ชินและโอลิเวียออกมาจากจุดเกิดเหตุราว 500 เมตร พวกเขาเปิดแผนที่ผ่านจอมอนิเตอร์หลังหน้ากากเพื่อเช็คเส้นทางที่นัดแนะไว้ก่อนหน้านี้ แล้วรีบกระโดดพุ่งไปถึงจุดหมายราวกระต่ายหมายจันทร์ในเวลาไม่นานนัก
อาคารขนาดใหญ่รูปทรงโค้งคล้ายครึ่งวงกลมดูตระการตา ด้านหลังของตึกเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเครื่องบินหลากหลายประเภทตั้งแต่โดยสารไปจนถึงขนส่ง และแม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ทั่วทั้งบริเวณก็ยังคงส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา เป็นสนามบินที่มีชื่อว่า ‘สนามบินดอนเมือง’
มีการเฝ้ายามอย่างแน่นหนาทั่วทุกสารทิศ แต่จากข้อมูลที่อัลเฟรดให้มา ดูเหมือนจะมีจุดนึงที่เขา ‘ตระเตรียม’ ไว้แล้วจึงสามารถเข้ามาภายในได้โดยง่าย
อนึ่ง แม้จะไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นชินกับโอลิเวียก็ลอบเข้ามาได้ แต่ชินก็เลือกเข้ามาตามคำแนะนำของอัลเฟรด เพราะอย่างไรเสียเขากับโอลิเวียก็เป็นกำลังรบสำคัญ อัลเฟรดคงไม่ได้วางแผนชุ่ย ๆ มาให้ทั้งสองคนโดนจับได้แน่
ด้วยเหตุดังกล่าว ชินกับโอลิเวียเดินพ้นเข้ามาในสนามบินบริเวณรันเวย์สำหรับเครื่องบินส่วนตัวซึ่งเป็นสถานที่นัดหมายได้อย่างง่ายดาย
อัลเฟรด ไดอา ริว หมิงเซียนและเกวน
ทุกคนต่างรออยู่ข้างเครื่องบินขนาดเล็กที่มีบันไดขึ้นเครื่องเตรียมไว้ก่อนแล้ว พวกเขาอยู่ในชุดพร้อมรบสวมหน้ากากของตัวเองเหมือนครั้งที่ชินพบพวกเขาครั้งแรก
และสำหรับอัลเฟรดก็เป็นแบบที่ว่าเช่นกัน เพราะเขายังคงเป็นคนเดียวที่ไม่ได้สวมหน้ากาก
พอเห็นชินในร่างของแองกริคราวน์เดินเข้ามาใกล้อัลเฟรดก็โบกมือเรียกทันที
“หนีมาได้จริง ๆ ด้วยนะครับเนี่ย สมแล้วจริง ๆ ครับ” อัลเฟรดส่งเสียงร่าเริงตามเคย
ชินเลยพยักหน้ารับเบา ๆ แบบไม่อยากคิดมาก แต่ก็เพราะเขากำลังพินิจพิเคราะห์เครื่องบินตรงหน้าอยู่ด้วย
“มีเครื่องบินส่วนตัวด้วยงั้นเหรอ?” ชินหันหน้ามองอัลเฟรดพร้อมกับโอลิเวีย
“ก็นะ… พอดีใช้เส้นสายนิดหน่อยน่ะครับ” อัลเฟรดว่าพลางยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ไม่ปรากฏความยินดียินร้ายเหมือนเคย
อนึ่ง เครื่องบินที่อยู่ตรงหน้าชินดูเหมือนจะเป็นรุ่นล่าสุด ทั้งเทคโนโลยี การออกแบบและประสิทธิภาพ ชินเคยได้ยินว่าความเร็วสูงสุดของเครื่องบินลำนี้สามารถขนส่งคน 10 คนข้ามซีกโลกได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น
อย่างในกรณีการขนส่งคนจำนวนน้อยเพื่อสู้รบกะทันหันดังเช่นตอนนี้ คงไม่มีเครื่องบินลำไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว
ไม่สิ… ยิ่งกว่าอุปกรณ์พวกนี้ คือท่าทีของบุคลากรต่างหาก
ชินสังเกตท่าทางอันเป็นปกติของพนักงานสนามบินที่เข้ามาช่วยจัดการเรื่องน้ำมัน รวมถึงตรวจสอบความสมบูรณ์ของเครื่องบินแล้วรู้สึกแปลก
เพราะพนักงานเหล่านี้เป็นคนธรรมดา มองในแง่นั้น ตอนนี้ผู้โดยสารของพวกเขาทุกคนกำลังสวมหน้ากากแปลก ๆ แถมยังพกอาวุธติดตัวครบมืออีก แต่กลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกหรือแปลกใจเลย
ซึ่งหากคนเหล่านี้เป็นคนรู้จักส่วนตัวของอัลเฟรดก็คงไม่น่าแปลกใจ
แต่ความจริงคือเป็นชินต่างหากที่รู้จักพนักงานเหล่านี้ดี… ชินมีข้อมูลของพนักงานเกี่ยวกับสายการบินที่นี่ทุกคนรวมถึงประวัติทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง
และแน่นอนว่าไม่มีจุดเชื่อมโยงกับอัลเฟรดเลย พวกเขาเป็นแค่พนักงานธรรมดา
ปฏิกิริยาปกติที่พวกเขาทำงานดังกิจวัตรที่ทำอยู่ทุกวันนั่นน่าแปลก จนทำชินหวนนึกถึงการสนทนากับอัลเฟรดเรื่องที่ตราราชันย์สามารถควบคุมผู้คนในเขตประเทศตัวเองได้
การได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าพลังนี้มีอยู่จริง
แต่…
ทว่า… การได้ฉุกคิดเรื่องนี้ก็ทำให้ชินนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
แต่ถ้าพลังของตราราชันย์มันสะดวกชนาดนี้
แล้วทำไมถึงไม่ใช้พลังนี้กับพวก J.S.F. กัน?
ชินคิดอย่างระแวดระวังขณะมองอัลเฟรดเดินนำกลุ่มขึ้นเครื่องบิน
พอเห็นกัปตันในห้องคนขับก็ยิ่งสนับสนุนความคิดของชิน เพราะเขาสวมชุดทหารอากาศของเขตที่ 66 นี้อยู่
แต่ความสงสัยนั้นอาจต้องพับเก็บไปก่อน เพราะตอนนี้มีภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่า
“ฝากด้วยนะครับ”
อัลเฟรดกล่าวสั้น ๆ หลังทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย นักบินพยักหน้ารับคำด้วยท่าทีสงบเงียบขรึม ก่อนจะเริ่มขึ้นบินตามรันเวย์
…ไปยังสนามรบที่กำลังคุกรุ่นในต่างแดน
❖❖❖❖❖
ในอีกด้านหนึ่ง ภายในห้องอันแสนมืดมิดซึ่งไม่ปรากฏเฟอร์นิเจอร์ใด ๆ
สิ่งที่สังเกตเห็นได้ มีเพียงมนุษย์จำนวน 5 คนเพราะยืนอยู่หน้าจอขนาดใหญ่จึงถูกแสงตกกระทบ
ตรงกลางคือเด็กสาวร่างเล็กราวกับเด็ก ม.ต้น เธอนั่งหลังตรงบนเก้าอี้สีทองดูหรูหราด้วยท่าทางดูแก่นแก้วสมวัย ทว่าแววตาคมกริบที่จ้องมองเข้าไปในจอกลับน่ายำเกรงเสียมากกว่า
ดวงตาสีทองเรือนผมสีดำสนิท ถูกเกล้าอย่างเรียบร้อย ด้วยรูปร่างที่เล็กและบอบบาง และใบหน้าน่ารักได้รูป รวมถึงผิวขาวนวลเหลืองอันน่าหลงไหล ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่าเธออาจเป็นตุ๊กตาตั้งโชว์มากกว่าคนจริง ๆ
ส่วนอีก 4 คนที่อยู่ด้านหลังทุกคนยืนตรงราวกับเป็นการ์ดให้กับสาวน้อย ทุกคนมีจุดร่วมคือชุดเกราะ แต่มีจุดแตกต่างเล็กน้อยคือขนาด ความหนา สีสันและที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือหน้ากาก จากซ้ายไปขวาอันได้แก่ หนู วัว มังกรและลิง ซึ่งต่างเป็นหน้ากากที่ถูกเขียนโดยพู่กันลายเส้นจีน
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะติดต่อมาเองนะครับเนี่ย ‘ท่านฮ่องเต้’ ”
เสียงใสเกินกว่าจะเป็นผู้ชายดังออกมาจากภาพที่ถูกฉายอยู่ด้านหน้าของเด็กสาว
เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูค่อนข้างสุภาพ มีผมสีบลอนด์สะท้อนแสงพร้อมด้วยดวงตาสีเขียว
สีหน้าของเขายิ้มอย่างมีเลศนัยเมื่อมองมาทางจอและสบตากับเด็กสาว กระนั้นเด็กสาวก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เธอยิ้มตอบกลับอย่างสุภาพ
“แหม ๆ… ก็แค่อยากยืนยันว่าคืนนี้คุณจะไม่เข้ามาจุ้นก็เท่านั้นเองค่ะ ที่บอกว่าจะเปลี่ยนใจมาออสตราเลียเป็นแค่ข่าวลวงอย่างที่คิดจริง ๆ สินะคะ”
เด็กสาวผู้ถูกเรียกว่าฮ่องเต้พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแต่แอบปากคอเราะร้าย ไม่ว่าจะด้วยท่าทางหรืออย่างไร แต่สำหรับอำนาจที่เธอถืออยู่ในมือก็สมควรจะเรียกเธอเช่นนั้น
เด็กหนุ่มในจอได้ยินก็ยักไหล่เบา ๆ แม้จะถูกครหาว่ากำลังผิดสัญญาแต่ก็ไม่ได้คิดมาก
“คุณเองก็เถอะนะ เห็นว่าหนึ่งในอัศวินที่ภูมิใจนักหนาพลาดท่าให้กับแองกริคราวน์ที่กำลังล่าค่าหัวโดยบังเอิญสินะครับ โชคไม่เข้าข้างเอาซะเลยนะครับเนี่ย”
เด็กหนุ่มสวนด้วยรอยยิ้มกลับไปราวเอาคืน แต่เด็กสาวก็ไม่เปลี่ยนท่าทีและสีหน้า
…แม้ว่าในหัวจะอยากหยิบปืนขึ้นมาเป่ากบาลไอ้หนุ่มปากดีตรงหน้าแค่ไหนก็ตาม เพราะสุดท้ายเขาก็อยู่ห่างไปกว่าหมื่นลี้
เด็กสาวจึงทำได้แค่ถอนหายใจปรับอารมณ์ตัวเอง
“เรื่องนั้นคงไม่อาจแก้ตัว… ยังไงก็แล้วแต่ อย่าให้ฉันเห็นล่ะว่าคุณส่งคนมาแทรกแซงศึกคืนนี้” เด็กสาวหันมาทวงสัญญาอีกรอบ แต่เด็กหนุ่มได้ยินแล้วกลับยิ่งแฉ่ง
“แหม่ ๆ พูดแบบนี้ยังกับจะบอกว่าถ้าพวกเราเข้าร่วมศึกคืนนี้แล้วคุณจะแพ้ยังงั้นแหละครับ ยังไงกันนะ”
“เข้าใจผิดแบบนั้นก็แย่สิคะ… ฉันแค่ยังไม่อยากขยี้พวกคุณในเร็ววันนี้เท่านั้นเอง อย่าบังคับให้สาวน้อยน่ารักแบบดิฉันต้องทำเรื่องโหดร้ายเสียตอนนี้เลยนะคะ”
ทั้งสองคนจ้องตากันเขม็งเฉือดเฉือนทางวาจาต่างใบมีดอย่างไม่มีใครยอมใคร
แต่แล้วจู่ ๆ ทางเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะยิ้มแป้นออกมาอีกรอบ
“วางใจเถอะครับ ผมเองก็ยุ่งกับเขตแถวอมาริโกใต้อยู่พอสมควร แถมศัตรูตัวฉกาจอย่างราชาอันดับที่ 1 ยังเข้าร่วมศึกนี้ด้วย ผมยังไม่อยากสร้างข้อขัดแย้งกับหมอนั่นหรอกนะ”
“ได้ยินแบบนั้นฉันก็ดีใจแล้วค่ะ”
เด็กสาวยิ้มแป้นออกมาอีกครั้งราวกับได้คำตอบที่ต้องการ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นรอยยิ้มเสแสร้ง
เสร็จสิ้นธุระสัญญาณของทั้งสองก็ตัดขาดจากกันไป ภาพของเด็กหนุ่มหายไปจากจอเรียบร้อยแล้ว…
ให้ตายสิ… เป็นผู้ชายที่น่ารังเกียจจริง ๆ
เด็กสาวบ่นอุบอยู่ในใจ
“ท่านคะ… แล้วจะเอายังไงกับคืนนี้ดีคะ?” เสียงหญิงสาวดังมาจากข้าง ๆ เจ้าของเสียงนั้นคือคนที่สวมหน้ากากหนู คำถามนั่นทำให้เด็กสาวขมวดคิ้ว
“ศัตรูอันดับหนึ่งคือราชาอันดับที่ 1 อย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ… การยึดออสตราเลียกับอินดรานีเซียในคืนเดียวอาจจะลำบากกว่าที่คิดเพราะมีศึกย่อยหลายศึก แต่ยังไงเราจะเสียจุดนั้นไปไม่ได้เด็ดขาด”
เด็กสาวตอบในทันที เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่อาจเปลี่ยนกำหนดการได้แม้มีตัวแปรที่น่ากังวลเข้ามาร่วมศึกก็ตาม
และราวกับรู้ใจ ชายร่างยักษ์ผู้สวมหน้ากากมังกรเอ่ยถามเด็กสาวต่อในทันทีว่า
“แล้วแองกริคราวน์ล่ะครับ?”
พอเด็กสาวได้ยิน เป็นครั้งแรกที่เธอสูญเสียความเยือกเย็นไปแวบนึงจนคิ้วกระตุก
“ไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังทำงานให้ใครและอยู่ในสถานะอะไร… แต่จากที่หู่ (เสือ) เล่าให้ฟัง ดูเหมือนโอกาสที่เขาจะมาบุกยึดออสตราเลียตอนนี้ค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าเป็นอินดรานีเซียก็ไม่แน่ เพราะเจ้าอันดับ 2 ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกันก็มีความเป็นไปได้ว่าจะบุกที่นั่น”
“งั้นสินะครับ” ชายสวมหน้ากากมังกรโค้งคอรับคำ
แต่เด็กสาวยังคงครุ่นคิด เพราะสิ่งที่ออกมาจากปากมีแต่ความเป็นไปได้จากการคาดเดา หาใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเพราะรู้ข้อมูล
ยังไงก็ตาม เขาก็ยังเป็นตัวแปรที่ไม่มีใครคาดเดาได้ในศึกครั้งนี้อยู่ดี
พูดตามตรง… เราคาดการณ์การกระทำของเขาไม่ได้เลย แต่จะแสดงท่าทีแบบนั้นในฐานะผู้นำให้ทุกคนเห็นไม่ได้
แองกริคราวน์… นักฆ่าและนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งของโลกคนนั้น ดันถลำลึกเข้าสู่โลกทางนี้ที่เราอยู่ซะได้
ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น เราคงไม่ต้องกังวลถึงขนาดนี้แล้วแท้ ๆ
เด็กสาวเปลี่ยนท่านั่งเอนหลังพิงพนักให้สบายใจขึ้น
แต่ก็เอาเถอะนะ… ในเมื่อเป็นแบบนี้โอดครวญไปก็เท่านั้น
เด็กสาวยอมแพ้ในความเป็นไปได้ ความกังวลไม่หายไปแต่ก็ยังมีแผนรับมือ
…และแม้ในใจจะกังวล แต่รอยยิ้มของเธอกำลังฉีกขึ้นเล็ก ๆ โดยเธอเองก็ไม่รู้ตัว
แองกริคราวน์… ถ้าได้เจอคุณล่ะก็…
ฉันจะขอเป็นคนขยี้คุณกับมือและคว้าอันดับหนึ่งมาครองแทนให้เอง
เด็กสาวเนื้อเต้นใจสั่น ความกังวลที่มีแปรเปลี่ยนเป็นความกระหาย
เด็กสาวกำมือแน่นสะท้อนแสงสลัวจากนอกหน้าต่าง …เผยตราราชันย์หลังมือขวาของเธอที่มีสัญลักษณ์ว่า ‘IV’
ราชาอันดับ 4 ฮ่องเต้ผู้นี้มีความกระหายที่จะชิงอันดับหนึ่งทั้งในฐานะราชาและโลกเบื้องหลัง สีหน้ารอยยิ้มของเธอแสดงออกเช่นนั้นไม่ยอมใคร
โดยเฉพาะกับตำนานมีชีวิตอย่างแองกริคราวน์
กับมุมมองของคนอื่นยกเว้นตัวเอง… ชินคือตัวตนสุดยอดถึงเพียงนั้น และมีค่าเพียงพอให้ประมือและเอาชนะอย่างยิ่งยวด
เพราะการเอาชนะชินที่ถูกขนานนามว่าอันดับหนึ่งได้ นั่นหมายถึงอำนาจและชื่อเสียงในโลกมืดจะตกเป็นของคน ๆ นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ความมืดในอีกแง่มุมที่อยู่เหนือระยะสังเกตของชินจึงเริ่มคลืบคลานเข้าหาเขาอีกครั้ง
โดยที่เขาไม่อาจคาดการณ์ได้แม้แต่น้อย
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION