหมือนจะยอมให้ชายผู้นี้… ยอมให้จิวซิน (阄芯) หรือในฉากหลัง เขาคืออัศวินนักษัตรราศีวัวผู้ได้รับสมญานามว่าหนิว
กล้ามเนื้ออันกำยำของเขาเหมาะสมแล้วที่จะเรียกว่าเป็นวัวศึก สายตาจำนวนแค่นี้สร้างความหวั่นเกรงให้เขาไม่ได้
แต่ไม่ใช่กับนักเรียนสาวอีกคนที่ยังคงหวาดระแวง
“ตะ แต่ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะค่ะ” เธอใช้นิ้วชี้จิ้มพันกันดูลนล่กกว่าใครเพื่อน
เธอคนนี้มีผมดำขลับทรงสั้นรวบไว้ด้านหลัง คือมี่หมิน(秘民) อัศวินนักษัตรกระต่ายหรือทู่ ผู้อ่อนไหวง่ายราวกระต่ายสมชื่อ
ทั้งสามคนใส่ชุดนักเรียนสไตล์เดียวกันเพราะมาจากแห่งเดียวกัน การนั่งเก้าอี้ยาวเดียวกันยิ่งแสดงถึงความสนิทสนม
แต่แน่นอน… การมีเพื่อนเยอะยังไม่มากพอให้คนขี้กลัวอุ่นใจ
“แล้วคือ… ทำไมถึงต้อง ประชุมในที่ที่คนเยอะด้วยล่ะคะ” มี่หมินยังทำใจสงบไม่ได้ คำต่อมาจึงมีแต่การตัดพ้อ
จิวซินเห็นแล้วอดยิ้มแห้งเอ็นดูไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะช่วยเธอเอง”
“จิวซิน…”
ถูกชายร่างใหญ่ใจฟูปลอบประโลม ความกลัวในใจของมี่หมินก็พลอยบรรเทาลงไป
สายตาระยิบระยับเกิดแก่ทั้งสองคนจนเหมือนมีหัวใจนับร้อยดวงกระเด็นกระดอนไปทั่วให้คนโสดอิจฉาเล่น
และคนโสดที่โดนหัวใจเหล่านั้นกระแทกใส่จนคิ้วกระตุกก็คือจิ้นหงนี่แล
“เฮอะ! แค่นี้ก็ทนไม่ไหว นี่เธอจะทำอะไรได้ไหมเนี่ยถ้าไม่มีจิวซิน”
“อือออออ…” ถูกจิ้นหงขึ้นเสียง มี่หมินยิ่งหงอย ทำเอาน้ำตาคลอเบ้าเลยทีเดียว
“ใจเย็นก่อนสิ ไม่เห็นต้องพูดขนาดนั้นเลย” จิวซินหันไปมองขอร้องจิ้นหงด้วยแววตาสดใส แม้ร่างกายจะดูใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้ใช้มันเพื่อความเหนือกว่า
“…ฮึ!”
แต่มันก็ได้ผลกับจิ้นหง สายตาอ้อนวอนของจิวซินทำให้จิ้นหงไม่พูดอะไร แต่ก็ไม่แคล้วถอนหายใจไม่สบอารมณ์หันไปทางอื่นแทน
เห็นท่าทางเช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามคนน่าจะไม่ธรรมดา
ในเมื่อเป็นแบบนั้น คนนอกคงช่วยคลายบรรยากาศได้ดีกว่า
“เอาน่า! มี่หมินจะกลัวก็ไม่แปลกหรอก แต่เอาจริงนะ คุยกันในที่ลับตาคนจะยิ่งน่าสงสัยมากกว่าอีก เพราะงั้นอย่าคิดมากสิ!” หนิงอันยิ้มร่า ยื่นมือไปตบไหล่มี่หมินปลอบใจ
เธอมีผมสีดำยาวและเป็นนักเรียนหญิงในชุดที่ต่างจากทุกคน… คือหนิงอัน (宁安) ผู้เป็นอัศวินนักษัตรนามว่าโหว (猴) หรือลิงนั่นเอง
ความร่าเริงสดใสเป็นจุดแข็งของเธอ
แต่การให้คนแบบหนิงอันปลอบใจคนขี้กลัว มันไม่ต่างจากให้คนแข็งแรงไปบอกให้คนป่วยรู้จักออกกำลังกายบ้าง
เพราะใช่ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากทำ… ปัญหาคือมี่หมินเองก็อยากทำแต่ทำไม่ได้ต่างหาก
“คุณหนิงอันก็พูดได้สิคะ ชอบอะไรแบบนี้นี่” มี่หมินเลยหงอยไม่หาย
แต่ทางหนิงอันได้ยินแล้วยิ่งเอียงคอ
“เอ้า! ก็คนมันสวยจะเก็บไว้ส่องกระจกคนเดียวมันก็ไม่ได้อะป่าว?”
อยากอวดความสวยตัวเองมันแปลกตรงไหนเนี่ย?
สายตาของหนิงอันเหมือนอยากจะบอกแบบนั้น ไม่คิดว่าการโดนกลุ่มคนจ้องมองเป็นเรื่องแปลก
…แต่ถึงหนิงอันจะทำตัวเหมือนเหลาะแหละ เธอก็ไม่ลืมที่จะเหล่มองกล้องวงจรปิดในร้านอยู่ตลอด
และแน่นอนว่ามันไม่อยู่ในระยะที่จับเสียงของโต๊ะนี้ได้เธอถึงได้เลือกโต๊ะตัวนี้ เรียกว่าสมแล้วที่เป็นมือขวาของราชินีก็ไม่ผิดนัก
ชงหยวนมองภาพเหล่าข้าราชบริพารรวมถึงจินที่เอาแต่จิบชาอย่างสงบเสงี่ยมแล้วยิ้มแห้ง
จะว่าเหนื่อยใจบ้างก็ใช่ แต่พอเห็นทุกคนไม่เหนื่อยล้าก็เบาใจไปบ้าง
เพราะในฐานะผู้นำ การดูแลใจลูกน้องก็เป็นงานสำคัญเหมือนกัน
“แต่ก็นะ… ว่าไปแล้วมันก็น่ารำคาญจริง ๆ นั่นแหละ”
ชงหยวนพูดไปยิ้มไปทั้งที่ไม่ได้รู้สึกรำคาญสายตาคนในร้านดังปากว่า
แต่…
มี่หมินกลัวซะขนาดนั้นนี่นะ ช่วยไม่ได้
“ ‘เงียบแล้วทำเป็นไม่เห็นพวกฉันซะ!’ ”
ชงหยวนประกาศวาจาสิทธิ์ คลื่นเสียงแผ่กระจายไปทั่วทั้งร้าน
บาร์เทนเดอร์ พนักงานทำความสะอาด และลูกค้าทั้งที่เป็นนักเรียนหรือวัยทำงาน… เสียงของชงหยวนวิ่งผ่านคนเหล่านั้น ส่งผลให้แววตาพวกเขาไร้ประกาย
พริบตาถัดมา ทุกคนในร้านก็กลับไปทำสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ มนุษย์ทุกคนในร้านทำเสมือนกลุ่มของชงหยวนเป็นอากาศธาตุดังคำสั่งที่เธอมอบให้ไว้ทุกประการ
คนที่ไม่ได้รับผลจากเสียงนั้น มีแค่ตัวเธอเองและลูกน้องทั้งห้าคนเท่านั้น
สายตาทุกคนที่มองมาหายไปแล้ว มี่หมินรู้สึกเบาสบายเหมือนเพิ่งเอาภูเขาออกจากอก
“ขะ ขอบพระคุณมากเลยค่ะท่านชงหยวน” มี่หมินประสานมือทำตาเป็นประกายยื่นหน้าใส่ชงหยวนทันควัน ถ้าเข้าไปกราบเท้าได้เธอคงทำไปแล้ว
“แหม ๆ แค่นี้เรื่องธรรมดาออก”
ชงหยวนยิ้ม สะบัดเรือนผมอย่างโอ้อวด
แต่ที่ไม่ได้ถึงกับดีใจก็เพราะชงหยวนรู้สึกอย่างที่คิด การทำเพื่อผู้ติดตามมันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้นำอยู่แล้ว
ใครจะไปดีใจที่ตัวเองหายใจเป็น… นั่นคือความรู้สึกของชงหยวน
แต่ก็เพราะเธอมีทัศนคติแบบนั้น ทั้งมี่หมิน จิวซิน จิ้นหง หนิงอันและจินถึงได้เคารพยอมรับในตัวเธอ
การช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาทุกอย่างมันน่าชื่นชมมาก ไม่ต้องนับเรื่องโลกที่เธออยากจะสร้าง เพียงแค่สิ่งที่ชงหยวนมอบให้มาตลอดมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกดีแล้ว
ความเห็นใจและรักลูกน้องของชงหยวนเลยทำให้เธอนึกเรื่องที่จะพูดได้ขึ้นมา
“ว่าไปแล้ว ฮุ่ยซิ่วเป็นยังไงบ้าง”
ชงหยวนเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง
พอมองไปรอบ ๆ สายตาของทุกคนยกเว้นจินก็หมองลง
“ดูเหมือนจะยังช็อคอยู่เลยค่ะ” หนิงอันตอบเสียงเบา แม้พยายามยิ้มแห้ง ๆ แต่ก็ไม่ช่วยเปลี่ยนบรรยากาศ
“…งั้นเหรอ”
คนร่าเริงอย่างหนิงอันยังสลด ชงหยวนเลยรู้ว่าเรื่องที่ฮุ่ยซิ่วเจอมาคงหนักสำหรับเขาน่าดู
จินได้ยินแล้ววางแก้วน้ำชาลงกับจาน เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงความสนใจเข้าร่วมวงสนทนา
“ช่วยไม่ได้หรอกครับ เล่นเจอกับน้องชายที่คิดว่าตายไปแล้ว แถมยังเกือบจะลงมือฆ่าน้องชายคนนั้นกับมืออีก จะสับสนก็เป็นเรื่องธรรมดา”
“อืม… คงต้องให้เวลาเขาหน่อยล่ะนะ”
ชงหยวนกอดอกพยักหน้า คงมีแค่เธอกับจินนี่แลที่ยังพอใจเย็นอยู่
แต่แน่นอน… ด้วยความที่ฮุ่ยซิ่วเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของชงหยวน ความแข็งแกร่งของเขาทำให้ทุกคนสบายใจเมื่อมีเขาอยู่
และในทางตรงข้าม หากไม่มีเขาอยู่ความกังวลย่อมมีแก่ทุกคนเป็นเรื่องธรรมดา
ที่ทำให้ทุกคนพอสงบได้บ้างก็คือความนิ่งของชงหยวนนี่แหละ
ชงหยวนเองก็รู้ดีว่าตนเป็นศูนย์กลางความไว้วางใจตรงนั้น จะให้ทุกคนกังวลเรื่องฮุ่ยซิ่วต่อคงไม่ดีแน่
“ถ้าอย่างนั้น เรามาคุยเรื่องแผนการกันดีกว่าไหมทุกคน”
“ “ “ครับ/ค่ะ!!!” ” ”
ทุกคนตะโกนตอบเสียงแข็งกร้าว ถ้าลูกค้าในร้านคาเฟ่ไม่ได้โดนพลังของชงหยวนอยู่ทุกคนคงหันมามองกันหมดแล้ว
แต่นี่แหละคือหลักฐานความเชื่อใจของพวกเขาที่มีต่อชงหยวน ไม่มีใครเลยสักคนที่ลังเลต่อคำสั่ง
อารมณ์พวกเขาเองก็แปรเปลี่ยนตามการชี้นำของชงหยวนด้วย แววตาทุกคนถึงกลับมามีประกายอีกครั้ง
ชงหยวนเลยเห็นเป็นจังหวะที่จะกลับเข้าประเด็นหลักของวันนี้
“งั้นก่อนอื่น… เรื่องดีลกับ ‘เจ้าหมอนั่น’ เป็นยังไงบ้าง”
ชงหยวนหันไปมองหนิงอันที่นั่งข้าง ๆ สายตาทุกคนเองก็เลื่อนไปมองหนิงอันด้วยความลุ้นระทึก
และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มโชว์ฟันของหนิงอัน
“ถึงตอนแรกจะลำบากหน่อยก็เถอะนะคะ… แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือเขายอมรับสนธิสัญญาค่ะ”
“ต้องแบบนี้สิ”
ชงหยวนฉีกยิ้มกว้างแทบจะหลุดหัวเราะ โชคเข้าข้างเธอเรื่อย ๆ มาตั้งแต่การโหวตเมื่อวานแล้ว
จินผู้เป็นสักขีพยานมาตลอดเองก็ยิ้มบาง ๆ ออกมาด้วยความพอใจตาม
“แบบนี้แผนที่ฟรองก็น่าจะไม่มีใครขวางแล้วสินะครับ”
“ใช่เลย เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวเองก็อยู่ห่างจาก ‘จุดปะทะ’ ทั้งหมดด้วย เพราะงั้นเราก็สามารถเริ่มแผนการได้ทุกวันในช่วงทัศนศึกษา”
“สมแล้วจริง ๆ ครับ”
จิวซินเลิกคิ้วตะลึง
เรื่องการใช้ความคิดไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดเท่าไร แต่ถึงแบบนั้นก็พอรู้ว่าแผนของชงหยวนคืบหน้าไปมากจนเข้าใกล้ความสำเร็จเข้าทุกที
ในตอนนั้นจิ้นหงที่นั่งข้าง ๆ จิวซินก็ยกมือขึ้นสงสัย
“จะว่าไป ‘เป้าหมาย’ เป็นยังไงบ้างแล้วเหรอคะ?”
จิ้นหงถามออกมาดูขวานผ่าซาก ความห้วนนั่นสมกับเป็นสาวที่ดูทอมบอยอย่างเธอดี
ทุกแผนการย่อมมีจุดประสงค์ รวมถึงแผนของชงหยวนด้วย
แผนการของเธอมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ใครบางคน… คน ๆ นั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เธอรู้จัก และเธอต้องการความช่วยเหลือจากคน ๆ นั้นเพื่อมาเป็นกำลังรบให้กับเธอ
นั่นคือสาเหตุที่ชงหยวนฝ่าเข้ามาถึงดงศัตรูเพื่อโน้มน้าวเขาคนนั้น
…แต่ปัญหามันดันอยู่ที่เธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคน ๆ นั้นมีพรรคมีพวกแล้วหรือยัง ชงหยวนจึงไม่สามารถไปขอความช่วยเหลือได้ตรง ๆ จนกว่าจะยืนยันฝ่ายของเขาคนนั้นได้
การพิสูจน์เรื่องนั้น และเลือกวิธีปฏิบัติหลังจากนั้นนั่นแลคือแผนการของชงหยวน
“เขาอาจจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ได้สินะครับ… ชินยะ นัวรอยคนนั้น”
“ไอ๊หยา… ขนาดคนหัวทึบอย่างนายยังเข้าใจสินะเนี่ย”
จิ้นหงเลิกคิ้วตะลึงไปเลยเมื่อจิวซินเข้าใจสถานการณ์และแผนการของชงหยวน
สถานการณ์นั้นเข้าใจง่าย แต่ความยากคือการยืนยันเรื่องนั้น
ยิ่งกับคนที่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างชงหยวน การตัดสินใจมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แม้ลูกน้องเธอจะคิดว่าง่าย และชงหยวนก็อยากให้ทุกคนคิดแบบนั้น
…แต่ตัวชงหยวนเองคือผู้ที่รู้ดีที่สุดว่าไม่ใช่
ชินน่ะ เป็นตัวตนพิเศษ
เขามีจิตใจอันเข้มแข็ง และความแข็งแกร่งอันล้นหลาม
พลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่ง และพลังที่สามารถครองพลังของผู้อื่นได้
ถ้ามีพลังแบบนั้นใครก็ไม่ใช่คู่มือแน่
และที่สำคัญ… เขายังเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดีงาม
มีปณิธานอันน่าชื่นชมและทำเพื่อผู้อื่น
ถ้าได้เขามาเป็นพวก… โลกที่เราอยากสร้างจะต้องเป็นจริงได้แน่
ไม่สิ… ถ้าเป็นชินยะ เขาต้องเห็นด้วยกับโลกที่เราอยากสร้างแน่
แต่ว่า…
ก็เพราะเขาเป็นคนแน่วแน่แบบนั้น…
ถ้าเขาเกิดเลือกฝั่งไปแล้ว และเป็นฝั่งของศัตรูขึ้นมาล่ะก็…
ความเป็นไปได้ที่ไม่อยากให้เกิดทำชงหยวนขมวดคิ้ว
แค่เพียงคิดตามก็ทำหน้าอกชงหยวนเจ็บไปหมด เธอเผลอเลื่อนมือขึ้นกุมจี้หยกที่สวมคอภายใต้ชุดนักเรียนแน่น
หนิงอันผู้เป็นมือขวาสังเกตเห็นเรื่องนั้น
เพื่อให้ชงหยวนพักใจ หนิงอันเลยหันไปหาจินเพื่อให้ตอบคำถามของจิวซินก่อน
“นี่จิน! นายไปสืบเรื่องของโอลิเวียมาใช่ไหมล่ะ? มีอะไรอยากแฉป่ะ?”
“…พูดจาได้ดูแย่จังเลยนะ”
จินถอนหายใจกับวิธีพูด
ส่วนทางชงหยวนได้แต่ขอบคุณหนิงอันในใจ เธอหันไปฟังข้อมูลจากจินเหมือนคนอื่น ๆ
“จากที่ผมเฝ้าสังเกตเธอ… บุคลิกของเธอใกล้เคียงกับโกลเด้นด็อกตามข้อมูลที่ซื้อมาไม่เบาเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างงั้นก็ไม่มีหลักฐานแบบเป็นรูปธรรมระหว่างทั้งสองคนอยู่ดี”
จินประสานมือบนตักเล่าเรื่องอย่างผู้ดี แทบจำไม่ได้ว่าในรูปลักษณ์ของหู่เขาเคยเกรี้ยวกราดขนาดไหน
ส่วนเนื้อหา จินกำลังบอกว่ายังไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่ใช้ชี้ตัวว่าโกลเด้นด็อกคือโอลิเวียได้
แต่ถ้าพูดถึงการจับสังเกตเรื่องแวดล้อมก็เป็นอีกเรื่อง หนิงอันยื่นหน้าเข้ากลางโต๊ะเพราะนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา
“จะว่าไป นายเคยฆ่าโกลเด้นด็อกไปรอบนึงไม่ใช่เหรอ? แต่หลายวันก่อนยัยนั่นยังโผล่มาสมทบได้เลยนี่” หนิงอันถามถึงข้อมูลที่เคยพูดถึง
จิวซินกับมี่หมินพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงเพราะเป็นกลุ่มที่รับมือกับโกลเด้นด็อกในวันดังกล่าว
ความพร้อมเพรียงตรงนั้นแอบทำจิ้นหงแก้มป่องหงุดหงิด แต่ไม่มีใครเห็นนอกจากชงหยวนที่มองอย่างหนักใจ
ส่วนจินก็ยืนยันด้วยการพยักหน้าว่าเขาลงมือจริง
แต่แบบไม่สบอารมณ์ …เพราะเหตุการณ์ที่เขาลงมือสังหารโกลเด้นด็อกมันทำให้เขานึกถึงเรื่องที่ถูกแองกริคราวน์โค่นขึ้นมา
แต่จินก็พยายามไม่ให้เสียเรื่อง เขากำมือแน่นเก็บอารมณ์ก่อนจะเล่าต่อ
“ใช่ นั่นแสดงว่าโกลเด้นด็อกมีพลังในการคืนชีพ… ถ้าโอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสมีไนท์ที่คืนชีพได้อย่างที่ท่านชงหยวนว่า โกลเด้นด็อกกับโอลิเวียก็มีโอกาสเป็นคนเดียวกันสูงมาก”
“น่าเสียดายนะที่ไม่ได้เจอกันตัวต่อตัว ไม่งั้นฉันคงจับไต๋ยัยนั่นได้ไปตั้งนานแล้ว”
ชงหยวนพูดแทรกกอดอกพ่นลม ทำทุกคนยิ้มแห้ง
โดยเฉพาะหนิงอันที่อยู่กับชงหยวนมาตั้งแต่เป็นคู่หมั้นกับชิน เธอเลยรู้ว่าชงหยวนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับโอลิเวียขนาดไหน
และถึงชงหยวนจะโมโหยังไงแต่ก็ไม่ลืมการใช้เหตุผล
ชงหยวนเลยหันไปหาจิวซินหนุ่มร่างยักษ์อีกรอบ
“จิวซินเคยสู้กับโกลเด้นด็อกใช่ไหม? พลังเวทของยัยนั่นเป็นไงบ้างล่ะ”
“…แข็งแกร่งมากครับ น่าจะเป็นเอลฟ์ระดับสูงที่สุดที่เคยเจอเลย”
จิวซินตอบด้วยใบหน้าที่หมองลง เขาเข้าใจแล้วว่าการเสียความมั่นใจมันเป็นแบบนี้นี่เอง
แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่นานนัก… เพราะมี่หมินแอบยื่นมือมากุมมือเขาจากใต้โต๊ะ ฝ่ามือเล็กบางราวสัตว์ตัวน้อยช่วยเยียวยาจิตใจอันห่อเหี่ยวของเขาจนกลับมานุ่มฟูอีกครั้ง
…ถึงจะเป็นเหตุให้จิ้นหงขมวดคิ้วแยกเขี้ยวใส่ทั้งสองคนอีกครั้งก็ตาม
ส่วนจินเขานั่งจับคางครุ่นคิดมาตลอด ทำให้นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“ว่าไปแล้วแองกริคราวน์สามารถสลายพลังคนอื่นได้ด้วยใช่ไหมครับ”
“นายน่าจะตอบคำถามนั้นได้ไม่ใช่เหรอ?”
หนิงอันโยนคำถามกลับ เพราะคนที่สู้กับแองกริคราวน์บ่อยที่สุดก็คือจิน
ตลอดที่ผ่านมา เขาเอาแต่คิดเรื่องของแองกริคราวน์เพราะอยากกู้ศักดิ์ศรีตัวเองคืน และเพราะอยากอยู่ในจุดที่สูงกว่านี้เพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่อยากจะเปลี่ยนโลก
และเพราะเอาแต่สนใจเรื่องของแองกริคราวน์ เขาถึงจำได้เกือบทุกรายละเอียดของแองกริคราวน์ทั้งกิริยา วิธีพูด รวมถึงทัศนคติของชายคนนั้น
…และมันก็ทำให้จินนึกถึงใครบางคนที่เขาเจอในโรงเรียนเซนต์ลอเรนซ์
“ใช่น่ะสิ… ก็ที่ผมถาม ผมไม่ได้ถามถึงแองกริคราวน์”
จินหันไปมองชงหยวนอย่างเกรง ๆ ถึงตอนนั้นทุกคนยกเว้นจิวซินที่เป็นคนซื่อก็เริ่มเข้าใจแล้ว
…ว่าจินกำลังถามถึงชิน
และคนที่จะตอบคำถามนั้นได้ก็มีแต่ชงหยวน
“…ไนท์ของชินเองก็ทำแบบเดียวกันได้”
คำตอบจากปากของชงหยวนทำทุกคนเบิกตาโพลง หลายคนเหงื่อตกรวมถึงตัวจินเองก็ด้วย
เพราะคำพูดนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากการยืนยันความจริงที่ว่าชินคือแองกริคราวน์เลยสักนิด
ต่างกับทุกคนที่ตกตะลึง ทางชงหยวนไม่ได้รู้สึกอะไรกับความจริงข้อนั้นเลยสักนิด
เพราะเธอใช้อคติจากข้อมูลเดาไปแล้วกว่า 90% ว่าชินคือแองกริคราวน์ เรียกว่ามั่นใจอยู่แล้วก็ไม่ผิด
แต่ว่า…
แต่ว่าทำไม… เราถึงรู้สึกแย่แบบนี้นะ
ชงหยวนถามตัวเองกับความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นในใจ
เพราะไม่อยากให้คนอื่นนอกจากเรารู้เรื่องของชินแค่นั้นเหรอ?
หรือว่าไม่อยากให้ทุกคนมองชินเป็นศัตรู… ไม่อยากให้เขาถูกเพ่งเล็งกันนะ?
ชงหยวนไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเอง
แต่ก็รู้ว่าในฐานะผู้นำเธอไม่ควรมีความรู้สึกแบบนั้น เพราะจะทำให้ลูกน้องเป็นอันตรายจากอคติของตัวเธอเอง
“แสดงว่าถึงจะไม่มีหลักฐาน แต่โอกาสใช่นี่สูงมากเลยสินะคะ”
จิ้นหงพูดตามที่สงสัยออกมาตรง ๆ สีหน้าทุกคนเคร่งเครียดไปตาม ๆ กัน
ทั้งเพราะได้รู้ว่าชินมีโอกาสอยู่ฝั่งศัตรูสูง
และเพราะคิดถึงความรู้สึกของชงหยวน
อุตส่าห์ได้เจอกับคู่หมั้นที่น่าจะตายไปแล้วทั้งที แต่เขาคนนั้นกลับกลายเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดไปเสียได้
นี่มันละครโศกนาฏกรรมอะไรกัน… ทุกคนอดคิดโทษฟ้าดินไม่ได้ ได้แต่คิดว่าเหตุใดฟ้าดินช่างใจร้ายกับท่านชงหยวนนัก
ชงหยวนเองก็สัมผัสสายตาพวกนั้นได้
เธอเลยหันไปมองทุกคนอีกครั้งด้วยแววตามั่นคงกว่าที่พวกเขาคิด
“แต่ต่อให้เขาเป็นแองกริคราวน์ ฉันก็อาจจะพอหาทางดึงเขามาอยู่ฝั่งเราได้อยู่หรอก”
ชงหยวนพยายามยืนยันเรื่องนั้น พูดไปทั้งเพื่อความสบายใจของสหายและตัวเธอเอง
แต่หนิงอันกับจินไม่ได้รู้สึกสบายใจเหมือนคนอื่น เพราะรู้ว่าปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคืออะไร
หากชินเป็นแองกริคราวน์ นั่นหมายความว่าเขาคืออัศวินของราชา ดังนั้นจึงสามารถแปรพักตร์ได้เสมอหากมีผลประโยชน์ร่วม
แต่ชินที่กำลังพูดถึงนี้ไม่ได้มีความเป็นไปได้เดียว…
อีกความเป็นไปได้นึงที่เขามีนี่แหละคือปัญหา
“งั้นปัญหาที่เหลือ… ก็คือ ‘ตราราชันย์ไร้เลข’ สินะครับ”
จินพูดขึ้นเพราะรู้ว่าหนิงอันเห็นแก่ชงหยวนเกินกว่าจะเอ่ยเอง
อัศวินสามารถย้ายฝั่งได้แต่ไม่ใช่กับราชา
ความจริงข้อนั้นทำชงหยวนกำมือแน่น ถึงกับต้องรีบดึงสติตัวเองก่อนเล็บจะจิกเนื้อตัวเองจนเป็นแผล
เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น… การสังหารชินจะกลายเป็นทางเลือกเดียวที่เธอมี
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION