ปกรณัมของเหล่านักเรียน ม.ปลาย ผู้ปฏิวัติโลก - ตอนที่ 39: ศึกตัดสินอันอลหม่าน
เมื่อตะวันลับฟ้าจนนภาแปรเปลี่ยนเป็นราตรีดำสนิท ยามนั้นศึกยามค่ำคืนอันเป็นศึกตัดสินครั้งสุดท้ายสำหรับเหล่านักษัตรก็ได้เริ่มขึ้น โดยสถานที่เกิดเหตุคือชานเมืองร้างแห่งเดิม เพิ่มเติมคือจำนวนของผู้ร่วมศึก
“หนนี้มา 5 คนเชียวเหรอ?”
เซอร์เคย์ในคราบของอัศวินและในนามแห่ง ‘อัศวินโต๊ะกลม’ ผู้ปกครองฝรั่งเศส กล่าวขึ้นด้วยความแปลกใจแต่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว แม้ศัตรูจะเพิ่มขึ้นมาอีกสองคนหากเทียบจากเมื่อวาน
อัศวินนักษัตรสวมหน้ากากมังกรผู้ใช้หมัดมวยจีน… หลง
เด็กสาวสวมหน้ากากกระต่ายผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้แบบผสมประชิดตัว… ทู่
ชายร่างใหญ่ผู้ใช้ขวานยักษ์ในคราบหน้ากากวัว… หนิว
เด็กสาวสวมหน้ากากหนูผู้ใช้มีดสั้นคู่… สู่
ทั้งสี่คนกำลังยืนเผชิญหน้ากับอัศวินผู้ที่แสดงให้เห็นแล้วว่ามีความสามารถทางกายภาพสูงพอ ๆ กับตราราชันย์ จะเหลือก็แค่หญิงสาวสวมหน้ากากลิง… โหวที่คอยสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ในจุดที่สามารถลอบโมตีอีกฝ่ายได้ด้วยและส่งข้อมูลให้ชงหยวนตามหน้าที่เดิมของตนได้ด้วย
“เอาเถอะ ข้าไม่เกี่ยงเรืองจำนวนหรือวิธีการอยู่แล้ว จะไม่กล่าวโทษอะไรพวกเจ้าด้วย” เซอร์เคย์แม้จะเสียเปรียบด้านจำนวนแต่ยังกล่าวท้าทายศัตรูที่หมาหมู่เข้ามาอย่างกล้าหาญ
“ถ้าด่ากันจะรู้สึกดีกว่านี้ล่ะนะ”
หลง อัศวินนักษัตรมังกรผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดและทะนงตนที่สุดกล่าวออกมาเช่นนั้น เห็นได้ชัดเลยว่าตัวเขาเองก็รู้สึกอับอายไม่น้อยที่จำต้องใช้วิธีรุมแบบนี้
แต่เพื่อเป้าหมายแล้ว การจะชนะให้ได้ก็มีแต่วิธีนั้นเท่านั้น ทุกคนเข้าใจจุดนี้ดีจึงจำต้องใช้วิธีนี้แม้จะขัดกับอุดมการณ์ของตัวเองก็ตาม
อาจเพราะไม่อยากรู้สึกแบบนั้นนานนัก เขาจึงคิดจะปิดฉากศึกนี้ให้เร็วที่สุด ด้วยการถีบพื้นพุ่งเข้าไปแล้วรัวหมัดใส่เซอร์เคย์ก่อนใครเพื่อน ทางเซอร์เคย์เองก็สามารถปัดป้องการโจมตีทั้งหมดพร้อม ๆ กับสวนกลับด้วยคมดาบของตัวเองอย่างรวดเร็วและรุนแรงพอ ๆ กัน
สิ่งที่เกิดขึ้นราวกับเป็นการฉายบันทึกการต่อสู้ของเมื่อวานยังไงอย่างงั้น
“อะไรกัน? ที่เหลือจะไม่เข้ามาเหรอ?” เคย์เอ่ยถามด้วยท่าทางสบาย ๆ ทั้งที่กำลังรับมือหลงอยู่
ยังไงก็ตาม ที่ทำแบบนั้นได้ก็เป็นเพราะตอนนี้เขาใช้พลังของตราอัศวินที่เป็นของผู้ปกครองดินแดนฝรั่งเศส ทำให้ความสามารถทางกายภาพสูงกว่าทุกคนในที่นี้
“อุตส่าห์ขนมาขนาดนั้น กะจะปิดฉากกันวันนี้ไม่ใช่รึไง!?” เคย์ตะโกนกระตุ้นพร้อมกับหลบหมัดของหลงแล้วจัดการฟันเข้าใส่กลางลำตัวของหลงเต็ม ๆ
ต้องขอบคุณที่ร่างกายเผ่าดรากูนเป็นเกล็ดที่มีความแข็ง แถมเสริมด้วยเทคนิคผสานจิตผลลัพธ์จึงทำให้หลงแค่กระเด็นไปไกลแทน ไม่อย่างนั้นตัวเขาคงขาดครึ่งไปแล้วถ้าเป็นคนธรรมดา
แต่ถึงจะไม่ได้รับบาดแผลโดนฟัน แต่ภายในก็หนักไม่ใช่น้อย เพราะการโจมตีอันรุนแรงนั้นทำให้หลงกระเด็นจนไปกระแทกเข้ากับอาคารเก็บของหลังหนึ่งเข้าไปในนั้นทันที
และในจังหวะเดียวกันนั้นเองที่กระต่าย… ทู่ถีบตัวเข้าไปแล้วระดมหมัดเข้าใส่ พร้อม ๆ กับที่หนู… สู่พุ่งทะยานเข้าไปแล้วเริ่มใช้มีดสั้นในมือรวมสองเล่มประสานการโจมตีเข้าใส่เคย์
อย่างงี้นี่เอง
เคย์ทำความเข้าใจหลังประมือกับหลงมาแล้วสองรอบ ทำให้เข้าใจได้ว่าหลงเป็นพวกถนัดการต่อสู้แบบตัวต่อตัวมากกว่าจึงคิดจะเป็นตัวเปิดช่องว่างให้คนอื่น
“แต่แบบนี้ก็ยังเปล่าประโยชน์อยู่ดี!” เคย์ตะโกนดั่งขู่คำราม
การโจมตีของสองสาวทู่และสู่ แม้จะรวดเร็วแต่ยังไม่รุนแรงพอจะทะลุเกราะของเคย์ที่ใช้เทคนิคผสานจิตได้
“ย้ากก!!!”
เคย์ทำการรวบรวมจิตไว้ที่ศูนย์กลางกายแล้วทำการระเบิดมันออกเป็นคลื่นกระแทกจนทั้งสองคนกระเด็นออกมา รวมถึงทั้งสองคนที่เห็นท่าไม่ดีว่าเป็นการโจมตีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนจึงถีบตัวถอยออกมาได้ก่อนที่คลื่นกระแทกนั่นจะโดนร่างตัวเอง
เทคนิคการใช้จิตแบบใหม่อีกแล้ว… แถมยังมีเรื่องที่ตราอัศวินดูดซับจิตด้วยอัตราเดียวกับตราราชันย์อีก
ทำไมพวกราชันย์ของอังกฤษถึงรู้เรื่องพวกนี้ที่พวกเราไม่รู้ได้กัน?
โหวที่สังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ ตั้งข้อสังเกตในขณะที่จดบันทึกข้อมูลทั้งหมดด้วยกล้องวิดิโอความละเอียดสูงที่ติดอยู่กับกล้องส่องทางไกลที่เธอใช้ เห็นได้ชัดเลยว่าสิ่งที่เคย์ใช้ตราอัศวินแสดงเทคนิคเหล่านี้ให้เห็นมันไม่ได้เป็นที่รู้จักโดยทั่วแม้จะสำหรับพวกอื่นด้วยกัน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้อีกฝ่ายจะเหนือกว่าทั้งพลังและเทคนิค แต่สิ่งที่เสียเปรียบคือจำนวน
เห็นดังนั้น หนิวที่รอจังหวะอยู่แล้วจึงอาศัยจังหวะที่การโจมตีด้วยการรวบรวมจิตแล้วระเบิดออกสงบลง กระโดดพุ่งตัวเข้าไปแล้วเงื้อขวานฟาดลงใส่เคย์จุดจุดที่เหนือกว่าเพื่อทิ้งน้ำหนักตัวลงไปพร้อมกับแรงฟาด
ตู้ม!!!
เคย์ยกดาบขึ้นป้องกันการโจมตีจากบนหัว แต่แรงกระแทกยังส่งผ่านตั้งแต่ดาบที่รับการโมตีไปจนถึงเท้าจนพื้นบริเวณที่เคย์ยืนแตกระแหงเป็นรัศมีหลายสิบเมตร
“พลังของเจ้าไม่เลวทีเดียว” เคย์เอ่ยชม ในขณะที่ตัวเขานั้นไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีนี้เลยสักนิด จึงดูเหมือนเขาพูดเป็นมารยาทแต่ไม่รู้สึกอย่างนั้น
ยิ่งเห็นได้ชัดไปใหญ่เมื่อเคย์อกแรงดันขวานของหนิวด้วยดาบของเขากลับไป จนกระทั่งตอนนี้พลังของเคย์ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
เปรี้ยง!!!
เสียงกระสุนลั่นไกดังมาจากทิศที่อยู่ห่างออกไปทางขวาของเคย์ พริบตานั้นกระสุนไรเฟิลก็ควงสว่านเข้ามาทางเขาโดยเล็งตำแหน่งหัว
เคย์สังเกตการโจมตีได้นานแล้วจากการใช้ตราอัศวินตรวจสอบศัตรูและการโจมตีประสงค์ร้ายอยู่ตอลดเวลา เขาจึงสามารถหลบกระสุนที่พุ่งเข้ามาจากทางโหวได้อย่างเฉียด ๆ
นอกจากเก่งแล้วยังไม่ประมาทอีก… คนอะไรกันเนี่ย!
โหวบ่นอุบในใจก่อนจะคัดปลอกกระสุนออกจากรังเพลิง ทั้งที่มั่นใจเต็มที่แท้ ๆ ว่ากระสุนเมื่อกี้จะต้องเข้าหัวแน่นอนแท้ ๆ พอเป็นแบบนี้เธอเลยต้องประเมินสถานการณ์ใหม่
“เราต้องเอาจริงกันแล้วค่ะ จะมัวระวังไพ่ของอีกฝ่ายต่อไปไม่ได้แล้ว”
โหวพูดแบบนั้นผ่านอุปกรณ์สื่อสารของกลุ่มหลังตัดสินใจได้ว่า ต่อให้อีกฝ่ายจะมีความสามารถอันตรายอย่างการระเบิดจิตเมื่อสัครู่หรือความสามารถประจำเผ่าพันธุ์อย่างเวทมนตร์ คำสาปหรือเลวร้ายที่สุดอาจจะเป็นไนท์ก็ตาม
แต่ถ้าปล่อยให้กลายเป็นศึกยืดเยื้อ อีกฝ่ายก็มีแต่จะแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผลลัพธ์สุดท้ายก็คงไม่พ้นจะลงเอยแบบเดิม
สถานการณ์ที่กำลังรุนแรงมากขึ้นส่งไปยังเหล่าพวกพ้องของชงหยวนทุกคน รวมถึงชงหยวนที่กำลังอยู่ในงานเต้นรำเองก็ได้ยินผ่านหูฟังตัวเองเช่นกัน
คู่ขนานไปกับศึกตัดสินที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น งานเต้นรำซึ่งเป็นกิจกรรมสุดท้ายของการทัศนศึกษาเองก็กำลังอยู่ในช่วงที่เพิ่งเริ่มไปได้ไม่นานเช่นกัน
มีคู่เต้นรำหลายคู่ที่เริ่มกิจกรรมไปแล้ว แม้ในความเป็นจริงกิจกรรมจะถูกกำหนดให้มี แต่ในความเป็นจริงก็มได้มีบังคับทั้งทางตรงแล้วทางอ้อมให้หาคู่แล้วเต้นรำบนฟลอร์ที่จัดไว้ให้ ทั้งอย่างนั้นนักเรียนจำนวนมากก็ยังมาที่แห่งนี้ด้วยชุดราตรีพร้อมกับการแต่งหน้าแต่งตาจัดเต็มอยู่ดี
ดังนั้น คงเห็นแล้วว่าโดยภาพรวม นักเรียนทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมอย่างมีความรับผิดชอบเพราะถูกสั่งสอนและสั่งสมเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เข้าเรียนที่โรงเรียนเซนต์ลอว์เรนซ์ เหตุการณ์ผิดแปลกจากพฤติกรรมที่ออกไปในทางต่อต้านจึงมีไม่กี่คน ซึ่งถ้านับจริง ๆ ก็คงมีแค่เคนเนธคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อยากจะเต้นรำซะขนาดนั้น
นั่นถึงเป็นเหตุผล ที่มีคนเต้นรำอยู่บนฟลอร์เป็นคู่ร่วมกันอย่างเป็นจำนวนมาก
แต่ในบรรดาคนที่เต้นรำเอง ก็มีหลายคนที่เลือกจะออกมาทานของกินเล่นนอกฟลอร์แทนเพราะอยากจะเห็นการเต้นรำของคู่เต้นรำคู่หนึ่งโดยเฉพาะ และคู่ดังกล่าวคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชินกับซูซาน
เรื่องที่ชินเป็นที่จับตามองนั้นแน่นอนอยู่แล้ว จากสาว ๆ ที่ชื่นชมและต้องการอาหารสายตาจากหนุ่มรูปงามคงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ทางฝั่งชายบางส่วนก็ดูด้วยความชื่นชมและใช้ชินเป็นแบบอย่าง อาจมีบางกลุ่มที่จ้องมองด้วยเหตุผลเดียวกับนักเรียนหญิงก็มีซึ่งชินก็ไม่ได้รังเกียจอะไร พูดให้ถูกคือเพราะชินเป็นคนเปิดกว้างแทบจะทุกเรื่องนั่นแหล่ะทุกคนเลยเป็นมิตรกับเขา
และด้วยความที่เขาเป็นที่ชื่นชอบของทุกคนเกือบจะทั้งหมด การจะถูกจับตามองแทบจะตลอดเวลาจนเกือบจะเป็นบุคคลสาธารณะของโรงเรียนเลยเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงแบบนั้นถ้าจะถามว่าชินชอบหรือไม่ชอบที่ถูกจับตามอง ก็ต้องตอบตามตรงว่าไม่ชอบ ด้วยสาเหตุที่ว่า “มันอาจมาขัดขวางแผนการแก้แค้นของกรไม่ว่าจะในแง่ใดก็ตาม” นั่นเอง
“ไม่ชินกับสายตาคาดหวังเหรอคะเนี่ย?” และเพราะชินแสดงสีหน้าไม่ค่อยพอใจออกมานั่นแหล่ะ ซูซานที่กำลังกุมมือในขณะเต้นรำหมุนไปรอบ ๆ ถึงได้เอ่ยถามเขาออกมา
อนึ่ง ในความเป็นจริงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชินมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นคนที่จะสังเกตสีหน้าของชินที่เปลี่ยนไปได้อย่างเข้าใจในช่วงไม่กี่ปีมานี้มีแค่โอลิเวียคนเดียว หรือใกล้เคียงกว่านั้นคือเกวน และตอนนี้อดีตคู่หมั้นของเขาอย่างชงหยวนหรือซูซานเองก็ดูท่าจะยังสามารถทำได้แม้จะไม่ได้เจอกันมานาน
“ก็ไม่เชิง… แต่สถานะของฉันเธอก็รู้นี่ว่ามันรู้สึกลำบากใจ”
“นั่นสินะคะ ขืนความลับแตกขึ้นมาล่ะแย่เลย” ชินตอบกลับไปแบบนั้น ด้วยข้อมูลที่ชงหยวนรู้อยู่แล้ว เธอถึงตอบกลับอย่างที่คนรู้เบื้องหลังของชินอยู่แล้วตอบกลับ
บทสนทนาเป็นไปอย่างลื่นไหลเช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวและท่วงท่าของทั้งสองคนในระหว่างเต้นรำ งดงามราวกับเป็นภาพวาดงานศิลป์ของศิลปินเอกที่สามารถเคลื่อนไหวได้และมีชีวิต
“สุดยอดเลย ยังกับมืออาชีพแน่ะ”
“รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงเลยเนาะ”
“แถมเต้นเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยแน่ะ”
ความเข้ากันอย่างลงตัวคล้ายกับเสียงประสานของดนตรีออร์เคสตราของเครื่องดนตรีหลายชนิดดังการเต้นรำของทั้งสองคนถึงได้เป็นที่ต้องตาต้องใจของทุกคนในโถงหลักแห่งนี้
แต่แน่นอนว่าหากมีคนที่ชื่นชอบจนถึงขั้นหลงใหลในลีลาการเต้นรำของชินกับซูซาน ก็ย่อมมีคนที่ไม่พอใจอยู่เป็นธรรมดา และคนแรกที่ชินนึกออกเป็นคนแรกเลยก็คงไม่พ้นโอลิเวียที่กำลังยืนทานอาหารเย็นตรงซุ้มคู่กับเกวนอยู่นั่นแล
ตอนนี้ทั้งสองคนแม้จะไม่ได้แต่งหน้าค่าตาจัดเต็มเพราะไม่ได้หวังจะเป็นเป้าสายตาอย่างคู่เอกของชินกับซูซาน แต่ทั้งสองคนก็ยังอยู่ในชุดเดรสที่งดงามสมตัว จะทั้งชุดเดรสสีขาวลายดอกไม้เกือบจะกลืนเข้ากับผิวสีขาวดุจหิมะของโอลิเวีย หรือชุดเดรสยาวสีดำแบบเปิดไหล่ของเกวนที่เข้ากันได้ดีกับเรือนผมสีดำยาวของเธอ
และเมื่อทั้งสองคนยืนคู่กัน ทำให้รู้สึกราวกับว่าทั้งคู่เป็นช่วงเวลายามกลางวันและราตรีอันน่าหลงไหลเลยทีเดียว
แต่นั่นก็แค่สิ่งที่คนอื่นกำลังมองเห็นทั้งสองคนจากระยะไกลเท่านั้น หากแต่สำหรับโอลิเวียในตอนนี้นั้นที่จริงกำลังหงุดหงิดได้ที่ทีเดียวด้วยสาเหตุที่รู้กัน
“จะ ใจเย็น ๆ ก่อนเถอะนะ”
เกวนเอ่ยกับโอลิเวียที่กำลังยืนกอดอกเพื่อให้เธอรู้ว่าตัวเองกำลังแสดงความไม่พอใจออกมาจนเห็นได้ชัด ในระดับที่มากเกินไปจนใคร ๆ ต่างก็มองออกว่าเธอไม่ชอบใจเอามาก ๆ แถมยังปล่อยรังสีอำมหิตและบรรยากาศเย็นยะเยือกราวกับจะอาบบริเวณรอบ ๆ ให้เป็นทุ่งน้ำแข็งด้วยแล้วก็ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่
ดูท่าเรื่องระหว่างทั้งสองคนนั้นจะไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย
เกวนอดคิดแบบนั้นไม่ได้หลังอยู่กลางศึกระหว่างโอลิเวียกับซูซานหลาย ๆ ครั้งเข้า อย่างครั้งล่าสุดที่มีผลตัดสินแพ้ชนะชัดเจนนี้ยิ่งทำให้เห็นความรู้สึกของโอลิเวียที่มีต่อซูซานชัดเจนมากยิ่งขึ้นเข้าไปอีก
แน่นอนว่าเป็นในทางลบ
“เรื่องนั้นน่ะ คุณเองก็ไม่พอใจเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะ?”
“เอ๊ะ!?” ในระหว่างที่เกวนคิดตั้งข้อสังเกต กลับกลายเป็นตัวเกวนเองที่ถูกโอลิเวียตั้งข้อสงัเกตกลับไปเสียอย่างงั้น แถมด้วยเรื่องเดียวกันอีกด้วย
“หมายถึงเรื่องที่ซูซานทำให้ชินเขาลำบากสินะ… เรื่องนั้นฉันเองก็คิดว่ามันไม่ถูก————”
“ดิฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้นค่ะ”
พอเกวนพูดไปถึงเรื่องที่ชินถูกกึ่งบังคับให้เลือกคนที่เต้นรำ โอลิเวียก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ ราวกับว่าเธอรู้ว่าเกวนพยายามบ่ายเบี่ยงไปพูดเรื่องอื่นทั้งที่เข้าใจคำถามของโอลิเวียตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“โอลิเวียเนี่ย ชอบชินมากเลยสินะคะ” เกวนเอ่ยถามโอลิเวียกลับไป แต่การที่ข้ามส่วนของการแสดงความรู้สึกของตัวเองออกไปก็แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ค่อยอยากจะพูด
“คุณเองก็เหมือนกันนี่คะ”
แต่ยังไงก็เถอะ เรื่องที่เกวนพูดออกมา ก็เป็นคำถามเดียวกับที่โอลิเวียอยากจะถามเธอนั่นแหล่ะ โอลิเวียถึงตอบกลับไปอย่างเดียวกัน
และแม้ทั้งสองคนจะไม่ยืนยันในคำตอบ แต่ก็หาได้ปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยถามไม่ มันก็เป็นอันชัดเจนว่ายอมรับ
“อาจไม่ใช่อย่างนั้นก็ได้นะคะ” เกวนถามกลับไปยังโอลิเวียที่ตั้งคำถามอย่างเดียวกัน ไม่ว่าสาเหตุเบื้องหลังความต้องการนั้นของเกวนจะเป็นอย่างไร แต่ชัดเจนว่าเธอไม่อยากให้ใครรู้ความรู้สึกของตัวเอง และโอลิเวียก็เข้าใจความต้องการนั้นดี
…เธอจึงคิดจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อชิน
“นี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ดิฉันเชื่อใจคุณเชียวนะคะ ไม่สนใจจะคว้ามันไว้หน่อยเหรอ?” โอลิเวียกล่าวแบบนั้น
อย่างไรเสีย เธอก็ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกและความภักดีที่เธอมีต่อชินให้ใครเห็น กลับกัน เธอแสดงมันให้เห็นอย่างชัดเจนทีเดียวไม่ว่าจะเบื้องหน้าโดยเฉพาะเบื้องหลังด้วยแล้ว เพราะแบบนั้นเธอจึงได้ชื่อว่าเป็นกำแพงด่านสุดท้ายก่อนที่ศัตรูจะเข้าถึงชินสมสกุลลาสฟอร์เทรส (Last Fortress) ของเธอ
หรือกล่าวในอีกนัยนึง… การจะทำให้ชินเชื่อใครสักคนอย่างแท้จริงไร้ข้อกังขา คน ๆ นั้นก็ต้องเป็นคนที่โอลิเวียให้ความเชื่อใจด้วยเช่นกัน ดังนั้น การซื้อความเชื่อใจจากโอลิเวียได้ ก็ไม่ต่างจากการซื้อใจชินได้ในฐานะพันธมิตรนั่นเอง
และสำหรับโอลิเวีย เธอเองก็พอจะเข้าใจและรู้ความรู้สึกของเกวนที่มีต่อชินอยู่พอสมควร เธอถึงกล้าที่จะออกปากชวนเช่นนั้น แถมถ้าทำให้เกวนที่เป็นฝ่ายอัลเฟรดมาอยู่ฝ่ายชินอย่างแท้จริงได้ โอลิเวียก็จะได้รู้ข้อมูลฝ่ายอัลเฟรดหรืออาจจะอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาอาจจะยังปกปิดไว้อยู่อีกก็ได้ มันจึงคุ้มค่าที่จะให้บัตรเชิญเกวน
…แต่ว่า สำหรับเกวนนั้น ดูท่าจะมีเบื้องลึกอะไรสักอย่างมากกว่าที่โอลิเวียคิดนัก
“…ฉันยังทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ต้องขอโทษด้วยนะคะ” เพราะแบบนั้น เธอถึงยังไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนแก่โอลิเวีย แต่ถึงจะถูกบอกปัดทว่ามันก็เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ยิ่งเสริมความคิดที่โอลิเวียคิดว่าเกวนไว้ใจได้ให้มากขึ้นเข้าไปใหญ่แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซนต์ก็ตามที
“ไม่เป็นไรค่ะ… ตราบเท่าที่ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ ฉันก็ยินดีที่จะเป็นพันธมิตรกับคุณล่ะนะคะ”
นั่นถึงเป็นเหตุผล ที่ถึงแม้จะถูกปฏิเสธ แต่โอลิเวียก็ยังไม่ได้ตัดใจ เพราะเธอเองนั้นรู้ดีแก่ใจ ว่าการตัดใจอย่างสิ้นเชิงจากคนที่ตัวเองหลงรักมันเป็นไปไม่ได้ หรือหากทำได้ บางทีนั่นอาจไม่ใช่ความรัก
แต่ในขณะเดียวกัน เพราะมันเป็นแบบนั้นก็เลยทำให้ทั้งโอลิเวียและเกวนในตอนนี้รู้สึกหงุดหงิดกับความใกล้ชิดระหว่างชินและซูซานที่ยังคงเต้นรำอยู่ไม่จบเพลงดี
กับซูซานที่มองเห็นท่าทางไม่พอใจของทั้งโอลิเวียและเกวนจากระยะไกลกับแสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ เหนือกว่าและรู้สึกถึงชัยชนะ ท่าทางแสบสันนั่นส่งไปถึงโอลิเวียกับเกวนเสียด้วยพวกเธอถึงได้ขมวดคิ้วแน่นหงุดหงิดกว่าเดิม
“เธอเนี่ยนะ ทำตัวเป็นเด็กไปถึงไหนกัน” อาจเพราะรู้สึกกลัวว่าทางโน้น (โอลิเวียกับเกวน) จะเกิดความไม่พอใจขึ้น ชินก็เลยพยายามพูดห้ามปราม ในขณะที่ใช้สเต๊ปเท้าทิ้งระยะห่างออกมาจากซูซานให้มากขึ้น
“ตายจริง? ฉันไม่คิดว่าการลิ้มรสและเพลิดเพลินไปกับรสชาติแห่งชัยชนะของตัวเองมันเป็นการกระทำของเด็กหรอกนะคะ” แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุจริง ๆ เพราะยิ่งชินทำแบบนั้น ซูซานกลับยิ่งชิดตัวเข้ามาจนตอนนี้หน้าอกของทั้งสองคนชิดติดกันเสียแล้ว
“ก็มันทำให้เกิดปัญหาไม่ใช่รึไง?” ชินว่าพลางเหงื่อตก เพราะใจนึงก็รู้อยู่ว่าซูซานเป็นพวกยึดติดในชัยชนะขนาดไหน
“ก็ได้ ๆ ฉันเลิกแกล้งแล้วค่ะ”
“ขอบคุณมาก”
ไม่รู้ว่าพอใจแล้วหรืออย่างไร ซูซานถึงได้ผละออกมาจากท่าเต้นที่แนบชิดกันขนาดนั้นออกมา แต่ก็ต้องขอบคุณเรื่องนั้นทำให้ชินรู้สึกว่าความรุนแรงของสายตาที่โอลิเวียกับเกวนส่งมาทางนี้ลดลง
…และสำหรับซูซานเอง ก็ต้องขอบคุณที่ชินหันไปสนใจทางโอลิเวียกับเกวนด้วย เพราะไม่งั้นชินก็อาจกลายเป้นฝ่ายที่สังเกตเห็นว่าซูซานประหม่าจนหน้าแดงก่ำด้วยความใกล้ชิดที่มากเกินไปจนทนไม่ไหวจนต้องถอยระยะห่างออกมา
เพราะถ้าชินรู้เข้าว่าเธอเขิน ไม่ใช่เพราะพอใจกับชัยชนะ ภาพลักษณ์ที่อุตส่าห์สร้างมาคงป่นปี้หมด
“ว่าแต่เธอเองก็เถอะ… อุตส่าห์อยู่ในงานเต้นรำยังใส่หูฟังอีกนะ เห็นแข่งกับโอลิเวียเลยนึกว่าเธอสนใจงานเต้นรำซะอีก” ชินหันมาถามเรื่องนั้นหลังจากสเต็ปการเต้นเริ่มกลับมาสู่ช่วงที่ช้าลง
“แหม ๆ ช่างสังเกตจังเลยนะคะ” ชงหยวนทำเป็นไม่สนใจเรื่องการแข่งกับโอลิเวียเมื่อตอนกลางวัน แต่อย่างไรเสียเพราะรู้อยู่แล้วว่าชินกำลังให้ความสนใจกับหูฟังที่เธอกำลังสวมอยู่ เธอเลยพูดถึงประเด็นนี้แทนไปเลย
“ด้วยสถานะของฉัน คุณเองก็รู้นี่คะว่าฉันต้องรู้สถานการณ์รอบตัวอยู่ตลอดเวลา” ซูซานพูดถึงตัวเองในฐานะของลูกสาวฮ่องเต้ผู้ปกครองประเทศเขต 86
“นั่นสินะ… จินที่คอยดูแลเธอเองก็คงลำบากน่าดูเลยสิ”
“ตายจริง รู้อยู่แล้วเหรอคะ?” ซูซานทำท่าเป็นตกใจ แต่ก็ดูปลอมจนรู้สึกเหมือนขอไปทีเสียมากกว่า
“ก็ไม่ใช่เรื่องที่เดายากอะไรนี่นา” ชินถึงได้ตอบกลับด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะถอนหายใจ
แต่อย่างไรก็ดี อันที่จริงชินรู้ไปถึงขั้นที่ว่าจินคือหู่ที่เป็นอัศวิน หนึ่งในนักษัตรกองกำลังของราชันย์ฝ่ายจีนเลยด้วยซ้ำ แต่เรื่องนั้นเห็นทีคงจะบอกให้ชงหยวนที่เป็นตัวราชาฟังไม่ได้
“ว่าไปแล้วพูดถึงฐานะแล้วเนี่ย… พอได้เต้นรำด้วยกันแล้วมันนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนเลยนะคะ” ซูซาน… ชงหยวนเอ่ยถามชินถึงอดีตที่เรือนรางในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ถึงจะเรือนรางเพียงใดก็ยังเป็นสิ่งที่เขาจำได้
“เมื่อก่อนพวกเราก็เต้นรำด้วยกันบ่อย ๆ สินะคะ”
“จำได้ว่าสำหรับเธอ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าจำไม่ใช่เหรอ?”
“มันก็ไม่ขนาดนั้นซะหน่อยค่ะ”
ชงหยวนทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน กับเรื่องที่ชินหมายความถึงเรื่องที่เธอเกลียดงานเข้าสังคมทางการเพราะมันเป็นแค่ของหน้าฉากที่ทำไปเพื่อหน้าตาทางสังคม ไม่ใช่งานสังสรรค์เพื่อความสนุกสนาน กล่าวคือสำหรับเธอ มันไม่ต่างจากการเสแสร้งนั่นเอง เธอถึงได้ไม่ชอบใจ
ความเถรตรงในจุดนี้ชินเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไร กลับกันเขาชอบเสียด้วยซ้ำไป
“ไม่คิดถึงบ้างเหรอคะ?”
แต่อย่างไรก็ดี… การพยายามย้อนความของชงหยวน ดูท่าจะไม่ได้เป็นเพราะแค่เธอคิดถึงความรู้สึกครั้งวันวานเหล่านั้นอย่างเดียว
“จะทั้งแสงสีที่ควรจะเป็นของคุณ… ทั้งสิทธิในฐานะของผู้ครองบัลลังก์… ครอบครัวและบ้าน… คุณไม่คิดถึงเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นบ้างเหรอ?” ชงหยวนเอ่ยถามชินด้วยน้ำเสียงที่ดูต่ำลงหนึ่งช่วงจากปกติ แสดงให้เห็นถึงความจริงจังที่มากกว่าปกติ
ชินเองก็รู้จักนิสัยของชงหยวนมานาน เขาเองจึงพอรู้อยู่บ้างว่าคำพูดและน้ำเสียงแบบนี้มีความหมายเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร
“จากที่รู้จักกันมา… จะให้ฉันคิดจริง ๆ เหรอคะว่าคุณจะไม่ยอมทำอะไรเลยกับสถานการณ์ที่ต้องตกเป็นฝ่ายสูญเสียอยู่คนเดียวแบบนั้นน่ะ”
ไม่ใช่การยั่วโมโห ไม่ใช่การจงสร้างความหวั่นไหว… แต่ชงหยวนกำลังถามคำถามกับชินด้วยความสงสัยอย่างบริสุทธิ์ใจแม้จะมีเป้าประสงค์อื่นอยู่ด้วยก็ตาม แต่เธอก็สงสัยในความรู้สึกของชินที่มีต่ออดีตเหล่านั้นจริง
ในขณะเดียวกัน… อีกฟากหนึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ศึกกำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายพอดี ช่วงเหมาะเจาะหากนี่จะเป็นจุดที่ความลับของชินถูกเปิดเผย
ไม่สิ… สำหรับชงหยวนที่รู้สถานการณ์ของศึกนี้ตลอดเวลาผ่านหูฟังเล็ก ๆ นั้น การกล่าวกับกับชินแบบนั้นราวกับรู้สถานการณ์ของเขาอยู่แล้ว ก็เหมือนกับกำลังจะป่าวประกาศว่าเธอกำลังจะคว้าชัยจากศึกนี้ไปพร้อม ๆ กับที่ได้หลักฐานมัดตัวชินนั่นแหล่ะ
หลังการต่อสู้อันหนักหน่วงและต่อเนื่องนานเกือบ 10 นาที เซอร์เคย์ก็เริ่มแสดงอาการเหนื่อยหอบออกมาให้เห็น ท่าร่างถือดาบของเขาที่เคยชี้ดาบขึ้นอย่างองอาจเริ่มชี้ปลายดาบต่ำลงมาแสดงถึงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
และช่วงเวลาที่จะได้หยุดพักของเคย์ ก็ยังไม่ใกล้เข้ามาด้วย
“ฮึบ!!!”
หนิวที่ตอนนี้อาบจิตไปทั่วทั้งคมขวานยักษ์เหวี่ยงมันขึ้นแล้วฟาดลงใส่เคย์ไม่ให้เขาได้มีโอกาสพักฟื้นความล้าทั้งกายและใจ และดูท่าเคย์คงใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้วจริง เขาถึงกระโดดถอยหลบแทนที่จะรับการโมตีนั้นไว้แต่แรก
ดีละ! ถึงความสามารถทางกายภาพจะเพิ่มสูงมากขึ้นก็จริง แต่ยังไงมันก็แค่ศักยภาพที่ได้มาจากเสริมพลังด้วยเทคนิคผสานจิต
ท้ายสุดแล้วร่ายกายของเขาก็มีขีดจำกัดอยู่ดี!
“ดูเหมือนเราอาจจะชนะโดยที่ไม่ต้องพึ่งกำลังของหู่ก็ได้นะคะเนี่ย”
โหวผู้สวมหน้ากากลิงส่งสารผ่านไปยังชงหยวนที่ยังอยู่ในงานเต้นรำ ดูท่าจากระยะนี้แม้จินจะรีบออกตัวเร็วแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ยังไปไม่ถึงสนามรบที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองอยู่ดี
แต่บางทีมันอาจไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะชัยชนะกำลังจะมาอยู่ในกำมือของพวกเธอโดยที่กำลังเสริมยังมาไม่ถึง
…ความจริงมันก็ควรเป็นเช่นนั้น
“ไม่ไหว ๆ… สมแล้วล่ะนะที่เป็นระดับแนวหน้าของฮ่องเต้” เคย์เอ่ยอ้างนามของราชันย์พวกศัตรู ในน้ำเสียงแฝงไว้ทั้งด้วยความเจ็บใจและชื่นชม แต่ก็เหนื่อยอ่อนจนเหมือนจะบอมรับความแพ้พ่าย
แต่ดูเหมือนนั่นจะเป็นแค่คำพูดเท่านั้น เพราะท่าทีของเขาไม่มีอะไรบ่งบอกว่ากำลังจะยอมจำนน
กลับกัน… เคย์กระโดดขึ้นสูงจากจุดที่ยืนอยู่เป็นถนน ขึ้นสู่ยอดของเสาไฟฟ้าเก่า แล้วจากนั้นก็เริ่มพึมพำอะไรอยู่คนเดียว หรือบางทีเขาอาจกำลังติดต่อกับใครบางคนอยู่
เพราะหลังจากนั้น ไฟฟ้าที่น่าจะถูกตัดไปแล้วกลับเริ่มไหลผ่านไปทั่วบริเวณนั้น ส่งผลให้แสงไฟจากหลอดนีออนทั่วบริเวณนั้นสว่างขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง ด้วยความที่แสงสว่างปรากฏขึ้นกะทันหันจากที่มืดมิดมาตลอด นั่นเกือบจะทำให้ทุกคนแสบตาจนลืมไม่ขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทุกคนระวังตัวด้วยค่ะ เหมือนอีกฝ่ายกำลังจะใช้ไพ่ตายแล้ว”
หลงเอ่ยถาม แต่โหวที่สังเกตการณ์อยู่ให้คำตอบเขาไม่ได้
แม้จะไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่การที่เก็บมันไว้เป็นวิธีสุดท้ายในตอนที่จนมุม คงเรียกกได้ว่าเป็นไม้ตายก้นหีบของเคย์อย่างแท้จริง
“เอาล่ะนะ!!!”
เคย์ตะโกนลั่นราวกับไม่มีอะไรจะเสีย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการปลุกใจสู้ด้วย
พร้อม ๆ กับที่ใช้เปิดใช้พลังไนท์ของตัวเองที่ปิดบังมาแต่แรก… พริบตานั้น แสงไฟที่สาดออกมาจากแหล่งกำเนิดทั่วทุกสารทิศบริเวณนั้นก็เริ่มบิดเบี้ยวจากที่ควรจะส่องออกมาตรง ๆ แล้วเริ่มไหวไปมาคล้ายกับหนวดปลาหมึก
“อะไรกันเนี่ย… มันดูน่าขยะแขยงยังไงชอบกลนะ” สู่กำมีดสั้นในมือทั้งสองแน่น ในขณะเดียวกับที่ขนลุกกับภาพตรงหน้า คล้ายกับสัตว์ประหลาดยักษ์ในตำนานอย่างคราเคนกำลังคลุ้มคลั่งบนผืนผสุธา
แต่ถึงจะน่าขยะแขยงสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างไร ในขณะเดียวกันมันก็ดูเป็นความสามารถที่ต้องระวังไม่น้อย เพราะจะว่าไปตอนนี้ ทุกคนก็กำลังอยู่กลางหนวดรยางค์แสงพวกนี้
แต่ว่า ถ้าแค่ ‘ควบคุมแสง’ ได้เฉย ๆ ความน่ากลัวของพลังนี้ก็คงมีแค่สร้างความน่ารำคาญเท่านั้นแหล่ะ
โหวตั้งข้อสังเกตแบบนั้นหลังได้เห็นแสงที่อยู่รอบบริเวณเคลื่อนไหวแบบแปลก ๆ
ด้วยความที่แสงสามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ตามต้องการ ในทางเทคนิคแล้วประโยชน์การใช้งานก็คงเป็นการขยาย ย่อและเปลี่ยนตำแหน่งมันเพื่อบดบังทัศนวิสัยของศัตรูและช่วยสร้างช่องว่างในการโจมตีให้กับตัวเอง ถ้าทำได้อย่างชำนาญก็เหมือนกับเป็นระเบิดแฟลชที่ควบคุมได้อย่างละเอียดเลยทีเดียว
แต่ถ้าแค่นั้นมันคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่ เพราะในความเป็นจริง หน้ากากของพวกชงหยวนทุกคนมีระบบกรองแสงชั้นยอด พวกเธอแทบไม่ต้องกังวลเรื่องระเบิดแฟลชเลยด้วยซ้ำ
และเรื่องนั้นคิดว่าเคย์เองก็คงรู้อยู่แล้วว่าลูกไม้แค่นี้ไม่น่าจะพลิกสถานการณ์ได้ โหวจึงสงสัยว่ายังมีอะไรซ่อนอยู่อีก
…แล้วความสงสัยนั้น อยู่ไม่นานนักก็คลี่คลาย
ตู้ม!!!
ในพริบตาถัดจากนั้นไม่นาน หนวดรยางค์แสงพวกนั้นที่เคลื่อนไหวยุบยับไปมาเหมือนต้นไม้มีชีวิตก็เริ่มฟาดเข้าใส่หลง หนิว ทู่ สู่ที่อยู่กลางสนามรบและโหวที่สังเกตการณ์อยู่บนตึกใหญ่ร้างห่างออกไปอย่างไม่น่าเป็นไปได้
ความรุนแรงของการกระแทกด้วยรยางค์แสงมันส่งผลให้จุดที่กระทบเกิดรอยแตกระแหงใหญ่มาก เพียงคิดว่าการโจมตีนี้โดนตัวเองเข้าก็อาจหมดสติได้ทันที
ชิ้ง!!!
ทว่านั่น ยังไม่ใช่ข่าวร้ายที่สุด… เพราะหลังจากที่การโจมตีด้วยการกระแทกยังโจมตีไม่โดนใคร รูปร่างของรยางค์แสงก็เปลี่ยนเป็นคมดาบขนาดยักษ์แล้วเริ่มฟาดฟันเข้าใส่พวกหลงอีกรอบด้วยรูปแบบการโมตีที่เปลี่ยนไปเป็นการฟันอย่างรุนแรงแทน
“แย่แล้ว… พลังของหมอนั่นไม่ใช่ ‘ควบคุมแสง’ แต่เป็น ‘ปรับเปลี่ยนแสง’ ต่างหาก!” โหวที่ได้ข้อสรุปจึงส่งข่าวให้ทุกคน
“แล้วมันต่างกันยังไงเนี่ย?” แต่หนิวแยกไม่ออกว่ามันต่างกันยังไง ไม่สิ อันที่จริงทู่ที่เงียบมาตลอดเองก็เหมือนกัน
“ต่างสิ… ถ้าแค่ควบคุมก็คงทำได้แค่ขยับแสงไปมาใช่ไหมล่ะ? แต่หมอนั่นเปลี่ยนลักษณะกายภาพของแสงให้เป็นไปตามต้องการได้ แถมยังเพิ่มมวลให้มากพอจะใช้โจมตีพวกเราได้ด้วยทั้งที่ไม่ควรจะทำได้แท้ ๆ”
“หมายความว่า ศัตรูแข็งแกร่งกว่าที่เราคิดสินะคะ” ทู่เอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ สมบุคลิกหลังฟังคำอธิบายจากโหว
อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นการไม่สมควรเท่าไหร่ที่พูดเรื่องนั้นขึ้นมา เพราะมันค่อนข้างทำลายกำลังใจพอสมควร แต่ในความเป็นจริง พลังนี้ก็สร้างความลำบบากให้ทุกคนจนถึงขั้นที่ต้องหนีเอาตัวรอดจากการโจมตีอันไร้ที่สิ้นสุดและต่อเนื่องจากใบมีดแสงพวกนี้จนไม่ได้หยุดพักเลยแม้กระทั่งตอนนี้
ภาพที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ คล้ายกับอยู่กลางพายุคมมีดที่โจมตีใส่พวกเขาจากทุกทิศทางอย่างต่อเนื่องยังไงอย่างงั้น
“แล้วไง? ถึงไนท์ของมันจะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่จุดอ่อนมันก็เห็นชัด ๆ อยู่แล้ว” ในขณะที่ทุกคนกำลังอับจนหนทางเพราะเอาสติทั้งหมดหลบการโมตีจากคมมีดแสง
หลงเป็นคนเดียวที่ยังใจเย็นสงบสติอารมณ์อยู่ได้ เขามองขาดถึงเรื่องง่าย ๆ ที่ถ้าตั้งใจสงบสติคิดดี ๆ ก็เห็นได้ชัด
ไม่สิ… คนที่คิดออก ไม่ได้มีแต่เขาคนเดียว
“อย่างที่คุณหลงว่านั่นแหล่ะครับ… จุดอ่อนของเขามันอ่านง่ายมาก”
“หู่!”
“มาได้ซะทีนะคะ!”
หนิวกับสู่ดีใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินเสียงของหู่ผ่านวิทยุ ตัวเขาในตอนนี้อยู่ห่างจากเคย์ไม่เกิน 500 เมตร กล่าวคืออยู่นอกระยะโจมตีจากพลังไนท์ของเคย์
“ปิดฉากกันเลยดีไหมครับคุณหลง?”
“ได้สิ ข้ารอมานานแล้ว”
มาถึงแล้ว หู่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ นอกจากคิดจะปิดศึก ซึ่งก็ถือได้ว่าอ่านสถานการณ์ได้ดีในจังหวะที่ทุกคนกำลังเสียเปรียบแบบนี้ หากยังหวังที่จะชนะก็ควรจะทำเสียก่อนสถานการณ์จะย่ำแย่ไปกว่านี้ และหลงเองก็เห็นด้วย
“ว่าแต่ จะทำยังไงเหรอคะ… การโจมตีจากแสงพวกนั้นอยู่รอบตัวของเซอร์เคย์จนเราเข้าถึงเขาไม่ได้เลย” โหวเอ่ยถาม
“เรื่องนั้นฉันจะเป็นคนดับไฟเอง แล้วการโจมตีปิดฉากก็ต้องฝากคุณหลงด้วย”
“อย่างงี้นี่เองสินะคะ!”
หู่พูดอย่างย่อ โหวก็เข้าใจแผนได้ทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องฟังรายละเอียด ในขณะที่ทุกคนได้แต่งงว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับพวกเขาที่ต่อสู้มาตลอดอย่างต่อเนื่องจนเหนื่อยจัดนั้นก็สมควรแล้วที่จะไม่มีแรงไปช่วยเสริม
แต่ในความเป็นจริง… แผนการนี้ต้องการแค่หลงกับหู่ก็เพียงพอแล้ว
“ฮึบ!”
เพราะแบบนั้น หลงจึงถีบพื้นถอยไปไกล อยู่ในจุดที่การโจมตีจากใบมีดแสงจำนวนมากเข้าไม่ถึงตัวแล้วเริ่มตั้งท่าร่างรวบรวมผสานจิตไว้ที่ร่างกายทุกส่วน การผสานจิตสีแดงเข้าสู่ทั่วทั้งร่างของหลงที่เป็นเผ่าดรากูนนั้นให้ความรู้สึกราวกับว่าเขากำลังแปลงกายให้เป็นมังกรเพลิงอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนทางด้านของหู่นั้น
“ทุกคน… ผมนับหนึ่งถึงสามแล้ว กระโดดให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้เลยนะ” หู่ให้แผนกับทุกคนที่กำลังหลบหลีกใบมีดอยู่ พอคิดว่านั่นจะเป็นการปิดฉากแล้ว แม้จะเหนื่อยสุดขีดแต่ก็ง่ายที่จะเก็บแรงเฮือกสุดท้ายเอาไว้
“สาม… สอง… หนึ่ง… โดดเลย!!!”
หู่ให้สัญญาณแบบนั้นทุกคนก็กระโดดขึ้นสูงในจังหวะเดียวกัน เป็นที่สงสัยของเคย์ที่ระแวดระวังภัยสูง แต่กว่าที่เขาจะอ่านแผนการของหู่กับหลงออก ก็เป็นตอนที่สายไปเสียแล้ว
ฟุบ!!!
“!!!?”
พริบตาที่หนิว ทู่ สู่และโหวกระโดดขึ้นสูง… จนอยู่เหนือจุดโจมตีที่หู่เล็งเอาไว้ พริบตานั้นเมืองร้างทั้งหมดก็ถูกแบ่งครึ่งเป็นสองส่วนด้วยพลังไนท์ของหู่จนพังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แล้วผลลัพธืก็เป็นไปอย่างที่หู่ปรารถนา… ไฟฟ้าทั้งหมดที่ถูกส่งไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมถึงเสาไฟทั้งหมดในแถบร้างเล็ก ๆ แห่งนี้ต่างก็อันตรธานหายไปสิ้นจากการถูกตัดสายไฟโดยตรงจนไม่เหลือชิ้นดี และนี่แหล่ะคือจุดอ่อนที่เข้าใจของไนท์ของเคย์
นั่นคือ… ถ้าไม่มีแสงไฟก็ใช้พลังไม่ได้นั่นเอง แค่ทำลายแหล่งกำเนิดและการเชื่อมต่อระหว่างสายไฟฟ้าทั้งหมดจนการเดินสายไฟเชื่อมต่อไปไม่ถึงกันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ไฟฟ้าเป็นอำมพาต แต่พวกหลงเสียเปรียบตรงที่ไม่รู้การเดินสายไฟของแถบนี้ หู่จึงจัดการตัดปัญหาด้วยการทำลายมันทั้งหมดเสียเลย
“อึก!”
แถมยังเสริมการโจมตีด้วยการเล็งตัดคอเคย์จะระยะไกลในจังหวะที่เขาร่วงลงพื้นลงมาอีก แต่เพราะพลังของตราอัศวินของเคย์ทำให้การโจมตีของหู่สร้างผลลัพธ์ได้แค่ทำให้เขากระเด็นออกไปเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรเสีย อันที่จริง… ที่หู่โจมตีไปแบบนั้นก็แค่หวังฟลุ๊คเท่านั้น สาเหตุหลักที่โจมตีอย่างนั้นไป คือการสร้างช่องว่างให้การโจมตีสุดท้ายสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ต่างหาก
ตู้ม!!!!!!
“หมัดมังกรเพลิงทลายพสุธา!!!!”
หลงที่รวบรวมจิตให้ร่างกายแข็งดั่งเพชรสร้างการโจมตีสุดท้ายด้วยการพุ่งถีบพื้นจนแตกเป็นรูใหญ่เบ้อเร่อ ก่อนจะพุ่งเข้าหาร่นระยะจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ไปยังจุดที่เคย์กำลังลอยอยู่กลางอากาศในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีคล้ายกับลูกไฟบรรลัยกัลป์พุ่งเข้าใส่เคย์
“อั๊ก!!!”
การโจมตีอันรวดเร็วจนปฏิกิริยาโต้ตอบทำงานไม่ทัน ทั้งยังรุนแรงและหนักหน่วงของหมัดพุ่งเข้าใส่กลางลำตัวของเคย์จนชุดเกราะร้าวลึกไปถึงกระดูกซี่โครงหลายซี่จนทำให้เคย์กระอักเลือดลอยกระเด็นกระแทกกับพื้นหลายครั้งจนแน่นิ่ง
…จนในที่สุดเขาก็หมดสติไปจากแผลฉกรรจ์ ซึ่งถือว่าดวงแข็งมากที่โดนท่าไม้ตายของหลง
“ผู้ปกครองฝรั่งเศสสิ้นฤทธิ์แล้วค่ะ ท่านชงหยวน”
หลังยืนยันสถานการณ์ได้ โหวก็แจ้งข่าวดีให้กับชงหยวนที่อยู่ในงานเต้นรำ
ด้วยเหตุนั้นแหล่ะ การที่ชงหยวนยิ้มอออกมาทั้งที่ก่อนหน้านี้พยายามชวนคุยเรื่องในอดีต เลยทำให้ชินรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“ทั้งที่มี ‘พลัง’ ที่จะเอาสิ่งเหล่านั้นคืนมาแท้ ๆ… แต่กลับไม่ยอมทำอะไร สำหรับคนระดับคุณแล้วมันดูแปลกมากนะคะ” ชงหยวนพูดแบบนั้นพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชิน ราวกับจ้องหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของชิน
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร กับฉันที่ตอนนี้เป็นแค่นักเรียนธรรมดาน่ะ” ชินบอกปัดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าชงหยวนกำลังพูดถึงเขาในแง่ที่ว่าชินคือราชาคนที่แปด
ชินนั้นสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วว่าที่ชงหยวนอุตส่าห์ย้ายโรงเรียนมา ปลอมตัวแล้วเข้าหาก็คงเป็นเพราะเธอสงสัยว่าเขาคือราชาคนที่แปดนั่นแหล่ะ เรื่องนี้จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ในแง่ที่ว่าชงหยวนสงสัยเขา
แต่มันน่าแปลกใจในแง่ที่ว่า ชงหยวนแสดงออกเหมือนได้หลักฐานชี้ชัดแล้วว่าตัวเขาคือราชาคนที่แปดต่างหาก
ทำเป็นนิ่งเงียบไม่รู้ไม่ชี้ไปแบบนั้นแหล่ะค่ะ… แต่ตอนที่คุณรู้ตัวว่าตัวเองถูกเปิดโปงมันก็สายไปเสียแล้ว
ท่าทางไม่ยำเกรงลำบากใจอะไรเลยของชินนั่นทำให้ชงหยวนกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เพราะคิดว่าชินช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย
…และอย่างน้อยในความคิดของชงหยวน ชินนั้นไม่รู้แน่ ๆ ว่าเธอกำลังวางแผนอะไรอยู่
ตั้งแต่แรกที่พวกเราทำทีเป็นจะยึดประเทศเขต 66 แต่ที่จริงแล้วเราซ้อนแผนโดยที่จริงต้องการจะยึดประเทศฝรั่งเศสที่เป็นเขต 33 ต่างหาก
แต่นั่นยังไม่ใช่แผนที่แท้จริง เพราะมาทัศนศึกษาในครั้งนี้พอเหมาะพอเจาะกับสถานที่ที่เราจะยึดพอดี พวกเขาจะคิดว่าเราวางแผนยึดฝรั่งเศสมาตั้งแต่แรกก็ไม่แปลก
แต่นั่นแหล่ะคือสิ่งที่เราอยากให้คิด… เพราะมันง่ายที่จะทำให้เขาคิดว่าเราอยากแย่งชิงดินแดนเฉย ๆ
แต่ที่จริงฉันซ้อนแผนที่แท้จริงไว้ เพราะต้องการจะพิสูจน์ตัวตนของชินด้วยการใช้ตราของผู้ปกครองดินแดนเพื่อระบุตัวตน และตรวจผู้ที่ถือครองตรา
ด้วยเหตุนั้นก็จะหาตัวชินได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นผู้ปกครองดินแดนล่ะก็สามารถแยกแยะตัวจริงตัวปลอมได้ด้วย และถ้าชินเป็นคนเดียวกับคนที่มีตราราชันย์ที่แปดล่ะก็
แบบนั้นก็เป็นอันพิสูจน์ได้แล้วว่าชินคือราชาคนที่แปดอย่างไม่ต้องสงสัย
และเพราะเป็นสถานการณ์ที่ชินอาจจะมีตราราชันย์ ก็เลยไม่สามารถยึดครองดินแดนได้ด้วยวิธีปกติ
เพราะแบบนั้นต้องขอบคุณ ‘กฎยึดครองพิเศษ’ จริง ๆ… ถึงจะเป็นกฎที่เสียเปรียบกับคนยึดจนไม่มีใครอยากใช้ก็เถอะ
แถมพ่วงด้วยการตั้งค่าหัวให้แองกริคราวน์เพื่อกดดันการปรากฏตัวของเขาในขณะที่ตามติดชินไปด้วย
ก็จะเป็นการพิสูจน์ความเกี่ยวข้องระหว่างชินกับแองกริคราวน์ไปด้วยในตัว
อีกครั้งที่ชงหยวนกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เพราะคิดว่าชินคงมองแผนของเขาไม่ออก เพราะชงหยวนคิดเผื่อไว้หลายกรณีมากเพื่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่ตรวจสอบได้แน่นอนอย่างการใช้พลังของผู้ครองดินแดนในการตรวจสอบชิน
จนสุดท้ายชงหยวนก็ใช้แผนที่จะยึดดินแดนใหม่ไปพร้อมกับเปิดโปงชินไปด้วย เพราะถ้าใช้พลังของเธอควบคุมโรงเรียนให้เปลี่ยนสถานที่ทัศนศึกษากะทันหัน หากชินเป็นราชาคนที่แปดย่อมรู้อยู่แล้วว่าดินแดนนั้นเป้นของศัตรู เขาคงหลีกเลี่ยงที่จะไปแน่นอน
ชงหยวนจึงต้องใช้วิธีที่เสี่ยงกว่าอย่างการยึดดินแดนใหม่ แต่ผลลัพธ์หากสำเร็จนั้นก็คุ้มค่ามากเพราะชงหยวนจะได้ทั้งดินแดนใหม่ เปิดโปงชินที่เป้นราชาคนที่แปดและรู้ความเกี่ยวข้องระหว่างเขากับแองกริคราวน์ด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวอย่างแท้จริง
…และในตอนนี้ มันก็กำลังจะสำเร็จอย่างงดงาม
โดยเริ่มจากการทำสัญญากับฝรั่งเศสโดยหนึ่งพวกของชงหยวน แล้วทำการตามหาตัวชินด้วยสิทธิของผู้ปกครองดินแดนและส่งข่าวดีให้กับชงหยวน
“ทะ ท่านชงหยวน! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ!”
ทั้งที่มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ได้ยินจากหูฟังคือเสียงสั่นกังวลของโหวที่อยู่ในสนามรบที่ควรจะจบไปแล้ว
“เรายึดไม่ได้เพราะมีศัตรูมาเพิ่มค่ะ! กำลังเสริมของพวกอังกฤษสองคน ทั้งวลาด หรือขุนพลรัสเซียอย่างสคัล ก็มาด้วยค่ะ!”
โหวรายงานผ่านหูฟังอย่างร้อนรน แต่ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่เธอว่ามันก็สมควรอยู่หรอก เพราะศัตรูเป็นถึงผู้ถือครองตราราชันย์และขุนพลอันดับหนึ่งของรัสเซียที่ถึงพ่ายแองกริคราวน์ไปครั้งนึง แต่ก็ยังไม่อาจลบประวัติอันน่าหวาดหวั่นของเขาลงได้อยู่ดี
และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่นั้นด้วยที่เป็นข่าวร้าย ยิ่งกว่านั้นประโยคถัดมา… ยังน่าเหลือเชื่อเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริงอีกด้วย
“ที่สำคัญคือมีชายสวมหน้ากากปริศนาโผล่ขึ้นมาค่ะ! มันมีตราราชันย์ที่ไม่มีหมายเลขด้วย! เป็นราชาคนที่แปดค่ะ!”
“!!!?”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ชงหยวนตะลึงจนเกือบจะหลุดเสียงออกมา ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มเข้าเกาะกุมเพราะคนที่ควรจะอยู่ตรงนั้น กลับกำลังยืนเต้นรำกับเธออยู่ตรงหน้านี้
“เป็นอะไรรึเปล่า? ไหงอยู่ ๆ ก็เงียบไปแบบนั้นล่ะ?”
แล้วยิ่งชินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงปกติที่เยือกเย็นกว่าเธอในตอนนี้ ยิ่งทำให้ชงหยวนรู้สึกแปลกประหลาดเข้าไปใหญ่
❖❖❖❖❖
Facebook Page : https://www.facebook.com/Topgrianprajao
Patreon : https://www.patreon.com/infinite8