“แค่ก!”
โคล่ากระอักเลือด สภาพภายนอกนั้นน่าเป็นห่วงอย่างไม่ต้องสงสัย เรียกได้ว่าหากไม่มีสายเลือดของแวมไพร์เจือปนอยู่โคล่าก็อาจจะเสียเลือดจนเกิดอาการช็อคไปแล้ว บาดแผลของเขาสาหัสถึงขนาดนั้น
แต่อัลเฟรดไม่หวั่นไหวกับอาการของศัตรู เขาชักมีดออกมาพลางขยับคมของมันเข้าใกล้คอของโคล่า
สถานการณ์เข้าถึงจุดที่ใกล้การรุกจน แม้แต่ชายสวมหน้ากากวอมแบตและพอสซัมที่ควรจะง่วนกับริวและมิวยังต้องหยุดดูด้วยความเป็นห่วง
“กะ แก! ถ้าแกทำอะไรเขา———”
“นี่คือข้อเสนอครับ”
อัลเฟรดพูดอย่างใจเย็น ตัดบทสนทนาที่ไม่น่าจะได้อะไรทิ้งนอกจากความโกรธาอย่างไร้เยื่อใย
“ผมจะปล่อยพวกคุณไป… พวกเราไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้ ส่วนพวกคุณก็ออกไปจากประเทศนี้ซะ แล้วอย่ามาเหยียบเขตของผมอีก ถ้าทำตามนี้ผมจะปล่อยพวกคุณไป แต่ถ้าไม่ล่ะก็…”
อัลเฟรดเลื่อนคมมีสัมผัสผิวลำคอของโคล่าส่วนที่ไม่ได้ถูกสวมหน้ากากจนเลือดไหลออกมา เป็นคำพูดเชิงข่มขู่ที่น่าจะได้ผลดีทีเดียว
“ไม่ยอมหรอก…”
แต่… นั่นเป็นในกรณีโคล่ารักชีวิตตัวเองมากกว่าเป้าหมายและพวกพ้อง
“ไม่ต้องทำตามที่มันพูด… ทิ้งผมไปซะ” โคล่าพูดเสียงแข็งแต่มีความสะเทือนในน้ำเสียง
“อย่าให้ความฝันของคุณพ่อหายไปนะ… พวกนาย… ต้องสานต่อมันนะ แทนส่วนของผมด้วย”
ริมฝีปากภายใต้หน้ากากของโคล่าเปิดขึ้นราวกับเป็นแรงเฮือกสุดท้าย เสียงอันสั่นเครือของเขาแบกรับความรู้สึกแรงกล้าขนาดไหนไว้เห็นทีก็คงจะมีแต่ผู้เข้าร่วมศึกด้วยกันเท่านั้นที่รู้
ทว่า… คนที่เป็นห่วงพวกพ้องไม่ได้มีแต่โคล่าผู้กล้าหาญเพียงฝ่ายเดียว
“เข้าใจแล้ว พวกเราจะถอย”
“แก้งก้า!”
“คนเจ็บน่ะหุบปากไปเถอะ!”
แกงก้าตะโกนสวน เขาไม่มีตัวเลือกอื่นตั้งแต่แรกแล้ว
จากสถานการณ์ที่เสียเปรียบในด้านจำนวนและยุทธวิธี ทั้งยังจะเสียพรรคพวกไปอีกคน ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเสียเปรียบอะไรต่อจากนี้อีก ประเมินแล้วยังไงการถอยทัพก็เป็นสิ่งที่ควร
และที่สำคัญ… พวกอัลเฟรดยังไม่แม้แต่จะเปิดใช้ตราของตัวเองเพื่อเพิ่มพลังเลยด้วยซ้ำ ผลลัพธ์ในตอนนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกตนด้อยกว่า
แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายวางแผนอะไรอยู่ถึงไม่ฆ่าโคล่าทิ้ง เพราะทำแบบนั้นน่าจะข่มขู่คนที่เหลือได้ดีกว่า
แต่แกงก้าก็เลิกคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เพราะมีเรื่องสำคัญกว่า
“คิดว่าเอาตัวเข้าแลกแล้วตาแก่จะเห็นด้วยรึไง”
“แกงก้า…”
“พวกเรายอมแพ้แล้ว… พวกเราจะทำตามที่นายบอก ช่วยไว้ชีวิตหมอนั่นด้วย วลาด”
แกงก้าโยนอาวุธทิ้งเพราะไม่มีอะไรจะเสีย ต่อให้ถูกฆ่าทิ้งก็คงไม่แปลกเลยด้วยซ้ำ
สถานการณ์และความสามารถของทั้งสองฝ่ายต่างกันมากถึงขนาดนั้น เขารู้สึกเหมือนเป็นไอ้ไง่ที่เพิ่งมาตระหนักเรื่องนั้นเอาป่านนี้
ทางอัลเฟรดเองได้ยินแล้วก็พยักหน้าอย่างพอใจ เขาทำให้เลือดที่แข็งตัวเป็นหอกกลับไปเป็นของเหลว ร่างของโคล่าที่กำลังจะล้มลงได้แกงก้าวิ่งเข้ามาพยุงไว้
เพื่อนพ้องอีกสองคนที่โยนอาวุธตัวเองทิ้งเข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน
แกงก้ากับอัลเฟรดส่งสายตาหากันปานจะบอกว่า ‘พอใจแล้วใช่ไหม’ ก่อนจะค่อยพยุงร่างของโคล่าออกไปนอกอาคาร
ทางโคล่าเองก็ได้แต่แสดงท่าทีเจ็บใจ แต่มันก็ช่วยไม่ได้
“ปล่อยไปง่าย ๆ แบบนี้จะดีเหรอวะ?” ริวเดินเข้ามาใกล้อัลเฟรด กอดอกด้วยท่าทางหงุดหงิด
“แหม ๆ ยังไม่ชินอีกเหรอ ถามจริงดิ?” มิวยิ้มเยาะราวกับตั้งใจจะหยอกอัลเฟรด แต่แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่คิดอะไร
ไดอาก็ได้แต่หัวเราะ ฮุฮุ! ออกมาปานรู้ใจอัลเฟรด
พวกเขามองกลุ่มสี่คนนั้นเดินออกจากตัวอาคารไป
ในระหว่างที่ทุกคนสนใจแผ่นหลังของศัตรูที่เดินออกไปจากตัวอาคาร อัลเฟรดก็คิดบางอย่างอยู่ในหัวคนเดียวราวแก้ตัวกับเพื่อนพ้องของตัวเอง
ช่วยไม่ได้นี่นา… ก็ ‘ท่านผู้นั้น’ไม่ชอบความรุนแรงนี่นา
จะให้ขัดความปรารถนาของ ‘ท่านผู้นั้น’ได้ยังไงล่ะจริงไหม
อัลเฟรดมองเหลียวหลังไปคนละทิศกับทุกคน
ได้แต่ยิ้มขมอยู่ภายใต้หน้ากากโดยที่ไม่มีใครรู้
ในตอนนั้นไดอาก็เดินเข้ามาตบไหล่อัลเฟรดเข้าให้
“แต่ถือว่าโชคดีนะที่อีกฝ่ายยังไม่สังเกตเรื่องที่ว่านายมีไนท์สองอย่าง” ไดอาว่าแล้ว หมิงเซียนก็พยักหน้าตาม
“ก็ถ้าเป็นแบบนั้นคงปล่อยไว้ไม่ได้หรอก”
“นั่นสินะครับ”
อัลเฟรดเองก็พยักหน้ารับ รู้สึกโล่งใจที่มันไม่เป็นแบบนั้น
แต่ถ้าเกิดสถานการณ์กลายเป็นดังว่าเขาก็หาได้ลังเลที่จะสังหารอีกฝ่ายไม่ เพราะข้อมูลนั้นคือไพ่ตายของตัวเขา
ในบรรดาแวมไพร์สายเลือดแท้นั้นการมีไนท์คือสิ่งปกติ
ทว่าในบรรดาแวมไพร์ทั้งหลายโดยเฉพาะเหล่าขุนนางจะมีการสืบทอดไนท์มาจากต้นตระกูลแรกสุดจากรุ่นสู่รุ่นอีก เรียกได้ว่าสิ่งแตกต่างระหว่างสามัญชนกับขุนนางของเหล่าผีดูดเลือด ก็คือความแข็งแกร่งในรูปแบบที่เรียกว่า ไนท์ที่สืบทอดทางสายเลือด นั่นเอง
ผู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นั่นคือความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่นำมาใช้ปกครองในระบบขุนนางของอาณาจักรแวมไพร์จนกระทั่งล่มสลายลงเมื่อ 12 ปีก่อน
…ว่ากันว่าสาเหตุที่อาณาจักรแวมไพร์ถูกโจมตีนั้นก็เพื่อกวาดล้างเหล่าขุนนางที่มีพลังมากเกินไปจากการที่มีไนท์ถึง 2 ชนิดเองก็มี
และดูเหมือนมันจะได้ผลไม่น้อย เพราะ ‘ส่วนใหญ่’ ก็สูญสิ้นชีวิตไปเมื่อครานั้นสมปรารถนาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี
“เสียเวลามากพอแล้ว… จะเริ่มบุกอินดรานีเซียได้ยัง?” หมิงเซียนเอ่ยน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจ แต่นั่นเป็นน้ำเสียงปกติของเธอ
อัลเฟรดที่หวนนึกถึงเรื่องในอดีตเลยดึงสติตัวเองกลับมาก่อน
“แล้วไม่รอพวกชินเหรอ?” ไดอาชี้ไปทางที่พวกชินแยกตัวออกไป แต่ทุกคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน โดยเฉพาะริว
“เกวนน่ะอาจใช่ แต่จะเป็นห่วงพวกคนที่เก่งกว่าตัวเองไปทำไมล่ะ” ริวท้าวสะเอว
ท่าทางเหมือนหงุดหงิดก็จริง แต่ก็พูดออกมาแบบเดียวกับที่ทุกคนคิด แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็ไม่ได้ทึ่มตามรูปลักษณ์ภายนอกที่เหมือนนักเลง
จากท่าทางนั้นของทุกคน แม้จะมั่นใจในความสามารถของตัวเองที่สามารถเอาชนะศัตรูได้อย่างท่วมท้นและในระยะเวลาอันสั้นแค่ไหน กระนั้นหากเปรียบกับแองกริคราวน์ก็ยังไม่กล้าจะทำได้
ในสายตาของทุกคน… ดูเหมือนแองกริคราวน์จะเป็นตัวตนที่เหนือไปอีกมิติ แต่นั่นก็แค่มุมมองของคนที่ไม่เคยสัมผัสเขาจริง ๆ เท่านั้น
เพราะพลังที่แองกริคราวน์… พลังที่ชินมีมันไม่ใช่แค่นั้น
“งั้นพวกเราคงต้องล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวทางนั้นชนะแล้วก็คงติดต่อมาเอง”
หมิงเซียนได้ข้อสรุปว่าไม่ต้องเป็นห่วงพวกชิน ความเห็นตรงกับทุกคนที่พยักหน้าตอบ
ทั้งกลุ่มจึงวิ่งตามติดกันไปยังเป้าหมายดั้งเดิม นั่นคือการพิชิตอินดรานีเซียในค่ำคืนนี้
❖❖❖❖❖
ในอีกด้านหนึ่ง…
ขณะที่พวกอัลเฟรดและชินกำลังประจันหน้ากับศัตรูที่ขวางทาง กองกำลังสุดท้ายของออสตราเลียก็กำลังประจันหน้าอยู่กับอัศวินของราชาอันดับ 1
ฟุ่บ!
เสียงวัตถุบางอย่างวิ่งผ่านอากาศดังขึ้นเป็นพัก ๆ
ในสนามรบที่เต็มไปด้วยเสียงลั่นไกของปืนจำนวนมากราวกับอยู่ในทุ่งสงคราม แม้ความจริงแล้วที่นี่เป็นเพียงห้องโถงของห้างสรรพสินค้าร้างก็ตาม
และทุกครั้งที่เสียงนั้นดังขึ้น เสียงลั่นไกของปืนจะหายไปกระบอกนึงเสมอ
ทิ้งไว้แต่โลหิตสีแดงฉานสาดกระจายไปทั่วบริเวณจากเจ้าของปืนกระบอกนั้น
“ทะ ทำไมกัน!!! มันมาแค่คนเดียวเองแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้———”
ชายสวมชุดเกราะพูดยังไม่ทันจบศีรษะของเขาก็หลุดออกจากบ่าหล่นลงพื้นเสียง
เหล่าเพื่อนพ้องเห็นต่างขาสั่น บ้างก็วิ่งหนีไปด้วยความกลัว
แต่คงจะโทษกันไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายเดินเข้ามาราวกับไม่เกรงกลัวสิ่งใดนั้น เขาผู้นั้นแข็งแกร่งราวกับเทพเจ้าก็มิปาน
ชายคนนั้นร่างสูงประมาณ 180 ซม. สวมหน้ากากหนังปิดบังครึ่งใบหน้า
ใบหน้าท่อนบนเป็นหน้ากากหัวกะโหลก บริเวณหัวกระโหลกมีกระเปาะเข็มฉีดยาฝังอยู่แทนเส้นผม ทั่วทั้งศีรษะของหน้ากาก
เขาเดินเข้าหาศัตรูอย่างไม่ยำเกรงสิ่งใด กระสุนที่ศัตรูยิงมาไม่อาจกระทบผิวกายของเขาได้ เพราะก่อนที่จะถึงตัว มันก็ถูกปัดกระเด็นออกไปก่อนราวกับมีบาเรียขวางกั้น
และพริบตาที่เข้าใกล้ศัตรูก็จะมีหัวหนึ่งปลิวว่อนอากาศทุกครั้งไป
นี่คือสถานการณ์รบปัจจุบันทางฝั่งออสตราเลียที่ราชาอันดับ 7 กำลังเผชิญหน้ากับอัศวินของราชาอันดับ 1
จากขีดความสามารถของตราราชันย์ที่อัลเฟรดอธิบายเรื่องของตราอัศวินว่าราชันย์นั้นแต่งตั้งอัศวินได้เพียง 2 คนบวกด้วยจำนวนของอาณาเขต แต่ในสงครามจริงนั้นไม่ได้มีกฎห้ามจ้างคนอื่นนอกจากอัศวินมาเป็นกำลัง ซึ่งทางราชาของออสตราเลียเองก็ใช้วิธีการจ้างกลุ่มมือปืนและทหารรับจ้างมาช่วยในการสงครามยามค่ำคืนนี้ด้วย
ในศึกครั้งนี้ ทางราชาอันดับ 7 มีกำลังพลสำรองไว้ในห้างสรรสินค้าซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายมากกว่าร้อยคนเลยทีเดียว
ทว่า… เรื่องน่าตกใจก็คือทางฝั่งราชาอันดับ 1 นั้นกลับส่งมาเพียงแค่คนเดียว
และเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ กองกำลังที่มีจำนวนเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดของออสตราเลีย เหลือเพียงไม่ถึง 20 คนแล้วด้วยซ้ำในตอนนี้
“นี่น่ะเหรอ… อัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดของราชาอันดับ 1”
ผู้ปกครองออสตราเลียผู้ซึ่งเป็นลุงวัยกลางคนร่างกำยำได้แต่เหงื่อตกด้วยความหวาดกลัว แม้จะมองผ่านมอนิเตอร์ของห้องในสุดก็ตาม
กิตติศักดิ์ของศัตรูนั้นข้ามทะเลมาก่อนเจ้าตัวเสียอีก อาจเพราะแบบนั้นความหวาดกลัวถึงแล่นเข้าสู่สมอง
เพราะความแข็งแกร่งนั่นไม่เกี่ยวเลยว่าอีกฝ่ายจะมีจำนวนเท่าไร และอาจไม่เกี่ยวด้วยซ้ำว่าเป็นตราอัศวินที่หาญสู้กับราชาทั้งที่ไม่น่าเป็นไปได้
ความหวาดกลัวยิ่งมากขึ้นเมื่อเทพอสูรตนนี้เดินเข้ามาใกล้กับห้องที่เขาอยู่
เขาตระหนักด้วยสัญชาตญาณทันทีว่าตราราชันย์ของตัวเองไร้ประโยชน์เมื่อเผชิญหน้ากับเทพเจ้า
“ลาก่อนนะ… ลูก ๆ ของฉัน”
นั่นคำภาวนาสุดท้ายของราชาผู้หวาดกลัวความตาย ได้แต่หวังว่ามันจะส่งไปถึงเหล่าลูกชายลูกสาว
ก่อนที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อันเป็นฐานที่มั่น จะถูกพลังปริศนาฉีกกระชากบดเป็นชิ้น
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION