“แฮ่ก… แฮ่ก…”
เสียงหายใจหอบดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากชายหนุ่มผู้คลุ้มคลั่งจากโลหิต… สคัล เขาใช้พลังออกไปชุดใหญ่ พลังที่มากเกินไปส่งแรงตีกลับสู่ร่างกายเป็นความล้าทำเขาต้องยืนพักครู่หนึ่ง
จากนั้นเขาก็เริ่มออกเดินไปรอบ ๆ ตามหาร่องรอยของชินหลังการโจมตี แม้จะพูดไม่ได้อย่างมั่นใจว่าโค่นได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้างแน่นอน
ไม่สิ… ถึงจะบอกไปแบบนั้นก็จริง แต่ตัวสคัลนั้นค่อนข้างมั่นใจอยู่พอควรว่าการโจมตีนั้นต้องทำให้ชินได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่ เพราะแบบนั้นจึงเดินหาอย่างไม่รีบร้อนในขณะที่ดูดซับจิตตามธรรมชาติไปอย่างช้า ๆ โดยไม่ประมาท
ถึงจะไม่น่าเป็นไปได้ก็เถอะ… แต่ก็ต้องเผื่อไว้ก่อน
สคัลคิดขณะเดินไปรอบ ๆ
กำลังกายของเขาฟื้นคืนเรื่อย ๆ กระนั้นความกังวลกลับไม่ได้หายไปพร้อมกับความเหนื่อยล้า
เพราะยังมีความคิดนึงที่ติดอยู่ในหัว… เป็นความคิดในแง่ร้ายที่ความเป็นไปได้ต่ำแต่ก็ไม่อาจลบออกไปจากหัวได้
นั่นคือความคิดที่ว่าชินอาจยังไม่ตาย
กึก…
เสียงฝีเท้าเหยียบเศษซากอาคารดังมาจากทางขวาห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร
ตรงจุดนั้นมีชายคนที่สคัลคิดว่าน่าจะตายไปแล้วยืนอยู่… คือแองกริคราวน์ในสภาพไร้บาดแผล
เป็นไปไม่ได้…
แม้จะแอบคิดว่าชินอาจรอดจากการโจมตี แต่พอถูกตอกย้ำด้วยภาพความจริงก็ยังรู้สึกตะลึงอยู่ดี
แถมที่สำคัญ… ความจริงอันน่าพรั่นพรึงยิ่งกว่าการที่เขายังไม่ตาย คือการที่แขนซ้ายของชินที่ควรสะบั้นขาดไปก่อนหน้า แต่ตอนนี้มันได้งอกกลับมาใหม่ สะอาดเสมือนไม่เคยสัมผัสแม้เศษดิน
แม้แต่พลังปาฏิหาริย์ของเผ่านางฟ้ายังต้องใช้เวลาเป็นวันในการคืนอวัยวะที่เสียไปกลับคืนมา ต่อให้เร็วเท่ากับในตำนานปรัมปราก็ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง แต่ที่มันงอกกลับมาเร็วอย่างผิดธรรมชาติจึงมีความเป็นไปได้แค่สองอย่าง
หนึ่งคือเป็นไนท์ของชิน แต่ไนท์ของชินคือการลบพลังของศัตรูจึงไม่น่าใช่
เพราะงั้นความเป็นไปได้อีกอย่างที่สคัลคิดก็คือ
“นี่นายเอง… ก็เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้อย่างงั้นเหรอ?”
“…”
ชินไม่ตอบกลับ ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามไม่ว่าในแง่ใด
ความจริงที่สคัลค้นพบจะยากแก่การทำความเข้าใจไม่ต่างกับครั้งของชิน เขาดูตกตะลึงไม่น้อยที่ศัตรูกลายเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่เหลืออยู่บนโลกเพียงหยิบมือ แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าความเยือกเย็นของเขาจะลดลง
แน่นอนว่าทางชินที่ไม่ได้ตอบกลับอะไรเลยเองก็เหมือนกัน
สคัลนิ่งไปพักนึง
ทางชินเองก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เพื่อดูท่าที เขากลับจับสัมผัสของโอลิเวียที่อยู่ห่างออกไปแทนเพื่อให้มั่นใจว่าเธอจะปลอดภัย
โอลิเวียตอนนี้กำลังงีบหลับอย่างอ่อนล้าเพราะเสียเลือดให้ชิน เขาจึงใช้ผ้าคลุมของชุดแองกริคราวน์ห่มคลุมร่างโอลิเวียไว้
ที่เหลืออยู่บนสมรภูมิจึงคงเหลือเพียงผู้แข็งแกร่ง
“งั้นเหรอ…”
สคัลพึมพำเบา ๆ เขาเปลี่ยนรูปทรงเพดานจากปิดฝาเป็นหลังคาแหลมคล้ายคริสตัลแถมยังเปลี่ยนคุณสมบัติของมันจากสิ่งที่มองทะลุเข้ามาได้เป็นสิ่งที่คล้ายกับกระจกไปเสีย
ในทางปฏิบัติ การทำแบบนั้นจะทำให้ดาวเทียมไม่สามารถจับภาพภาคพื้นดินภายใต้กล่องแก้วขนาดยักษ์ที่สคัลสร้างขึ้นนี้ได้ หรือหากมีคนมองอยู่จากภายนอก พวกเขาก็จะมองเข้ามาไม่เห็นพวกชินที่อยู่ข้างในเช่นกัน
ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกัน———
“มาคุยกันซักหน่อยไหม”
ชินแอบคิดโดยไม่คาดหวัง ทว่าสคัลกลับเปิดปากบอกออกมาเอง น้ำเสียงที่เคยแหบแห้งของเขาถูกเสริมอารมณ์บางอย่างเข้ามามากกว่าปกติ
สคัลนั่งยองลงใกล้กับเศษซากปรักหักพังใกล้ ๆ
การทำให้สถานที่นี้ไม่ถูกจับตามองจากภายนอกก็เพื่อสร้างสถานการณ์ที่เป็นกลางในการพูดคุยอย่างแท้จริง แต่แน่นอนว่าชินไม่ได้วางการ์ดแล้วนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ
รอบคอบซะจริง… แต่ก็เอาเถอะ
สคัลยักไหล่เสียดาย ก่อนจะเริ่มประเด็น
“นายไม่คิดว่าโลกนี้มันไร้เหตุผลบ้างเหรอ” สคัลหลับตาลงเบา ๆ ราวหวนนึกถึงบางช่วงเวลา
“พวกเราแข็งแกร่งกว่าคนอื่นแต่เราก็ไม่เคยไปรุกรานใครก่อน ถึงอย่างงั้น… เพราะถูกหวาดกลัวเลยถูกกำจัดออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์… เจ้าพวกขี้ขลาด”
น้ำเสียงของสคัลแฝงไว้ด้วยความพิโรธ เป็นความรู้สึกเกลียดชังที่ชินเข้าอกเข้าใจ คำพูดนั้นก็ทำให้ชินคิดตามไปด้วย
ไร้เหตุผลงั้นเหรอ… คำพูดนั้นเกิดจากการที่ตัวเราไม่พอใจกับเหตุผลต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพราะไม่สามารถยอมรับได้จึงบอกกล่าวว่ามันไร้เหตุผล นั่นต่างหากคือความหมายของคำว่าไร้เหตุผล
แต่ถ้ามันหมายถึงแบบนั้น ช่วงแรกเราเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
ชีวิตประจำวันที่เคยมีถูกช่วงชิงไป สายสัมพันธ์ที่ก่อร่างมาตลอดชีวิตถูกสะบั้น ผู้คนที่รู้จักล้มตายกันกลาดเกลื่อน
ที่อยู่ ครอบครัว สังคม วิถีชีวิต… ถูกช่วงชิงทุกสิ่งไปในคืนเดียว เรื่องแบบนั้นช่างไร้เหตุผล
“นายไม่คิดอย่างงั้นเหรอ” สคัลส่งสายตามาทางชินราวขอความเห็น ทว่าแม้จะไม่ได้รับอะไรจากชินเขาก็ยังพูดต่อ
“ไม่สิ… ถามอะไรโง่ ๆ สินะ เพราะคนที่เข้าร่วมศึกนี้ทุกคนต่างก็ทนกับความไร้เหตุผลของโลกใบนี้ไม่ไหว จนต้องทำอะไรซักอย่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว”
สคัลยักไหล่อีกครา แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ชินสงสัย
ก็จริงที่รางวัลอันหอมหวานหลังได้รับชัยก็คือการได้ปกครองเป็นราชาของโลกใบนี้
แต่สำหรับในโลกยุคนี้แล้วมันก็เป็นแค่ในนามเท่านั้นไม่ใช่หรือ? เพราะแต่ละประเทศตอนนี้ก็มีผู้นำเป็นของตัวเองอยู่แล้ว จะต้องการตกอยู่ใต้การปกครองของคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างผู้ชนะในศึกยามค่ำคืนแบบนี้ได้อย่างไร
หรือจะใช้พลังจากตราในการบังคับให้ทำตามก็ไม่รู้ว่าทำได้จริงแค่ไหน เพราะถ้าอีกฝ่ายปฏิเสธที่จะทำตามจากใจจริงก็จบกันเท่านั้น
ดังนั้น หากไม่มีใครยอมรับให้เป็นผู้นำ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโลกใบนี้ย่อมไม่มีทางทำได้ นั่นคือความคิดที่ขัดแย้งกันจากสิ่งที่สคัลกับอัลเฟรดเล่าให้ฟัง
“ฉันน่ะ คิดจะฟื้นฟูเผ่าของเราขึ้นใหม่” สคัลลุกขึ้นยืน มองตรงมาทางชินอย่างแน่วแน่
นั่นขัดกับสิ่งที่ชินรู้มา เพราะดูเหมือนสคัลและคนอื่น ๆ มีความเชื่อมั่นว่าจะเปลี่ยนโลกได้อย่างแรงกล้า
“หลังชนะศึกนี้ ราชาของฉันจะสร้างโลกใบใหม่ที่ถูกปกครองแบบรวมศูนย์… ทุกประเทศจะขึ้นตรงกับราชาองค์เดียว ทุกเผ่าพันธุ์อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ไร้สงคราม ไร้เกมการเมือง สืบทอดอำนาจด้วยระบบคัดเลือกตามความสามารถ ผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถถูกเลือกมาปกครองดูแลผู้คนที่อ่อนแอกว่า ผู้คนมีอิสระในหน้าที่การงาน ไร้ความอดอยาก บริการจากรัฐเข้าถึงได้จากทุกที่ ไม่มีใครเจ็บป่วย และเมื่อทุกคนได้ทรัพยากรในการดำรงชีวิตเพียงพอก็ไม่มีเหตุผลให้ก่ออาชญากรรม… กลายเป็นสังคมในอุดมคติที่ทุกคนมีความสุขได้”
สคัลแผ่มือออกราวเชื้อเชิญ เสนอโลกในอุดมคติของทุกคนให้กับชิน ท่าทางราวกับศาสนิกชนเชื้อเชิญให้เข้าร่วมศาสนาลัทธิของตัวเอง
คำเชื้อเชิญนั้นช่างหอมหวานน่าลิ้มลอง… ไม่ว่าใครต่างก็อยากจะมีความสุข สมปรารถนาให้นานที่สุดตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ทนความหอมหวานของความสุขไม่ได้
“ไม่สนใจ… มาเป็นรากฐานของโลกใบใหม่นี้ด้วยกันเหรอ”
สคัลยื่นมือขวาแผ่มาทางชิน
สุดท้ายก็ชวนเป็นพวกด้วยจริงๆสินะ…
ชินแอบหน่ายใจ รู้สึกว่าช่วงนี้ได้รับคำเชิญบ่อยเสียเหลือเกิน
แต่เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแค่เพราะว่ามีฝักฝ่ายของตัวเองแล้วเท่านั้น
“ฝันหวานเหลือเกินนะ” น้ำเสียงชินเย็นเยือก ตอบกลับไปยังสคัลที่แผ่มือมาหา ทำให้มือนั้นชะงักไป
“ที่พูดมานั่น… ก็แค่เผด็จการเบ็ดเสร็จโดยมีราชาของนายเป็นผู้นำเองไม่ใช่รึไง”
“ของแบบนี้มันขึ้นอยู่กับผู้นำ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจรึ”
สคัลชักมือตัวเองกลับไป ในน้ำเสียงของเขาเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมาเล็ก ๆ พร้อมกับจ้องมองชินด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
ก็จริง… เผด็จการที่ดีก็มีความเป็นไปได้
ขึ้นอยู่กับมโนธรรมในการปกครองของตัวผู้นำ แต่ถึงอย่างงั้น…
ชินจ้องมองสายตาใต้หน้ากากของสคัลกลับไป ด้วยสายตาที่รุนแรงยิ่งกว่า
“อาจารย์ที่ฉันเคารพเคยพูดเอาไว้… รสชาติของอำนาจนั้นหอมหวนกว่าสุราใดจะเทียบเคียง ยิ่งหมักบ่มนานฤทธิ์มันก็ยิ่งแรง… ราชาของนาย ท้ายสุดก็จะหลงมัวเมาในอำนาจจนกลายเป็นกลียุค เกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจของเหล่าผู้ปกครองชั้นย่อยอยู่ดีในซักวัน”
สายตาของชินแข็งกร้าวยิ่งกว่าที่เขารู้ ในอกร้อนรุ่มด้วยความโกรธแต่เป็นคนละเหตุผลอย่างความแค้นหรือความเกลียดชังเหมือนที่เคยเป็น
ทัศนคติที่ขัดแย้งกันราวเส้นขนาน สังคมจอมปลอมที่ขัดกับแนวคิดของตัวเอง สิ่งนั้นต่างหากที่ชินยอมรับไม่ได้
โลกจอมปลอมแบบนั้นปลุกความยุติธรรมในตัวของชินที่ถูกฝังดินด้วยความแค้นขึ้นมา…
ไม่สิ สำหรับชิน… มันคล้ายกับเจตจำนงที่ได้รับสืบทอดมาจากเหล่าคนสำคัญซึ่งจากไปแล้วมากกว่า
เพื่อสิ่งนั้นแล้ว ชินจะไม่ยอมให้ใครทำมันแปดเปื้อนเด็ดขาด ไม่ว่าจะในฐานะใดก็ตาม
“งั้นเหรอ… ถ้าขัดแย้งกันจนถึงระดับแนวคิดแบบนี้ก็คงช่วยไม่ได้”
สคัลพูดน้ำเสียงสั่นจากความหงุดหงิด กระนั้นก็นึกเสียดายอยู่ไม่น้อย
…ที่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของตัวเอง
“ไม่อยากทำแบบนี้เลยให้ตายสิ” สคัลยื่นมือขวาออกมาทางชินราวคว้าจับ
ท่าทางนั้นคล้ายกับตอนที่ชินเสียแขนซ้ายไปครั้งแรกไม่มีผิด
สคัลตั้งใจจะทำแบบนั้นอีกครั้ง ระหว่างที่คุยกันเขาก็ดูดซับจิตจนฟื้นฟูได้เต็มที่ สามารถใช้ไนท์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกครั้งหลังเสียไปกับการสร้างกล่องกรงขนาดยักษ์
ลาก่อน แองกริคราวน์…
สคัลสะบัดมือขวาออกไปด้านข้าง วาดมันราวจะตัดภาพตรงหน้าเป็นแนวขวาง
จากนั้นแผ่นแก้วก็ปรากฏขึ้นตัดร่างของชินขาดเป็นสองส่วน
…ความจริงมันควรเป็นเช่นนั้น
เพล้ง!!!
“!!!”
ทว่าแผ่นแก้วของสคัลกลับแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแทนเสียอย่างงั้น
พื้นที่ตรงนั้นควรจะถูกแทนด้วยแผ่นแก้วจนตัดได้แม้กระทั่งเพชร แต่ฝ่ายที่ถูกตัดทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงกลับเป็นแผ่นแก้วของสคัลเสียเอง
ทำเอาสคัลถึงกับเบิกตาโพลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
“แค่เข้าไม่ถึงตัวฉันมันน่าตกใจขนาดนั้นเชียวเหรอ” น้ำเสียงชินช่างเยือกเย็น แต่ท่าทางกลับดูผ่อนคลาย
แสดงท่าทีราวกับว่าศัตรูไม่อาจทำอะไรเขาได้อีกแล้วนับจากนี้
ชินเริ่มออกแรงกดเท้าตัวเองก่อนถีบพื้นเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่สคัลที่อยู่ห่างออกไปพร้อมกับออกหมัดขวาใส่เขา
สคัลเองก็ออกหมัดที่คลุมด้วยพลังของตัวเองปะทะเข้ากับชิน
เสียงปานระเบิดกัมปนาทเกิดในจุดที่หมัดของทั้งสองปะทะกัน สร้างแรงผลักมหาศาลแก่วัตถุและเศษซากปรักหักพังรอบ ๆ จนกระจัดกระจายไปทั่วรอบบริเวณ
“!!!”
แล้วสคัลก็ต้องเบิกตาโพลงอีกหน เพราะพลังเพชรที่ใช้คลุมหมัดของตนแตกสลายราวกับแก้วตกแตกอีกครา เหลือแต่หมัดลุ่น ๆ ปะทะกันซึ่งหน้า
หมัดของทั้งสองที่เข้าปะทะไม่ขยับเขยื้อนแสดงถึงพลังทางกายภาพที่สูสีกัน
เพียงเท่านี้สคัลก็รู้แล้วว่าชินคงได้รับเลือดมาเหมือนกับตน ไม่สิ… จริง ๆ เรื่องนั้นก็เดาได้ไม่ยากตั้งแต่ที่แขนของชินงอกกลับมาอยู่แล้ว
ในจังหวะที่สคัลกำลังคิดเรื่องอื่น ชินก็หมุนตัวกลางอากาศเตะเข้าที่สีข้างซ้ายของสคัลอย่างแรงจนสคัลถึงกับร่างกระตุก
กระนั้นความรวดเร็วของปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ทั้งคู่ก็พอ ๆ กัน สคัลรีบใช้มือซ้ายหนีบขาของชินแล้วเหวี่ยงหมุนครึ่งรอบก่อนจะทุบลงพื้น
ทว่าในจังหวะก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้นชินก็ใช้สองมือที่ว่างค้ำยันไว้
แล้วใช้ขาอีกข้างที่ไม่ได้ถูกจับรัดร่างของสคัล หมุนตัวโดยใช้ร่างกายท่อนบนเป็นศูนย์ถ่วง เหวี่ยงร่างขอสคัลออกไปไกลก่อนจะกลับมายืนโดยไม่เสียจังหวะใด ๆ
แต่ทางสคัลที่ถูกเหวี่ยงเองก็หมุนตัวกลับกลางอากาศมายืนตัวตรงในท่าตั้งการ์ดโดยไม่เสียสมดุลเช่นกัน
“เข้ามา!” สคัลตะโกนปานสบถ น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าวแฝงไว้ด้วยความเสียดายที่ไม่อาจผูกมิตร
แม้กระนั้นก็ไม่ได้คิดผ่อนปรน
พริบตาเดียวกับที่ตะโกนยั่วยุ แท่งแก้วทรงลูกบาศก์ขนาดใหญ่พอ ๆ กับตัวเขาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า จากนั้นผิวหน้าของมันก็ยืดออกพุ่งตรงเข้าใส่ชินด้วยความเร็วสูง แม้แต่ชินยังขยับหลบไม่พ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะลำบากแต่อย่างใด… พริบตาที่มันพุ่งเข้ามาถึงระยะที่ห่างจากตัวชินราว 5 เมตร แท่งแก้วนั้นก็เริ่มแตกสลายหายไปราวชนเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็น สร้างความตกตะลึงให้กับสคัลอีกครั้ง
อะไรกัน… ไม่ใช่ว่าสลายพลังได้เฉพาะสิ่งที่สัมผัสหรอกเหรอ
สคัลขมวดคิ้วแน่นหลังได้เห็นสภาพการณ์เมื่อครู่ เพราะดูยังไงพลังของตนก็ถูกสลายไปด้วยไนท์ของชินแน่นอน ทั้งที่ชินยังไม่ได้สัมผัสพลังของเขาโดยตรงแท้ ๆ
ช่างเป็นชายที่เต็มไปด้วยปริศนาจริง ๆ
สคัลรีบถีบพื้นถอยออกมาไกล เขาสร้างชูริเคนจากพลังของตัวเองลอยอยู่กลางอากาศหลายสิบอันพุ่งเข้าใส่ชินด้วยความเร็วที่มากกว่าครั้งก่อนทั้งยังหลากทิศทาง
ชินเห็นแบบนั้นกลับพุ่งเข้าใส่โดยไร้ความเกรงกลัวใด ๆ ชูริเคนอันที่เข้ามาใกล้ต่างแหลกสลายไปทีละอันสองอันโดยไร้ข้อยกเว้น ระยะห่างของชินกับสคัลลดลงเรื่อย ๆ
“เจ้าหมอนี่!”
สคัลถีบพื้นถอยหลังหนีพร้อมกับสร้างกับดักระหว่างทางไว้มากมาย เพราะสำหรับคนที่สามารถสลายพลังได้ ยิ่งสู้ในระยะประชิดก็ยิ่งเสียเปรียบ
แต่ชินก็กลับเร่งฝีเท้ามากขึ้น
แล้วพอชูริเคนทั้งหมดถูกทำลาย หนามคริสตัลก็พวยพุ่งออกมาจากพื้นตามทางที่ชินไล่ตามสคัลปานจะเจาะให้พรุน แต่ชินก็หลบทุกอันด้วยระยะที่ห่างแค่กระดาษแผ่นเดียว
ทว่านั่นเป็นกับดักซ้อน… เพราะพริบตาที่หลบทั้งหมดได้ คริสตัลที่บางราวเส้นด้ายจนยากจะสังเกตก็กลับปรากฏตรงหน้าพุ่งเข้าหาชินอย่างไม่ทันตั้งตัว และสำหรับชินที่ต้องสัมผัสกับวัตถุนั้นจึงจะสลายมันได้แล้วถือเป็นจุดบอดอันใหญ่หลวง เส้นคริสตัลนั้นพุ่งเข้ามาจากด้านหน้า สร้างบาดแผลให้กับชินเป็นรอยลึกบริเวณหน้าอกแม้จะหลบเลี่ยงได้เล็กน้อยก็ตาม
เท่านั้นยังไม่พอ คริสตัลหนามที่ชินผ่านมาแล้วยังแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยตัวเอง
ไม่สิ… พูดให้ถูกคือมันระเบิดออกจากภายในด้วยตัวเอง เศษคริสตัลทั้งหลายพุ่งไปรอบทิศ กลายเป็นสะเก็ดระเบิดที่มีพลังในการทะลุทะลวงในตัว
ด้วยจำนวนของวัตถุที่มากมายขนาดนี้ต่อให้เป็นชินก็ไม่สามารถกำจัดได้หมด ชินถีบพื้นหลบออกไปด้านข้างในทันที สคัลที่เห็นแบบนั้นก็โล่งอกไปเปราะนึง
พอเห็นท่าทางลำบากของชินเพื่อหลบการโจมตีผสานเมื่อครู่ สคัลก็ได้รับรู้จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของไนท์ของชิน นั่นคือจะอ่อนแอต่อการโจมตีแบบวงกว้างด้วยจำนวนที่มากเกินความสามารถในการสังเกต
“น่าเสียดายนะ” สคัลฉีกรอยยิ้มออกเล็ก ๆ ที่มุมปากจากความได้เปรียบเมื่อครู่ แต่ใช่ว่าชินจะไม่เข้าใจความหมาย
“ฉันนึกว่านายจะเป็นคนพูดน้อยกว่านี้ซะอีก” แต่มันกลับทำให้ชินรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจมากกว่ารำคาญหรือหงุดหงิด
“ไม่รู้สิ… คงเพราะนาน ๆ ทีได้เจอเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ มันก็อยากเก็บเรื่องของคนที่กำลังจะตายไว้ให้มากที่สุดเป็นธรรมดา”
น้ำเสียงของสคัลยังแฝงไว้ด้วยความเสียดายอยู่เหมือนเคย ดูเหมือนอย่างน้อยเขาจะไม่ได้โกหกเรื่องนี้
…แต่สิ่งที่เขาทำหลังจากนั้นช่างขัดกับน้ำเสียงเสียนี่กระไร
เพราะหลังจากนั้น ด้านหลังของสคัลได้ปรากฏแท่งคริสตัลแบบเดียวกับที่เคยใช้โจมตีก่อนหน้านี้ขึ้นมามากกว่าร้อยแท่ง
แต่ลวดลายของมันดูแตกต่างออกไป
ซึ่งหากจะให้ชี้ชัด… ลวดลายของมันคล้ายกับหนามที่กลายเป็นระเบิดชิ้นเล็ก ๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ชินจึงเข้าใจสถานการณ์ในทันทีโดยที่ไม่ต้องให้สคัลเป็นฝ่ายบอก
“ถึงเวลาต้องบอกลากันแล้ว”
สคัลผายมือขึ้นสูงปานแม่ทัพก่อนเริ่มศึก ท่าทางนั้นมั่นใจหาใดเปรียบ
แต่จากสถานการณ์ที่ผ่านมารวมถึงผลลัพธ์ในตอนนี้ ท่าทางมั่นใจในการคว้าชัยของเขานั้นถือเป็นเรื่องปกติ
“นั่นสินะ ถึงเวลาต้องบอกลาแล้ว”
ชินพึมพำเบา ๆ ในลำคอ สำหรับสคัลในตอนนี้คงได้ยินคำพูดนี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่คนที่สนใจคำพูดของคนที่กำลังจะตาย
“ลาก่อน ตัวตลกเอ๋ย”
สคัลกลับหลับตาลงราวสวดภาวนาให้ชิน ก่อนจะสะบัดมือที่ผายขึ้นเหนือศีรษะลงอย่างแรงราวเปิดศึก
ไม่สิ เพื่อจบศึกต่างหาก…
พริบตาหลังประกาศิตสั่งตาย แท่งคริสตัลจำนวนกว่าร้อยแท่งก็พุ่งผ่านอากาศหมายทะลวงร่างของชินด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าหนก่อน ๆ
เห็นได้ชัดเลยว่าที่ผ่านมาสคัลแค่ออมพลังไว้เพื่อตัดสินในตอนท้าย ซึ่งถือเป็นการเลือกที่ฉลาด ความเร็วของมันขณะนี้สูงราวเครื่องบินรบมากถึง 5 มัคจนสร้าง Shock Wave เลยทีเดียว
เสียงของแท่งคริสตัลแต่ละอันราวถูกจุดระเบิด พุ่งทะยานสายลมสูงกว่าความเร็วเสียง
สมกับเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้
ดูเหมือนสุดท้าย ถ้าไม่เอาจริงซักหน่อยก็คงเอาชนะไม่ได้ล่ะนะ…
“Percentage All Round… 100%”
ชินพึมพำราวร่ายคาถา เปิดการใช้งานบางสิ่งขึ้น แน่นอนว่าเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากไนท์ของตัวเอง
พริบตานั้นดวงตาของชินก็ลุกโชนเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ออร่าสีแดงดำคลอบคลุมทั้งร่างพร้อมสายฟ้าวาดไปทั่วดูน่าพรั่นพรึง ทั้งบาดแผลที่ได้รับก็สมานในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
เวลารอบตัวช้าลงราวกับหยุดนิ่ง
กล้ามเนื้อร่ำร้อง สัมผัสสั่นสะท้าน… ความสามารถของชินทั้งหมดพุ่งทะลุขีดจำกัดที่สมองจำกัดไว้เพื่อไม่ให้ร่างกายรับภาระหนักเกินไป
ผลลัพธ์ของการฝืนทำสิ่งนั้นคืออาการบาดเจ็บรุนแรงภายในระดับเซลล์ ทว่าพริบตาที่ได้รับความเสียหาย มันก็ถูกฟื้นฟูขึ้นทันทีเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น…
ทวยเทพเอ๋ย จงมอบพลังแห่งการเยียวยาให้ข้า… มารฟ้าเอ๋ย จงมอบพลังแห่งการทำลายล้างให้ข้า…
คำบริกรรมของชินสิ้นสุดในหัว เมฆหมอกแลดูคล้ายกลุ่มก้อนของแสงสว่างปรากฏขึ้นในมือซ้ายของชิน
เป็นพริบตาเดียวกับที่มือขวาถูกครอบคลุมด้วยของเหลวสีดำสนิทดูสยดสยอง ก่อนจะเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นสิ่งที่มันควรเป็นทั้งสอง
…นั่นคือดาบคู่แห่งแสงและมืด
เคร๊ง!
ใบดาบห่อหุ้มมือทั้งสองของชินผ่าแท่งคริสตัลอันแรกที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหนือเสียง 5 เท่าขาดเป็นสองส่วน
ไม่จบเพียงเท่านั้น จังหวะของชินยังรวดเร็วยิ่งขึ้น กระหน่ำวาดดาบใส่แท่งคริสตัลที่พุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วมากยิ่งกว่าที่มันพุ่งเข้ามา
เร็วยิ่งกว่าเสียง เร็วยิ่งกว่าผู้ใด… มากขึ้นและมากขึ้น เร็วเสียจนภาพรอบตัวแทบจะหยุดนิ่ง
ตัวชินยังคงเคลื่อนไหวอยู่ผู้เดียว ร่ายรำท่ามกลางเศษคริสตัลสะท้อนแสงดุจเจ้าชายในงานเต้นรำอย่างสง่างาม
จนกว่าจะรู้ตัว แท่งคริสตัลทั้งหมดก็แหลกสลายหายไปจนหมดสิ้น สคัลได้แต่เบิกตาโพลงอ้าปากค้าง
“เป็นไปไม่ได้”
เขาไม่อดกลั้นที่จะพึมพำแบบนั้นและสูญเสียความเยือกเย็นไป เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้
อย่างน้อยสคัลก็เห็นแค่ภาพของชินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน
ออร่าสีแดงดำอันแสดงถึงอารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงสุดของแวมไพร์ ว่ากันว่ามันเกิดขึ้นเมื่อแวมไพร์ได้รับเลือดมากเกินจนคลุ้มคลั่งเสียสติ
แต่ชินที่อยู่ตรงหน้ากลับยังคงเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าเขาคงสถานะที่สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดได้โดยไม่สูญเสียสติสัมปชัญญะ
ไม่… ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือดาบพวกนั้นต่างหาก
สคัลได้แต่คิดสงสัยมองดาบสองเล่มที่คลุมมือของชินอย่างฉงนงงงวย
ทำไมงั้นหรือ? เพราะดาบสีทองราวแสงแห่งพระผู้เป็นเจ้า กับดาบสีดำราวเจตนาร้ายของจอมปีศาจที่อยู่ในมือทั้งสองของชิน มันคือ ‘ปาฏิหาริย์’ และ ‘คำสาป’ ของเผ่านางฟ้าและเผ่าปีศาจ
ไม่เพียงเท่านั้น ดาบทั้งสองยังเป็นมนตราระดับสูงของทั้งสองเผ่า ว่ากันว่ามีแต่แม่ทัพในสมัยสงครามโลกครั้งโบราณกาลเท่านั้นที่ใช้ได้ ในสมัยนี้คงเหลือยอดฝีมือไม่กี่คนที่ทำได้อย่างนั้น
ทั้งอย่างงั้น… คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างชิน กลับสามารถใช้มันได้ทั้งสองอย่างทั้งที่เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้
“นายมันเป็นตัวอะไรกันแน่…”
เสียงของสคัลสั่นเครือด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก ขาขวาหยั่งถอยหลังกลับโดยที่เจ้าตัวไม่ทันรู้
เหงื่อเย็นไหลไปทั่วใบหน้า สคัลรู้สึกหวาดกลัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีกับภาพที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้ตรงหน้า เป็นไปดังที่ชินคาด
“ไม่เข้ามาแล้วเหรอ… เจ้าโครงกระดูก” ชินพูดปานล้อเลียน
แต่ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ยิ่งรีดเร้นความร้อนใจออกมาจากส่วนลึกของสคัลให้มากขึ้น
ท่าทางของชินทำให้สคัลสติแทบหลุด แต่เขาปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
ไม่ได้… จะถอยไม่ได้…
ไม่ว่าใครต่างก็มีเหตุผลที่จะไม่ยอมแพ้
ทั้งการปกป้องเจตจำนงของเหล่าคนสำคัญและการปกป้องคนสำคัญอย่างโอลิเวียของชิน
ทั้งการสร้างโลกในอุดมคติเพื่อเติมเต็มอดีตของสคัล
ชายหนุ่มทั้งสองจ้องมองกันด้วยสายตาที่ทั้งเคารพยำเกรงและไม่อาจยอมพ่ายแก่อีกฝ่าย
แต่ถึงอย่างงั้น…
แต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ…
สคัลกลืนน้ำลายเสียงดัง นอกจากเสียงสั่นเครือแล้วยังลามไปถึงร่างกายที่เริ่มสั่นสะท้านด้วยความกลัว
เพราะภาพตรงหน้ายังเหนือความเข้าใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
“เตรียมรับมือซะสิ” ชินน้ำเสียงเยือกเย็นไม่เปลี่ยน ทว่าสายตาช่างดูแคลนอีกฝ่าย
เขาเองก็รู้ตัวว่าไม่ควรทำเพราะเป็นการเสียมารยาท แต่ก็อดคิดแบบนั้นไม่ได้อยู่ดีเพราะมันช่วยไม่ได้
ในเมื่อด้านหลังของชินกำลังปรากฏวงเวทย์มากถึง 6 วง วางตำแหน่งแต่ละมุมของรูปหกเหลี่ยม ลายลักษณ์และสีสื่อถึงไฟ น้ำ ดิน ลม สายฟ้าและน้ำแข็ง
นั่นคือนอกจากสามารถใช้พลังของเผ่านางฟ้าและปีศาจในระดับสูงได้แล้ว ชินยังสามารถใช้เวทย์มนของเผ่าเอลฟ์ได้ครบทุกธาตุอีกต่างหาก
ราวฟ้ากับเหว…
สคัลหวาดหวั่นกับช่องว่างของความสามารถที่แตกต่างกันถึงระดับนั้นตรงหน้า
กระนั้น สคัลก็ยังเค้นใจสู้ออกมาจากส่วนลึก สร้างบาเรียด้วยพลังของตัวเองหลายต่อหลายชั้นเพื่อป้องกันเวทย์ของชิน
ย่อมได้
ชินเห็นใจสู้ของสคัลก็เปลี่ยนใจ รู้สึกเคารพอีกฝ่ายทั้งที่เห็นความต่างชั้นราวกับอยู่คนละมิติขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมแพ้
เขาจัดการสั่งยิงเวทย์ทั้ง 6 ธาตุใส่บาเรียของสคัลอย่างต่อเนื่อง
“อึก!”
และก็เป็นไปตามคาด พลังของสคัลไม่อาจต้านทานเวทมนตร์ผสมสผานของชินได้ บาเรียที่สร้างถูกทำลายลงทีละชั้น ๆ ราวความหวังถูกบดขยี้ทีละนิดทีละน้อย
กระทั่งพริบตาที่กำแพงชั้นสุดท้ายแตกสลาย กลายเป็นชินที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของสคัลอย่างไม่ทันตั้งตัวพร้อมดาบสองเล่มง้างเตรียม
“หวังว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนะ เจ้าโครงกระดูกเอ๋ย”
ชินกล่าวเคารพต่อคู่ต่อสู้ แล้วจัดการใช้ดาบสองเล่มฟันร่างของสคัลจากด้านหน้าเป็นรอยกากบาทขนาดใหญ่
เกิดแผลฉกรรจ์ที่ไม่อาจฟื้นฟูได้ทันทีขึ้นจนสคัลล้มหงายราวหมดแรงต่อต้าน
ทั้งพลังของเผ่านางฟ้าและเผ่าปีศาจระดับสูงราวเทวทูตหรือจอมปีศาจ
ทั้งพลังของเอลฟ์ที่สามารถใช้เวทย์ได้ทุกประเภทอย่างชำนาญราวกับเทพจากอิกดราซิลในตำนาน
ทั้งยังสามารถคงสภาวะคลุ้มคลั่งของผีดูดเลือดได้ราวกับราชาเอลานอร์ผู้พิชิตโลกทั้งใบได้กลับชาติมาเกิด
ทั้งหมดนั่นคือภาพสุดท้ายที่สคัลรับรู้ได้ก่อนจะหมดสติไป… คือภาพของชินผู้ครองพลังมหาศาลราวกับรวมความเป็นไปได้ของแต่ละเผ่าพันธุ์เอาไว้ในมือ
คือภาพของชินผู้จ้องมองตนจากจุดที่อยู่เหนือกว่าทุกสรรพสิ่ง…
ดุจดั่งราชาผู้อยู่เหนือราชันย์ทั้งปวง (Overlord)
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION