————ก่อนหน้านี้เล็กน้อย, บนเครื่องบินขนส่งทางทหารที่ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าอินดรานีเซีย
เครื่องบินเหล็กขนาดมหึมาแล่นผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืนประหนึ่งราชันย์วิหค
ภายในตัวเครื่องบินกว้างพอจะขนทหารได้หลายสิบคน แถมท้ายเครื่องยังสามารถเติมเสบียงได้หลายสัปดาห์
และท้ายเครื่องจุดเดียวกันยังมีจุดเปิดประตูสำหรับโดดร่มฉุกเฉินหรือเพื่อยุทธวิธี
บริเวณนั้นมีชายคนหนึ่งนั่งเงียบโดยไม่รัดเข็มขัดแม้ตัวเครื่องจะสั่นไปมาอย่างรุนแรงก็ตาม
ชายคนนั้นสวมหน้ากากหัวกะโหลกครึ่งใบหน้าประดับด้วยเข็มฉีดยาเต็มศีรษะดูน่าฉงนและหวาดหวั่น
ภายใต้หน้ากาก สายตาของเขาช่างเย็นเยือกประหนึ่งเหมันต์ ทว่ากลับแฝงไว้ด้วยความอ้างว้างว่างเปล่า
ในตอนนั้นภาพโฮโลแกรมก็ฉายขึ้นตรงหน้า
‘ยอดเยี่ยมมาก ‘สคัล (Skull)’สมกับที่ฉันคาดหวังไว้ไม่มีผิด’
เสียงของเด็กหนุ่มอายุราว ม.ปลาย ดังจากลำโพงบนเพดานเครื่องบินแต่จังหวะและความเคลื่อนไหวของปากก็ตรงกับที่แสดงบนจอโฮโลแกรมเบื้องหน้า
แม้ว่าภาพในโฮโลแกรมจะมืดจนมองไม่เห็นใบหน้าเต็ม ๆ ของชายคนนั้นก็ตาม
ส่วนชายหนุ่มสวมหน้ากากหัวกะโหลก… สคัล หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อคือ ‘ดอคสคัล (Doc Skull)’พอรับรู้ก็ดีดตัวขึ้นยืนตรงดังทหารผู้จงรัก
เด็กหนุ่มในโฮโลแกรมใช้มือปรามบอกให้ทำตัวตามสบายสคัลจึงกลับไปนั่งลง
“ไม่หรอก… ครับ…” สคัลตอบกลับเสียงแหบแห้ง
คำชมของเด็กหนุ่ม… ราชาอันดับ 1 ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นพิเศษ เพราะสิ่งที่เขาทำลงไปมันใกล้เคียงคำว่าเป็นหน้าที่มากกว่าทำเพื่อหวังรางวัล
สำหรับภารกิจที่สคัลได้รับนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่การยึดครองออสตราเลียอย่างที่กลุ่มอื่น ๆ รวมถึงอัลเฟรดเข้าใจ
หากแต่แท้จริงแล้วคือการเปิดทาง เขาทำลายข้าศึกให้หมดสิ้นเพื่อให้พรรคพวกอีกคนเก็บงานโค่นศัตรูที่เหลือ รวมถึงมอบหน้าที่ให้คน ๆ นั้นทำสัญญายึดครองดินแดนด้วย
สิ่งที่เขาทำลงไปก่อนหน้าเป็นเพียงตัวล่อเพื่อให้การยึดครองออสตราเลียทำได้ง่ายขึ้นเพียงเท่านั้น
เพราะเป้าหมายจริง ๆ ที่เขาเข้าร่วมในศึกนี้ก็คือ…
‘ยังไงก็ตาม ต่อให้เป็นนายก็อย่าประมาทแองกริคราวน์เชียว’
“…”
เด็กหนุ่มในโฮโลแกรมใช้น้ำเสียงจริงจังมากขึ้นทั้งที่ก่อนหน้าก็จริงจังอยู่แล้ว แต่สคัลกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ
ถึงแบบนั้นเด็กหนุ่มก็ยังโฟกัสเรื่องของแองกริคราวน์อยู่ ชินเป็นตัวอันตรายขนาดนั้น
‘ให้ตายสิ… ใครจะไปคิดกันล่ะ ว่าเจ้าคนที่น่ารำคาญที่สุดในโลกอย่างหมอนั่นจู่ ๆ จะปรากฏตัวขึ้นมาในโลกฝั่งนี้แล้วกลายเป็นผู้เล่นไปอีกคน’
เด็กหนุ่มเผยน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความกังวล ดูเหมือนไม่ว่าใครต่างก็ประเมินความสามารถของแองกริคราวน์ไว้สูงลิบ
แต่นั่นก็ไม่แปลกอะไร เพราะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ให้เห็นมาแล้วมากมายจากผลงานที่เขาทำไว้ตลอดหลายปี
และใช่… แองกริคราวน์คือเป้าหมายจริง ๆ ของสคัล
ราชาอันดับ 1 ได้สั่งให้เขากำจัดแองกริคราวน์ออกไปจากเกมชิงสิทธิ์ปกครองโลกให้เร็วที่สุด เพราะแองกริคราวน์คือตัวหมากพลิกเกมที่ไม่อยากให้อยู่ในมือของศัตรู
เขาเป็นบุคลากรล้ำค่าที่มีผลต่อสงครามในความคิดของทุกคนมากขนาดนั้น
ดังนั้น หากไม่สามารถเป็นพวกกันได้ ฆ่าทิ้งเสียจะเป็นประโยชน์กว่า
‘ให้ตายสิ… ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้เลยแฮะ’
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเบาลงกะทันหัน
สคัลรู้สึกว่าราชาของตนแปลกไปจากปกติแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม ท่าทางเขายังคงนิ่งสงบต่อคำสั่งที่ได้รับมา
‘…เอาเป็นว่าจัดการให้เรียบร้อยด้วยล่ะ’ เด็กหนุ่มพูดตัดบทก่อนจะปิดภาพโฮโลแกรมของตัวเองอย่างรีบร้อน
ดูเหมือนอีกฟากจะมีธุระประปรังให้จัดการเยอะไม่ต่างกัน
“กำลังเข้าเขตเป้าหมายแล้วค่ะ! ตรวจพบตำแหน่งของแองกริคราวน์จากเครื่องตรวจสอบลักษณะเฉพาะด้วยดาวเทียม จะเตรียมการโดดฉุกเฉินในทันที”
เสียงประกาศดังขึ้นพร้อมสัญญาณเตือน แสงสีแดงวิ่งวุ่นไปทั่วบริเวณในตัวเครื่องบิน
ดูเหมือนระหว่างที่คุยกันเครื่องบินจะผ่านน่านฟ้าของมาลาเชียเข้ามาแล้ว แต่สาเหตุที่ไม่ถูกการโจมตีจากกองกำลังป้องกันตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่น่าขบคิดอยู่
ประตูท้องเครื่องค่อย ๆ เปิดออก อากาศถูกพัดออกไปเพราะความกดอากาศที่ต่างกันจากความสูงพื้นโลกมากถึงสามหมื่นฟุต
เป็นความสูงที่ไม่เหมาะจะโดดลงไป แต่สคัลไม่มีทีท่าว่าจะสวมร่วมชูชีพ
เท้าของเขาย่างเข้าสู่ปลายขอบขุมนรกอย่างไร้ความเกรงกลัว
เป็นพริบตาที่สัญญาณให้กระโดดดังขึ้น เขาก็ปล่อยตัวลงจากปลายขอบเหวดิ่งพสุธาลงไปในพริบตา
ความเร็วราวฉีกกระชากร่างให้เป็นชิ้น ๆ ควรจะส่งผลต่อสคัล ทว่าทั่วร่างของเขากลับมีบางสิ่งที่ดูโปร่งใสคลุมร่างเอาไว้จนไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ แม้แต่แรงเสียดสี
ความสามารถแหกกฎฟิสิกส์นั้นพาเขาลงสู่พื้นได้อย่างปลอดภัย ทว่าก็ทำให้พื้นดินแตกระแหงไปทั่วปานจุดที่อุกกาบาตตกดังที่ได้เปรียบเปรย
จนกระทั่งเบื้องหน้าของเขา… มีเป้าหมายที่ต้องกำจัดอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่เบื้องหน้าอย่างแองกริคราวน์
…อย่าโกรธแค้นกันเลยนะ
“แองกริ… คราวน์…”
❖❖❖❖❖
ความแข็งแกร่งระดับนี้มัน…
ไม่ผิดแน่ เจ้าคนที่สวมหน้ากากหัวกะโหลก คือแวมไพร์สายเลือดแท้แบบเดียวกับอัลเฟรดและตัวเรา!
ชินเชื่อมโยงเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกัน ขณะที่พยายามใช้มือขวากดแผลที่ต้นแขนซ้าย
ไม่สิ… แทนที่จะเรียกว่าแผล น่าจะเรียกว่ากดปากแผลมากกว่า
นั่นเพราะแขนซ้ายของเขาที่เคยมีอยู่จนถึงเมื่อครู่ ได้ถูกตัดขาดตั้งแต่ส่วนต้นแขนจนหล่นลงพื้น
กระนั้นชินก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดแต่อย่างใด
“มาสเตอร์!”
ทางโอลิเวียต่างหากที่ส่งเสียงนั้นมาก่อนเจ้าตัว เธอรีบขยับเข้ามาใกล้แล้วใช้พลัง ‘ปาฏิหาริย์’ ของเผ่านางฟ้าช่วยปิดปากแผลในเวลาไม่ถึง 1 วินาที
เกวนที่อยู่ข้าง ๆ เองกลับยืนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
ไม่ใช่เพราะกลัวตัวเองตายหากแต่เป็นความกลัวว่าจะต้องเสียชินไป แต่แน่นอนว่าคนที่รู้เรื่องนั้นมีแค่เกวนคนเดียว
เบื้องหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ไม่ว่าใครต่างก็คิดเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้ที่เผชิญหน้ากับมันย่อมต้องมีความรู้สึกต่อมันเพียงอย่างเดียว
…นั่นคือความหวาดกลัวต่อความตาย ราวคมเคียวยมทูตคล้องคออยู่ตั้งแต่พริบตาที่ได้เห็นเค้าโครงของหน้ากากหัวกะโหลก
แบบนี้ถือว่าแย่ทีเดียว… ศัตรูมีความสามารถปริศนาที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
บางทีอาจจะเป็นอะไรที่คล้ายกับพลังของหู่ก็ได้ แต่พลานุภาพนั้นเทียบเคียงกันไม่ได้เลยซักนิด ทางนี้แข็งแกร่งกว่ามาก
ชินมองไปยังอีกฝ่าย ดูเหมือนอีกฝ่ายก็มีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยเช่นกันที่เห็นโอลิเวียใช้พลังของนางฟ้าได้แบบนั้น
แต่ในอีกแง่นึงนั่นถือว่าอันตรายทีเดียว เพราะหากชินเป็นศัตรูแล้วเห็นว่าอีกฝ่ายมีผู้ที่สามารถรักษาคนอื่นได้แบบนั้นขึ้นมาล่ะก็…
“หนี!”
ชินตะโกนอย่างร้อนใจ ก่อนโยนวัตถุระเบิดใส่กลางพื้นระหว่างตนกับสคัลจนเกิดควันโขมงขึ้นอีกครั้ง
สคัลตอบสนองทันทีด้วยการใช้พลังแหวกอากาศออก ตั้งใจจะตัดร่างของพวกชินเป็นชิ้น ๆ
แต่พวกชินก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว
กลับกัน… ระเบิดเมื่อกี้เองก็ไม่ได้หวังผลสร้างความเสียหาย มีจุดประสงค์อื่นรึยังไงกัน? สคัลคิด
โดยไม่ได้เอะใจว่ามือข้างที่ขาดสะบั้นไปแล้วของชินนั้นถูกระเบิดจนไม่เหลือเศษซาก นั่นต่างหากที่เป็นเป้าหมายของชินในการกำจัดหลักฐานเพราะกลัวว่าสคัลจะใช้มันสืบตัวตนของชิน
“มันไปไหนแล้ว”
สคัลส่งคำพูดขึ้นไปยังห้องคอกพิทบนเครื่องบินขนส่งทางทหารที่ลอยอยู่เหนือหัว
เป็นห้องขนาดใหญ่ที่ไม่เพียงใช้ควบคุมการบินแต่ยังรวมถึงใช้เป็นที่วางกลยุทธ์ในสงคราม
‘อีกฝ่ายยังอยู่ในระยะ 100 เมตรบริเวณนั้นค่ะสคัล’ เสียงโอเปอร์เรเตอร์สาวแจ้งกลับมา แต่รอบตัวไม่ยักกะมีร่องรอยใด ๆ ให้ตาม
สคัลจึงมั่นใจในทันทีว่าอีกฝ่ายอาจมีไนท์ที่สามารถลบร่องรอยตัวเองและพรรคพวกได้ หรือไม่ก็เป็นพลังคำสาปของเผ่าปีศาจ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไหนก็ยังยากแก่การตามตัวหากอีกฝ่ายต้องการจะหนีจากเขาจริง ๆ
ปัง!
แต่นั่นก็ถือเป็นความโชคดีของสคัล?
เสียงปืนดังลั่นมาจากทิศสามนาฬิกา กระสุนควงสว่านเข้ามาที่ข้างศีรษะหวังปลิดชีวิตสคัล
ทว่ามันกลับกระทบกับบางสิ่งที่มีลักษณะใสราวกับแก้ว สิ่งนั้นคลุมร่างของสคัลทั้งตัว กระสุนจึงถูกดีดตกลงพื้น
ใช่… นี่คือความโชคดีของสคัล เพราะดูเหมือนแองกริคราวน์ไม่ได้มีความตั้งใจจะหนีจริง ๆ เขารู้สึกโชคดีจริง ๆ ที่มันกลายเป็นแบบนี้
ราวกับเพื่อตอกย้ำสิ่งนั้น… บนหลังคาของบ้านที่สูงที่สุดในละแวก มีเงาของคนสองคนยืนอยู่อย่างองอาจใต้แสงจันทร์ราวไร้ความยำเกรงต่อยมทูตเบื้องล่าง
ชินและโอลิเวีย ทั้งสองยืนอยู่บนนั้น… และแม้ชินจะเสียแขนซ้ายไปข้างนึง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สะทกสะท้ายใด ๆ ต่อสภาพนั้นของตัวเอง
เจ้าหมอนี่เป็นตัวอันตรายจริง ๆ…
มีพลังการทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วและทรงพลัง แถมการป้องกันยังไร้ช่องว่าง ถึงขนาดดูด้วยตาก็รู้
ใจจริงก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องสู้กับคนอันตรายแบบนี้ เพราะว่ากันตามตรง… ที่เราเข้าร่วมศึกชิงสิทธิ์ปกครองโลกอะไรนี่ก็มีอยู่เหตุผลเดียวคือ การสร้างความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกับอัลเฟรดที่มีเป้าหมายเดียวกัน
กับอีกอย่างก็คือ… อาจจะโชคดีได้เจอกับเป้าหมายที่เป็นหนึ่งในราชา เพราะคน ๆ นั้นอาจเป็นคนที่ฆ่าพ่อกับแม่เราก็ได้
เพราะงั้น… นี่เป็นศึกที่เราจะหนีไม่ได้
เพราะเจ้าหมอนี่ก็อาจมีข้อมูลสำคัญอยู่ด้วยเหมือนกัน
สิ่งที่ต้องทำก็ยังคงเหมือนเดิม คือจัดการศัตรูให้หมอบและรีดเร้นข้อมูลออกมาเท่าที่เป็นไปได้
“จะลุยสินะคะมาสเตอร์” โอลิเวียถามน้ำเสียงเย็นเยือกกระนั้นกลับแฝงความเป็นห่วงมากกว่าปกติ ดูเหมือนเธอเองก็กังวลไม่น้อยว่าชินจะได้รับแผลมากไปกว่าตอนนี้
“อา…”
ชินตอบกลับสั้นๆ โอลิเวียก็ตอบกลับ “ค่ะ” เบา ๆ
เธอไม่อาจขัดคำสั่งได้แม้ใจจริงจะอยากพาชินหนีไปให้ไกลก็ตามที
ส่วนเกวน เธอถูกชินสั่งให้ถอยออกจากแนวรบให้เร็วที่สุด เพราะศึกนี้อยู่นอกเหนือภารกิจปกติของเธอ ศึกนี้ไม่ใช่ศึกย่อยของการชิงดินแดนด้วยซ้ำ ไม่สิ… แม้แต่ศึกย่อม ๆ กับหู่ก่อนหน้านี้เองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นแบบนั้น
นี่จึงเป็นศึกของเขาเท่านั้น
ท้ายสุดแล้ว… ไม่ว่าเวทีจะเปลี่ยนไปเช่นไร สุดท้ายศึกแห่งการล่าล้างแค้นอันเกิดจาก ‘ความเกลียดชัง’ ก็ยังตามหลอกหลอนชินไม่เปลี่ยน แม้จะเป็นในรูปแบบอื่นก็ตามที
“ถ้าไม่จำเป็นฉันไม่อยากใช้‘พลังนั่น’ เท่าไหร่ เพราะงั้นคงต้องทนอยู่ในสภาพนี้ไปก่อน”
ชินสัมผัสแขนซ้ายตัวเองทั้งที่ถือปืนอยู่ โอลิเวียจึงพยักหน้าให้เพราะเข้าใจสิ่งที่ชินจะสื่อ
แม้จะใช้มันไม่บ่อยครั้งแต่ชินก็ไม่อยากใช้เพราะมันอาจทำให้ความลับของเขารั่วไหล
แต่หากจะว่าไปแล้ว… เดิมทีความเป็นไปได้ที่ ‘ความลับสุดยอด’ ของชินจะแตกก็แทบไม่มีอยู่แล้ว
…เพราะคนที่จะรู้จุดเชื่อมโยงระหว่าง ‘พลังนั่น’ กับ ‘ความลับสุดยอด’ ของชิน ก็มีแต่ ‘คนใน’ ซึ่งในตอนนี้จากไปแทบไม่เหลือแล้วเท่านั้น
แต่ชินก็ขอเลือกวิถีเดิมที่ถูกสอนมา นั่นคือ ‘ไม่ประมาทเป็นดีที่สุด’
“ทราบแล้วค่ะ งั้นดิฉันจะร่วมสู้ในแนวหน้าด้วยนะคะ”
โอลิเวียตัดสินใจเด็ดขาด เธอกางมือทั้งสองขึ้นเหนือศีรษะ
วงเวทย์สีน้ำเงินขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งเมตรจำนวน 5 อันปรากฏขึ้นด้านหลังเหนือศีรษะ และอีกสองอันสีเหลืองทองด้านบนศีรษะ
ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตาจนแม้แต่สคัลยังต้องผงะ ภายใต้หน้ากากของเขาเองก็มีเหงื่อไหลออกมาเช่นกัน
“โกลเด้นด็อกใช้เวทย์มนได้ตามข่าวลือ แถมดูเหมือนจะใช้ปาฏิหาริย์ได้ด้วย”
‘…ร้ายกาจจริง ๆ ค่ะ’
สคัลแจ้งโอเปอร์เรเตอร์สาวอีกครั้งเพื่อยืนยันข้อมูล
เห็นชัดว่าไม่เพียงแค่ตัวแองกริคราวน์เท่านั้นที่มีชื่อเสียง แต่โกลเด้นด็อกที่มีพลังสุดฉงนเองก็สุดยอดไม่น้อยหน้ากันเลย
“ย้า!!!” โอลิเวียตะโกนอย่างดุดันผิดกับบุคลิกตามปกติ นั่นคือเครื่องพิสูจน์ว่าเธอกำลังเอาจริง
สายน้ำแรงสูงพวยพุ่งออกมาจากวงเวทย์สีน้ำเงินทั้งห้า พุ่งเข้าใส่สคัลที่ยืนอยู่บนถนนเบื้องล่างดั่งเลเซอร์
สคัลใช้ไหวพริบและพลังกายภาพที่เหนือชั้นหลบทั้งหมดได้อย่างหวุดหวิด
สายน้ำนั่นตัดทุกสิ่งที่มันวิ่งผ่านไม่แม้แต่บ้านหรือกำแพงจนถล่มลงอย่างน่าหวาดหวั่น สคัลรู้สึกคิดถูกที่ไม่ประมาทใช้พลังของตัวเองรับในครั้งแรก
และเขาได้ใช้จังหวะเพียงเสี้ยววินาทีนั้นสร้างวัตถุใสคล้ายกับแผ่นแก้วขึ้นกลางอากาศเบี่ยงวิถีของสายน้ำออกไป
สคัลเผยรอยยิ้มออกมาบาง ๆ พอเห็นว่าพลังของตัวเองสามารถป้องกันเวทย์ของโอลิเวียได้
โอลิเวียยิงสายน้ำครั้งที่สองออกไปอย่างไม่รอรี แต่หนนี้สคัลกลับยืนนิ่งด้วยความมั่นใจเพราะทดสอบแล้วว่าเวทของโอลิเวียผ่านพลังของเขาไม่ได้
แต่นั่น… คือการฆ่าตัวตาย
“!!!!!”
สายน้ำทั้งหมดวิ่งตัดผ่านร่างของสคัล สร้างบาดแผลเป็นแนวยาวให้กับเขาจนโลหิตสาดกระเซ็น
หากสคัลเป็นมนุษย์ธรรมดาเขาคงจะกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้วด้วยซ้ำ เวทมนตร์ของโอลิเวียรุนแรงขึ้นอีกระดับจนถึงขั้นตัดผ่านสิ่งที่เขาใช้พลังคลุมร่างไว้ได้
สคัลรีบตั้งสติก่อนจะถีบพื้นหลบไปด้านข้างเพื่อตั้งหลัก
แต่ก็ต้องเบิกตาโพลงอีกครั้งเพราะชินรออยู่ที่ตำแหน่งนั้นก่อนแล้ว ราวกับชินวาร์ปมาอยู่ตรงนั้น
และไม่เพียงแค่รออยู่… แต่ยังง้างหมัดเตรียมไว้แล้วอีกต่างหาก
“อั๊ก!!!!!”
หมัดของชินอัดเข้าใส่กลางลำตัวของสคัลอย่างแรง
และพริบตาที่หมัดของชินสัมผัสกับบางสิ่งที่คลุมร่างของสคัลเอาไว้ สิ่งนั้นก็แตกกระจายเป็นชิ้นราวกับแก้วแตก
ร่างของสคัลลอยไปไกลก่อนจะพยายามยืนยั้งพื้นไว้ได้
“อั่ก!!!”
สคัลไม่เคยรับหมัดที่รุนแรงขนาดนี้มาก่อน เขากระอักเลือดออกมาทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากทั้งชินและโอลิเวีย
แค่ประมาทเพียงจังหวะเดียวก็เล่นเอาถึงกับเกือบตายเลยเรอะ
สคัลสบถให้ความประมาทของตัวเอง กลับมานั่งพินิจพิเคราะห์สถานการณ์อีกรอบ
จะว่าไปผู้หญิงคนนั้นมีพลังในการลบร่องรอยนี่…
บางทีการโจมตีแรกคงจะสร้างภาพลวงตาให้เราคิดว่าพลังของเราป้องกันเวทย์นั่นได้ เพื่อให้เราคิดว่าพลังของเราเหนือกว่า แล้วจัดการใช้จุดอ่อนนั้นซ้อนแผนบดขยี้เราแทน
แถมยังเล็งจังหวะต่อเนื่องด้วยการให้แองกริคราวน์ลบร่องรอยเข้ามาจัดการปิดฉาก
สคัลทบทวนแผนอันแยบยลของชินกับโอลิเวียก่อนหน้า
เทคนิคและพลังของพวกชินเหนือกว่าพอควร เพราะแม้อีกฝ่ายจะไม่รู้ว่าพลังของเขาคืออะไร แต่หากลบร่องรอยไปเสียสคัลก็ไม่มีทางโจมตีโดนพวกชินได้เลย
กลับกัน จะมีแต่พวกชินนั่นแหล่ะที่เล่นงานสคัลได้ฝ่ายเดียว
พลังอะไรกันเนี่ย ทั้งเวทย์มนที่ทรงพลังเกินกว่าไนท์จะต้านไหว กับพลังในการลบไนท์ของคนอื่นตามข่าวลือ… แถมยังความสามารถในการประสานงานนั่นอีก
ทั้งที่ตอนแรกเราได้เปรียบแท้ ๆ แต่แค่พริบตาเดียวก็กลับถูกไล่ต้อนโดยไม่รู้ตัวเสียได้
…สัตว์ประหลาดชัด ๆ
สคัลกลับมายืนตรงมองพวกชินไม่วางตา แฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรงและหวาดหวั่น
…ก่อนจะหยิบหลอดบรรจุของเหลวบางอย่างออกมาจากใต้ชายเสื้อ
“สมเป็นนักล่าค่าหัวที่เขาล่ำลือกัน พวกนายมันสัตว์ประหลาด” สคัลค่อย ๆ เปิดฝาของหลอดบรรจุ เตรียมดื่มอย่างไม่แยแสสายตาผู้ใด
เขาดื่มมันเข้าไปหลายอึกจนหมด ก่อนจะโยนมันทิ้งลงข้างเท้าของตัวเอง
“แต่ว่า…”
และพริบตาที่เห็นของเหลวสีแดงส่วนที่เหลือกระเซ็นออกจากตัวหลอด ก็แทบจะทำให้ชินกับโอลิเวียตัวแข็งทื่อ
ส่วนสคัลผู้สลัดความกลัวหายไปสิ้นชูมือขึ้นประหนึ่งตนเป็นพระผู้เป็นเจ้า
“ฉันเองก็เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกัน!!!”
วูม!!!
เสียงตะโกนราวคลุ้มคลั่งของสคัลทำให้บรรยากาศรอบตัวสั่นไหว พัดพาเอาสิ่งรอบตัวปลิวว่อนขนาดที่กำแพงยังหลุดกระเด็น พร้อมกันนั้นยังส่องแสงสีแดงฉานจากทั้งร่างดูสยดสยอง เขี้ยวที่เผยออกมาแสดงถึงความกระหายเลือดราวสัตว์ป่า
และที่สำคัญ… บาดแผลที่เขาได้รับมาจากเวทมนตร์โอลิเวียนั้น ถูกฟื้นฟูในพริบตาไปแล้ว
“โอ้ววววววว!!!!!”
สคัลตะโกนลั่นปานสัตว์คำราม
ลมกรรโชกพัดจากตัวเขาออกไปรอบทิศจนแม้แต่พวกชินยังยืนไม่ติด
ทั้งชินและโอลิเวียรีบกระโดดดามหลังคาหลบจุดศูนย์กลางของเรื่องอย่างสคัลให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือพลังของเขาเริ่มหนาแน่นจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
สิ่งนั้นคล้ายกับแผ่นแก้ว พวกมันปรากฏขึ้นไปทั่วบริเวณรอบตัวของสคัลทั้งเล็กเท่ากระเบื้องปูพื้นจนถึงสูงใหญ่พอ ๆ กับตึกหลายชั้น
มันจะไม่แปลกอะไรหากมันปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วร่วงลงตามแรงโน้มถ่วง ทว่าพริบตาที่แผ่นแก้วปรากฏขึ้นระหว่างเสาไฟฟ้า เสาไฟฟ้าก็ถูกแยกเป็นสองส่วนเพราะถูกผลักออกจากภายใน นั่นคือความลับของพลังในการตัดด้วยไนท์ของสคัล
แถมความแข็งของมันคงจะสูงพอ ๆ กับเพชรอีก หากไม่สังเกตดี ๆ ก็จะไม่รู้ถึงความหนา จึงไม่แปลกที่จะป้องกันการโจมตีแบบต่าง ๆ ได้อย่างแนบเนียน
ความคลุ้มคลั่งทำให้ชินรู้ถึงพลังนั้น
ทว่า… แม้พลังของไนท์ศัตรูจะเปิดเผยแล้ว แต่สำหรับชินมันไม่คุ้มเสียเลย เพราะสคัลได้ทำสิ่งที่น่าหวาดหวั่นสำหรับเผ่าพันธุ์ตัวเอง… สำหรับผีดูดเลือดไปแล้ว
เจ้าหมอนั่น… ดื่มเลือดไปแล้วงั้นเหรอ?
ชินเหงื่อตกเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีได้คำตอบจากความเปลี่ยนแปลงกะทันหันของสคัล ที่เขาว่ากันว่าผีย่อมเห็นผีท่าจะเป็นเรื่องจริง
การดูดเลือด… สำหรับแวมไพร์แล้วมันก็คล้ายกับการดูดซับจิตของเผ่าพันธุ์อื่น แม้โดยปกติจะมีการดูดซับจากธรรมชาติอยู่แล้วก็ตาม
แต่หากดูดเลือดของสิ่งมีชีวิตเข้าไปอีก นั่นจะยิ่งช่วยเร่งการดูดซับของจิตให้มากขึ้น และแน่นอนว่าพลังทางกายภาพและไนท์ก็จะยิ่งทวีคูณมากยิ่งขึ้นไปอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
พอชินมาคิดดู พลังการดูดเลือดนั้น หลักการก็คล้ายกับการใช้ตราอัศวินหรือตราราชันย์ดูดซับจิตอยู่พอควร
คิดแบบนั้นก็พอจะเข้าใจเหตุผลขึ้นมา ว่าทำไมผู้มีสิทธิชิงบัลลังก์คนอื่นจึงอยากกำจัดแวมไพร์ให้หมดไปจากโลกใบนี้เสีย
เหตุผลนั่นยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อมองภาพตรงหน้า…
ภาพของชุมชนที่ถูกทำลายย่อยยับกลายเป็นเศษซากราวกับเหตุการณ์หลังเกิดภัยพิบัติโดยมีสคัล ผีดูดเลือดที่เพิ่งได้รับเลือดเข้าไปเป็นศูนย์กลางของมหันตภัยนั้น
ร่างของสคัลยังคงถูกย้อมด้วยออร่าสีแดงฉาน
เขาอยู่ห่างจากชินกับโอลิเวียหลายร้อยเมตร แม้จะอยู่ไกลขนาดนั้นแต่ชินกับโอลิเวียก็ยังอยู่ในเขตที่บ้านช่องถล่มพังทลาย
คิดแบบนั้นก็ทำเอาหวั่นใจ แต่ก็รู้สึกโล่งใจได้เปราะนึงเพราะการใช้คำสาปลบร่องรอยของโอลิเวียยังได้ผลอยู่
…ความจริงมันควรจะง่ายดายเช่นนั้น
แต่พริบตาเดียวเท่านั้น จู่ ๆ กำแพงใสที่สร้างจากเพชร… สร้างจากไนท์ของสคัลก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบบริเวณเขตต่อสู้
ไม่สิ… มากกว่านั้น กำแพงดังกล่าวสร้างขึ้นรอบตัวของสคัลเป็นรัศมีถึงหนึ่งกิโลเมตรพร้อมกับปิดฝาด้านบน ชินกับโอลิเวียกลายเป็นหมูในอวนไปแล้ว ทั้งสองไร้ทางหนีโดยสิ้นเชิง
ไม่สิ… แถมไม่ใช่แค่นั้น
“อา… โอ้ววววววว!!!!!!”
สคัลส่งเสียงคำราม แล้วแผ่นแก้วก็ถูกสร้างขึ้นเป็นจำนวนมากในลักษณะคล้ายกับเข็มยักษ์จำนวนมากมายรอบตัวเขา
พวกมันพุ่งออกไปรอบตัวเขาราวกับเม่นปล่อยหนาม แต่ในแง่ของจำนวนและความต่อเนื่องนั้นมากกว่าโขจนเทียบไม่ติด ซ้ำความเร็วยังพอ ๆ กับกระสุนปืนอีก
นอกจากสร้างขึ้นตรงไหนก็ได้ ยังทำให้มันเคลื่อนที่ได้อีกเหรอ!?
ชินเหงื่อตกแทบไม่มีเวลาให้คิด สถานการณ์พลิกกลับไปกลับมาได้เสมอกับศัตรูที่ไม่ขึ้นกับกฎฟิสิกส์
ชินรู้อยู่แล้วแต่ก็อดเจ็บใจไม่ได้ที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้เป็นไปอย่างใจ
เศษซากอาคารที่ใช้เป็นจุดกำบังก็อ่อนแอมาก พวกแท่งแก้วเหล่านั้นกำลังจะทะลุผ่านมาในอีกไม่กี่อึดใจ
หากกับเขาคนเดียวคงไม่เป็นไร แต่ว่า… โอลิเวียนั้นไม่ได้!
“มาสเตอร์!!!”
พริบตาก่อนที่จุดกำบังกำลังจะถล่ม ชินใช้มือข้างที่ยังอยู่ล็อคตัวโอลิเวียไว้แล้วใช้แผ่นหลังของตัวเองป้องกันการโจมตี พร้อมกับใช้ไนท์เสริมความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อให้ถึงขีดสุด
พอโอลิเวียตระหนักได้ว่าตัวเองถูกชินช่วยเธอก็ถึงกับรีบสะบัดออกเพราะตั้งใจจะใช้ตัวเองเป็นโล่แทน แต่ยิ่งดิ้นชินก็ยิ่งสวมกอดเธอแน่นขึ้นไปอีก
และไม่รู้โชคดีหรืออย่างไร… แต่การโจมตีก็ขาดช่วงและหยุดลงไป
ดูเหมือนการโจมตีชุดใหญ่จะทำให้สคัลเหนื่อยล้าเอาเรื่อง แต่สำหรับแวมไพร์ที่ได้รับเลือดไปแล้ว ผลของการดูดซับจิตนั้นไม่ได้ลดลงในเวลาสั้น ๆ แค่นี้แน่
“มาสเตอร์”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
ชินพูดราวหมดแรง ไม่รับคำขอโทษใด ๆ จากโอลิเวียเพราะรู้อยู่ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอ
ทันทีที่พูดจบชินก็ทิ้งร่างตัวเองลงจนนั่งก้นติดกับพื้น เผยให้เห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยบาดแผลน่าสยดสยอง ทำโอลิเวียเสียงสั่นปานจะร่ำไห้
แม้ชินจะใช้ไนท์ของตัวเองเพิ่มพลังไปแล้ว แต่ก็ให้ผลเพียงแค่ป้องกันไม่ให้แท่งแก้วพวกนั้นทะลุผ่านร่างไปโดนโอลิเวียเท่านั้น
ไม่สิ… สำหรับชิน นี่ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว
จากระยะไกล เสียงฝีเท้าของสคัลเริ่มย่ำไปมารอบ ๆ เพื่อตามหาทั้งสองคน
เขาคงประเมินแล้วว่าการโจมตีเมื่อกี้คงทำให้ชินกับโอลิเวียบาดเจ็บสาหัสซึ่งก็ได้ผลจริง ๆ
ตอนนี้ชินแทบจะลุกไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ ทั้งความอ่อนล้าจากการสูญเสียแขนซ้าย ทั้งจากที่รับการโจมตีเมื่อครู่อีก สถานการณ์ในตอนนี้ย่ำแย่เอาเรื่องทีเดียว
แข็งแกร่งจริง ๆ…
แม้จะไม่เคยสู้กันจริง ๆ จัง ๆ กับศัตรูที่เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ด้วยกันมาก่อน แต่ชินต้องยอมรับว่าผีดูดเลือดนั้นเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไร้ข้อกังขาเมื่อได้เห็นภาพและสัมผัสประสบการณ์นี้กับตัว
“ทางหนีถูกปิดไปแล้ว สถานการณ์แบบนี้ควรจะถอนตัวแท้ ๆ ” ชินปลดหน้ากากของตัวเองออกเพื่อรับลมและออกซิเจน เป็นวิธีเดียวที่จะเร่งการฟื้นฟูร่างกายให้เร็วขึ้น
เช่นเดียวกับโอลิเวีย เธอถอดหน้ากากของตัวเอง สยายผมสีเงินออกกว้างราวผืนผ้าสะบัดไกว
พอเจ้านายพูดแบบนั้นออกมา แม้ชินจะพูดเล่น ๆ ราวกับยอมแพ้ แต่โอลิเวียก็รู้สึกรับผิดชอบอยู่ดี
โอลิเวียจึงเริ่มมองตรงเข้าไปในตาของชินอย่างจริงจัง
กระนั้น… กลับแฝงไว้ด้วยการสั่นรัวเล็ก ๆ ด้วยสาเหตุที่อธิบายไม่ถูก
“มาสเตอร์คะ…”
“ไม่เอา”
ชินปฏิเสธเธอทันทีเพราะเข้าใจการกระทำของโอลิเวีย
แต่โอลิเวียกลับยิ่งขยับเข้ามาใกล้ราวสุนัขแสนซน เธอไม่ยอมฟังคำพูดเชิงปฏิเสธของชินสักนิด
แต่ทางชินเองก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้แข็งขืน
และกว่าจะรู้ตัว ชินที่นั่งพิงซากปรักหักพักอยู่ก็ถูกโอลิเวียนั่งคร่อมไปแล้ว
ด้วยระยะที่ใกล้กันขนาดนี้ แม้แต่ลมหายใจหรือใบหน้าแดงก่ำของอีกฝ่ายต่างก็เผยให้เห็นชัดแม้จะอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายก็ตาม
“ไม่เหลือทางเลือกอีกแล้วนะคะ… การจะโค่นอีกฝ่ายได้ก็มีแต่ต้องใช้วิธีเดียวกันเท่านั้น” โอใช้นิ้วชี้กวัดไกวแผ่นอกของชินอย่างยั่วยวนจงใจ
ชินได้แต่หันหน้าหนีไปทางอื่น เพราะโอลิเวียเริ่มปลดกระดุมอย่างจงใจให้เห็นเนินอกของตัวเอง
“ไม่ได้… แบบนั้นเธอจะเจ็บนะ…”
ชินยังคงปฏิเสธ แต่น้ำเสียงนั้นไร้ความน่าเชื่อถือสิ้นดี ซ้ำดวงตายังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง คมเขี้ยวเองก็เริ่มเผยออกมา แต่ชินก็พยายามกัดฟันกำมือแน่นอดทนไว้สุดชีวิต
สิ่งนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งกระตุ้นของแวมไพร์นั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มาจากความหิวโหยหรือความโกรธกริ้วเพียงอย่างเดียว คำนิยามของมันใกล้เคียงคำว่า ‘อารมณ์อันรุนแรง’ มากกว่า
…และแน่นอนว่ามันรวมถึง ‘อารมณ์ทางเพศ’ ด้วยเช่นกัน
โอลิเวียที่รู้ข้อนี้ดีจึงไม่มีทางเลือกอื่น เพราะรู้กันอยู่ว่าชินไม่อยากทำให้โอลิเวียเจ็บปวดไม่ว่าจะในแง่ใดก็ตาม
ตรงจุดนั้น… ชินไม่ได้ตระหนักเลยว่าจะทั้งเรื่องความแค้น การเอาตัวรอดหรือความเกลียดชังก็ตาม มันไม่ได้มีอะไรสำคัญไปกว่าโอลิเวียเลยสักนิด
“ดิฉันดีใจนะคะที่เป็นห่วง แต่อย่าดื้อดึงไม่เข้าท่าเลยค่ะ แล้วอีกอย่าง…” โอลิเวียค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก
เธอขยับเสื้อเผยให้เห็นต้นคอขาวงามระหง รวมกับกลิ่นหอมเฉพาะตัวของหญิงสาวราวฟีโรโมนดึงดูด
จะทั้งผิวนวลผุดผ่องหรือความงามของเธอเอง รวมถึงหน้าอกที่กำลังแนบชิดอย่างจงใจ
“คิดจะปฏิเสธ… หญิงสาวที่ยอมถวายกายให้คุณขนาดนี้งั้นเหรอคะ”
รวมกับเสียงกระซิบกระเส่าข้างใบหูชิน
สิ่งเหล่านั้นไม่อาจทำให้ชายใดคงสติของตัวเองได้แน่ ไม่แม้แต่ชิน
“!!!”
“อึก!”
ราวกับฟางเส้นสุดท้ายขาดผึงลง ชินใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายพลิกกดร่างโอลิเวียลงกับพื้นก่อนจะฝังเขี้ยวตัวเองลงไปกับต้นคอของโอลิเวีย กระหายความเสพติดสัมผัสจากทั้งผิวพรรณเนียนงามและรสชาติของโลหิต
ทำเอาสติของชินโชดแล่นเคลิบเคลิ้มไปไกล ไม่เว้นแม้แต่เด็กสาวที่นอนสยายผมราวภาพวาดเองก็ยังทำหน้าเคลิบเคลิ้มตามไปด้วย
“มาส… เตอร์…”
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION