“โทษทีนะที่ทำลายบรรยากาศ” ชินพูดหน้านิ่ง ไม่ได้ก้มหัวเลยแม้แต่น้อยเพราะลึก ๆ ก็รู้ตัวอยู่ว่าเขาไม่ได้ผิด
และแน่นอนว่าไม่มีใครโทษเขาด้วย อัลเฟรดส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่ได้คิดมาก
“ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกนะครับคุณชิน วันนี้ผมกะแค่มาบอกเป้าหมายต่อไปเฉย ๆ น่ะครับ แต่แผนการที่ใช้ได้จริงยังไม่สะเด็ดน้ำดีหรอกครับ เพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว แต่ถึงจะเปลี่ยนแผน เป้าหมายก็ไม่ได้เปลี่ยนหรอกนะครับ”
“งั้นเหรอ? แล้วเป้าหมายคือที่ไหนล่ะ?” ชินออกน้ำเสียงสนอกสนใจเป้าหมายที่ว่า
อัลเฟรดเลยพลอยยิ้มพอใจออกมาด้วย
“เขตที่ 62 ครับ”
คำตอบของอัลเฟรดทำให้แผนที่ของประเทศดังกล่าวลอยเข้ามาในหัวของชิน
อินดรานีเซีย… ประเทศที่มีหมู่เกาะจำนวนมากที่สุดในโลก
ประเทศเขตนั้นตั้งอยู่ตอนใต้ของเขต 66 ที่เราอยู่ตอนนี้นี่เอง
“ศึกชิงดินแดนที่พวกเรากำลังทำอยู่ไม่ใช่สงครามแย่งชิงอาณานิคมแบบค่อย ๆ รุกคืบ แต่เป็นแบบยึดทีเดียวทั้งประเทศใช่ไหมล่ะครับ”
“อ่าห๊ะ”
ชินพยักหน้าให้อัลเฟรด เขาคงพยายามจะทวนข้อมูลให้ชินอีกรอบ
แต่แน่นอนว่านั่นเกินความจำเป็น
“เข้าใจล่ะ”
ชินพูดขึ้น อัลเฟรดกับไดอาก็เบิกตาเลิกคิ้ว ทั้งที่ชินยังพูดไม่ทันจบ
“เพราะอาณาเขตเป็นเกาะจำนวนมาก หากศัตรูจะเข้ามายึดครองก็ต้องใช้เวลาและแบ่งกำลังพลมากขึ้น นั่นเพราะไม่รู้ว่าผู้ปกครองที่ต้องโค่นเพื่อยึดดินแดนนั้นอยู่ที่เกาะไหนกันแน่ เวลาและโอกาสที่เสียไปนั้นจะทำให้ฝ่ายตั้งรับได้เปรียบมหาศาล”
“สมแล้วจริง ๆ ครับคุณชิน”
อัลเฟรดปรบมือให้กับข้อสันนิษฐานของชิน ทุกอย่างที่ชินพูดออกมาตรงกับที่เขากำลังจะอธิบายให้ฟัง 99% เปอร์เซ็นต์
แต่ถึงแบบนั้น ชินก็ยังจับคางครุ่นคิดติดใจอยู่
ก็จริงที่เขต 62 นั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มองข้ามไม่ได้
แต่ก็ด้วยความที่มันเป็นจุดตั้งรับที่มีเจ้าของแล้ว การเข้าไปยึดครองก็ย่อมเป็นเรื่องยากด้วยเหมือนกัน
แถมเขต 62 ก็มีเกาะตั้ง 17,000 กว่าเกาะ
จะให้ค้นทุกเกาะเพื่อหาผู้ปกครองดินแดนน่ะมันทำไม่ได้ในทางปฏิบัติหรอก
แล้วถ้าจำไม่ผิด… ความสามารถของผู้ที่ปกครองดินแดนคือสามารถรู้ตำแหน่งของศัตรูไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีตราหรือไม่ก็ได้ด้วย
เวลามีผู้บุกรุกเข้ามา ถ้าไม่มีแผนการล่อซื้อก็ต้องรีบเข้าไปกำจัดอยู่แล้ว
พูดง่าย ๆ ว่าฝ่ายบุกเสียเปรียบเต็มประตู… ไม่ว่ากรณีไหนเจ้าบ้านก็จะรู้ตัวและมีสิทธิเข้ามาลอบโจมตีได้ก่อน
การเข้าไปแล้วควานหาตัวผู้ปกครองดินแดนไม่ใช่แผนที่ดีเลย
งั้นก็แสดงว่า…
“นายรู้ที่อยู่ของผู้ปกครองดินแดนเขต 62 แล้วสินะ”
“แหม่! คะแนนเต็มเลยคร้าบคุณชิน!”
อัลเฟรดชูนิ้วโป้งทั้งสองมือมาทางชินยังกับจะบอกว่า ‘ถูกต้องแล้วคร้าบ!’
ท่าทางอวยยศกันขนาดนั้นทำเอาชินเหงื่อตกเหมือนกัน โอลิเวียก็บ้าจี้ปรบมือให้ชินช่วยอัลเฟรดอีก
…และที่น่าตลกกว่านั้นคือเกวนก็ปรบมือเชียร์ชินตามด้วย
“ตามนั้นเลยครับ แผนการคร่าว ๆ ก็คือเราจะบุกไปจัดการเป้าหมาย ซึ่งเรารู้ทั้งที่อยู่และตัวจริงอยู่แล้ว” อัลเฟรดขยายความ
“แต่ว่า…”
อัลเฟรดชูนิ้วชี้ขึ้นมา เขาปรับน้ำเสียงทีเล่นทีจริงเป็นจริงจัง
“เพราะสถานการณ์โดยรวมตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว จากเมื่อวานที่มีแองกริคราวน์ปรากฏตัวเข้ามาในศึก พวกเราเลยเคลื่อนไหวด้วยแผนเดิมไม่ได้อีกแล้วน่ะครับ”
อัลเฟรดผายมือมาทางชิน ทำให้ทุกคนหันไปมองตามตัวแปรสำคัญอย่างชินด้วย
สายตานิ่วคิ้วขมวดของทุกคนทิ่มแทงจนชินรู้สึกสงสัย
“เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชินเอียงคอ นอกจากมองอัลเฟรดแล้วก็หันไปมองหน้าทุกคนด้วย
และใช่… ทุกคนยกเว้นโอลิเวียพยักหน้าหงึก ๆ ให้ชินกันหมดทุกคน
ไดอาผู้ที่นิ่งที่สุดยังถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“นั่นน่ะเรื่องใหญ่เลยนะชิน! เธอน่ะเป็นนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ ถ้าเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับศึกชิงบัลลังก์ ราชาทุกคนก็ต้องกังวลอยู่แล้ว ถึงขั้นต้องเริ่มกลัวด้วยซ้ำว่าเธอถูกส่งมาจากราชาคนไหนกันแน่น่ะ ทำเอาแผนของตานี่ปั่นป่วนไปหมดเลยเชียว อ๊ะ! แต่ฉันไม่ได้ติดใจอะไรหรอกนะ”
“…พูดเว่อร์ไปแล้ว”
ชินกอดอกถอนหายใจ ไม่เคยคิดว่าตัวเขาจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ราชาคนอื่นกังวลขนาดนั้น
แต่ช่างน่าเสียดาย… ชินนั้นประเมินตัวเองต่ำเกินไป ดูจากรอยยิ้มเจื่อนของทุกคนก็รู้
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีแต่ข้อเสีย และคนที่มองเห็นโอกาสก็คืออัลเฟรดที่ดันแว่นขึ้นนี่แหละ
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะคุณชินอยู่ฝ่ายเราแล้ว ทำให้อย่างน้อยเราก็มีไพ่เหนือกว่าราชาคนอื่นตรงที่ไม่ต้องกังวลว่าคุณชินอยู่ฝ่ายไหน ส่งผลให้เราตัดสินใจเคลื่อนไหวได้ก่อนใคร”
“ต้องขอบคุณชินสินะคะเนี่ย” โอลิเวียกล่าวเสริม
“แหม มันก็จริงแหละ” ไดอายิ้มแย้มปฏิเสธไม่ได้ การมีชินเป็นพันธมิตรทำให้โล่งใจได้จริง ๆ
“เหอะ…”
ริวพ่นลมออกจมูกไม่สบอารมณ์ ดูเหมือนทุกครั้งที่ชินถูกยกยอปอปั้น เขาก็มีอันต้องรู้สึกพ่ายแพ้จนหงุดหงิดไปเสียทุกครั้ง
ส่วนที่ตรงข้ามเลย คือเกวนที่เดินเข้ามาหาชิน
“อีกอย่างนึง… เพราะช่วงนี้ราชาคนอื่น ๆ เองก็เล็งเขต 62 ไว้เหมือนกันน่ะ พอมีตัวบัคอย่างชินเข้าร่วมด้วย ทุกคนก็คงกระวนกระวายกันไปหมดนั่นแหละ”
เกวนแบะมือออกสองข้าง เป็นเชิงว่าสถานการณ์นี้มันน่าลำบากใจอย่างช่วยไม่ได้
อัลเฟรดผู้เป็นหนึ่งในราชาเองก็เป็นอันต้องถอนหายใจออกมาอย่างหน่าย ๆ ตามเนื้อหานั้นด้วย
“ผมเองก็คาดการณ์การเคลื่อนไหวของราชาคนอื่นมาตลอด แต่เพราะมีจุดเปลี่ยนเกิดขึ้นก็เลยเคลื่อนไหวสั่ว ๆ ไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือจังหวะและจำนวนของศัตรูนี่แหละครับ ผมเลยต้องรอข้อมูลล่าสุดก่อนที่จะคิดแผนใหม่น่ะครับ”
“…เข้าใจที่พูดอยู่หรอกนะ”
ถ้าเกิดมีตัวแปรที่ต้องระวังมากขึ้น ทุกคนก็ต้องคิดแผนกันใหม่
ไม่รู้เลยว่าราชามีทั้งหมดกี่คน และไม่รู้ด้วยว่าแต่ละคนมีอัศวินกี่คน ไม่รู้อีกว่าส่งคนไปสู้ในเขต 62 วันไหน แถมไม่รู้ด้วยว่าจะส่งไปกี่คนและส่งใครบ้าง
ข้อมูลจำนวนมากนั่นเป็นสิ่งที่ต้องรู้ให้แน่ชัดก่อนจะบุกไป
เพราะแม้สงครามนี้จะเหมือนเป็นการประลองแย่งชิงดินแดนมากกว่าการรบจริง ๆ ก็เถอะ แต่การแพ้ชนะมันก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรพวกนั้นด้วย
ไม่สิ… เพราะสู้กันด้วยคนจำนวนน้อยนี่แหละ ถึงยิ่งต้องประเมินสถานการณ์ให้ละเอียดที่สุด ถ้าส่งคนผิดที่ผิดทางไปคนเดียวก็อาจเปลี่ยนผลของสงครามได้เลย
ในทางตรงกันข้าม… หากศัตรูส่งคนมาเผชิญหน้าแล้วเราส่งคนที่แพ้ทางไปสู้ เราก็เสียเปรียบอีก
ไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ นั่นแหละนะ
ชินขมวดคิ้วจับคางครุ่นคิด ตระหนักแล้วว่าข้อมูลทุกวินาทีก่อนเริ่มการโจมตีมีค่ามากจริง ๆ สำหรับศึกชิงดินแดนนี้
ดังนั้น ถ้ายังไม่ถึงเวลาเริ่มแผน ก็ต้องรอกาคาบข่าวส่งข้อมูลให้มากที่สุด จะให้วางแผนอย่างละเอียดตอนนี้เลยจึงนับว่าเร็วไป
“แล้วที่เรียกมานี่คือ?”
ชินหันไปมองอัลเฟรด เพราะเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วยังวางแผนไม่ได้ในวันนี้ เขาเลยไม่เข้าใจว่าอัลเฟรดจะเรียกมาทำไม
ทางอัลเฟรดยิ้มแห้งออกมาอีกรอบ แต่สีหน้าแววตาไม่ได้เสียดาย ออกไปในทางจริงจังด้วยซ้ำ
“ ‘รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ ตอนนี้เรายัง ‘รู้เขา’ ไม่ได้ก็จริง แต่เวลาที่เหลือนี่สามารถใช้ไปกับการ ‘รู้เรา’ ได้นะครับ”
“…เป็นความคิดที่ดี”
ชินยิ้มพอใจกับอัลเฟรดแทบจะทันที
อัลเฟรดยื่นข้อเสนอได้ตรงใจเขาตลอดจนอดสงสัยไม่ได้เลยว่าเป็นแอปเปิลอาบยาพิษรึเปล่า?
แต่มองอีกด้านนึง… การทำความรู้จักกันให้มากขึ้นก็มีข้อดีทั้งเพิ่มความเข้ากันได้ขณะต่อสู้ แถมยังทำให้แผนการมีความหลากหลายมากขึ้นอีก
อัลเฟรดผู้เป็นคนคิดค้นแผนการบุกย่อมต้องอยากรู้เรื่องนั้นแน่อยู่แล้ว
“จะว่าไป… ไนท์ของคุณชินเนี่ย เป็นการ ‘สลายพลัง’ แบบที่เขาเล่าลือกันรึเปล่าครับ?”
“ก็ใช่ล่ะนะ”
นั่นโกหก
ชินคิดอยู่ในใจ และแน่นอนว่าไม่มีทางบอกความจริงทั้งหมด
แต่ถึงไม่ได้บอกความจริง พลังที่บอกไปก็ยังมีประโยชน์พอที่จะให้ทีมนำไปปรับแผนได้ และการรู้แค่ว่าชินสามารถสลายพลังได้ก็ไม่ได้ทำให้ทีมเสียขบวนแต่อย่างไร
ชินเหลียวหลังไปมองโอลิเวียที่ยืนอยู่ข้างหลัง โอลิเวียเข้าใจทันทีเลยขยับเข้ามาอยู่ข้าง ๆ ชิน
“ส่วนดิฉันสามารถใช้เวทมนตร์ของเอลฟ์ได้ครบทั้ง 6 ธาตุค่ะ”
“ “ “โห!!!!” ” ”
ทั้งไดอา เกวน แล้วก็หมิงเซียนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าเท่าไร ต่างทำตาเป็นประกายในทันทีที่รู้ข้อมูลนั้น
เป็นอีกครั้งที่แสดงให้เห็นความเหนือล้ำของโอลิเวีย เจ้าตัวก็ถึงกับยืดอกภาคภูมิใจ แถมยังแอบมองเย้ยเกวนอีกด้วย
และแน่นอนว่าเกวนขมวดคิ้วทำแก้มป่องเบา ๆ ใส่ โชคดีไปที่จบแค่นั้น
“ยอดเลยนะครับเนี่ย… ปกติแล้วเอลฟ์ทั่วไปจะใช้กันได้แค่ 1-2 ธาตุแท้ ๆ”
อัลเฟรดเองก็อึ้งกับความแข็งแกร่งนั้น หากอยู่ฝั่งตรงข้าม โอลิเวียจะต้องเป็นศัตรูตัวฉกาจไม่ต่างจากชินแน่นอน
“แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้นใช่ไหมล่ะห๊ะ?”
ริวกอดอกพูดแทรกขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ ข้อท้วงติงของเขาทำให้ชินกับโอลิเวียขมวดคิ้วมองกันและกัน
ท่าทางริวจะจำได้ว่าโอลิเวียถูกชายสวมหน้ากากเสือโคร่งตัดคอไปแล้ว และไม่มีเวทมนตร์ของเอลฟ์ธาตุไหนสามารถต่อคอที่ขาดแล้วเข้าด้วยกันได้แน่
โอลิเวียผู้ถูกจับผิดมองชินเหมือนขออนุญาต
ใจจริงชินเองก็อยากปิดบังไนท์ของโอลิเวียไว้ แต่ถ้าปล่อยให้พันธมิตรเคลือบแคลงคงจะไม่คุ้มเสีย
“โอลิเวียมีไนท์ที่สามารถฟื้นฟูร่างกายตัวเอง ต่อให้ตายก็สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ด้วย” ชินเปิดเผยอย่างไม่มีทางเลือก
“เป็นงั้นเหรอครับเนี่ย?” อัลเฟรดเงยหน้ามองริวที่อยู่ข้าง ๆ ริวเองก็พยักหน้ารับทันที
“อา… ยัยนั่นคอขาดต่อหน้าต่อตาฉันเลย ถ้ามีพลังแบบนั้นฉันก็ไม่ติดใจแล้ว”
“อูย… หวาดเสียวแทนเลยอ่ะ” ไดอาลูบคอตัวเองทำหน้าเหยเก
เกวนเองก็เหงื่อตกกังวลน่าดู
สายตาเป็นห่วงที่ส่งมายังโอลิเวียทำให้รู้สึกว่าระยะห่างลดลง แม้จะแค่นิดหน่อยก็ตาม
แล้วพอถูกถามก็เป็นมารยาทที่จะมีโอกาสได้เป็นฝ่ายถามบ้าง
ชินหันไปหาริวจนหมอนั่นหันกลับมาทำหน้ายั๊วใส่ แต่ถามว่าชินสนรึ? ก็ไม่
“จะว่าไป… ดูแล้วนายเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่แข็งแกร่งผิดปกติน่าดูเลยนะ”
“…อา ของมันแหงอยู่แล้ว”
พอชินเอ่ยชมไปแบบนั้นริวก็หันหน้าไปทางอื่นแบบเขิน ๆ
ท่าทางดีใจออกนอกหน้ามากจนเหมือนเป็นคนละคน ถึงที่ชินถามออกไปจะหมายอยากรู้พลังของเขามากกว่าเอ่ยชมก็ตาม
“คุณริวเขามี ‘กายสวรรค์’ น่ะครับ… เป็นมนุษย์ธรรมดา 100% คนเดียวในกลุ่มของเรา แต่ก็เป็นคนที่ร่างกายดูดซับจิตได้สูงที่สุดในกลุ่มด้วยเหมือนกันครับ”
“หืม…”
ชินส่งเสียงให้ความสนใจ มองไปทางริวไม่วางตา
‘จิต’ เป็นพลังงานที่อยู่รอบตัวพวกเราและถูกแปลงเข้ามาเป็นพลังพิเศษต่าง ๆ เฉพาะเผ่าพันธุ์
อัตราการดูดซับจิต จึงหมายถึงปริมาณจิตที่ดูดซับเข้ามาทั้งหมด สามารถนำมาใช้จริงได้กี่เปอร์เซนต์ เพราะส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่แปลงมาใช้ไม่ทัน
ส่วนที่นำมาใช้ได้จริงนี่แหละคือส่วนที่นำไปแปลงเป็นพลังพิเศษของแต่ละเผ่า
ทั้งเวทมนตร์ คำสาป หรือไนท์จะทรงพลังหรือไม่ อัตราการดูดซับจิตก็เป็นตัวแปรหลักเช่นกัน
มนุษย์นั้นไม่มีพลังพิเศษเหมือนกับเผ่าอื่น ๆ
ถึงแบบนั้น ก็มีข้อได้เปรียบคือเผ่ามนุษย์จะมีอัตราดูดซับจิตที่สูงกว่าทุกเผ่ายกเว้นแวมไพร์
โดยส่วนใหญ่เผ่าเอลฟ์ นางฟ้าและปีศาจจะมีอัตราการดูดซับจิตอยู่ที่ 50-70%
มนุษย์อยู่ที่ 70-80%
ส่วนแวมไพร์นั้นจะอยู่ในระดับ 90% บวกลบนิดหน่อย
นอกจากไนท์ที่แหกกฎธรรมชาติได้แล้ว ยังดูดซับจิตได้เยอะกว่าเผ่าอื่น ก็ไม่แปลกใจที่ทำไมแวมไพร์ถึงแข็งแกร่งนัก
แต่อัลเฟรดถึงขนาดบอกว่าริวที่เป็นมนุษย์ธรรมดายังดูดซับจิตได้สูงกว่าตัวเองที่เป็นแวมไพร์เชียวเหรอ?
ไม่สิ… ที่เรื่องนั้นเป็นไปได้เพราะหมอนี่มี ‘กายสวรรค์’ สินะ
‘กายสวรรค์’ เป็นคำใช้เรียกบุคคลที่เกิดมาพร้อมร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษในทางใดทางหนึ่ง
ริวเองก็มีประสาทการโต้ตอบที่ว่องไวมากแม้เทียบกับแวมไพร์
ความรวดเร็ว ความแข็งแกร่ง แล้วก็ที่สำคัญที่สุด… การดูดซับจิต
“ดูดซับได้เท่าไหร่งั้นเหรอ?” ชินหันไปถามริวอีกรอบ
“…ประมาณ 95%”
น่าทึ่งมาก
ถ้าไม่ติดเรื่องการวางตัวชินคงจะเอ่ยชมตรง ๆ ไปแล้ว
เพราะ ‘โดยพื้นฐาน’ แล้วชินสามารถดูดซับจิตได้ 93% ซึ่งนั่นถือว่าสูงติดอันดับโลกเลยด้วยซ้ำ ชินจึงเริ่มไม่รู้สึกแปลกใจในความสามารถของริวแล้ว
“ริวเก่งใช่ไหมล่ะ”
ในระหว่างครุ่นคิด สาวน้อยตัวเล็กนามหมิงเซียนก็กอดอกภูมิใจในตัวริว ท่าทางการกอดอกพ่นลมออกจมูกดูอวดเบ่งสุด ๆ ทั้งที่ทำหน้าตาเฉยเมยเหมือนไม่สนใจแท้ ๆ
“ของมันแหงอยู่แล้ว”
ริวเป็นฝ่ายที่มั่นใจยิ่งกว่า เขาลูบหัวหมิงเซียนอย่างสนิทสนม แม้เธอจะทำหน้ามุ่ยแต่ก็ไม่ได้รังเกียจเลยที่โดนริวลูบหัว
อย่างไรก็ดี… การได้เห็นหมิงเซียนใกล้ ๆ อีกครั้งทำให้ชินนึกข้อขัดแย้งในใจตอนเจอกันครั้งแรกขึ้นมาได้
“จะว่าไป… พวกนายคิดยังไงถึงเอาเด็กมาอยู่ในสนามรบแบบนี้กันน่ะ?”
ชินพูดเรื่องที่ควรพูด ทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงโมโห
เป็นใครก็เห็นชัดว่าชินรับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ โอลิเวียที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เองยังพยักหน้าเห็นด้วย
ในขณะที่อัลเฟรดได้แต่ยิ้มแหยเพราะไม่มีข้อแก้ตัว
ไดอาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ มองมาทางชินเหมือนรับหน้าที่นั้นเขา
แต่รอยยิ้มเธอก็ขมใช้ได้
“…คุณตัวตลกเนี่ยอ่อนโยนกว่าที่คิดเยอะเลยนะเนี่ย”
“ก็บอกแล้ว ชินน่ะไม่ใช่คนไม่ดีหรอก!”
“จ้า ๆ”
ไดอายิ้มแห้งให้เกวน ผู้ตอบสนองอย่างกระตือรือร้นจนเธอระอาคนมีความรัก
และถึงจะทำเหมือนหงุดหงิด แต่แน่นอนว่าไดอาไม่ได้เกลียดแนวคิดของชิน
…เพราะเธอก็แค่ไม่ชอบที่ชินแสดงท่าทางหงุดหงิดใส่อัลเฟรดทั้งที่ไม่รู้อะไรมากกว่า
และอาจหมายรวมถึงหมิงเซียนด้วย
เด็กผู้หญิงตัวเล็กคนนี้ขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน แต่ไม่ใช่เพราะไม่พอใจโชคชะตาตัวเอง
“ริว… เป็นครอบครัวที่เหลืออยู่” เธอเอื้อมมือไปกุมชายเสื้อของริวแน่นในตอนที่ชินออกตัวถาม
แววตาเธอไม่ได้โฟกัสสิ่งใดแต่มองตรงเข้ามาในตาชินอย่างแน่วแน่ทำเขาเข้าใจ
ฉันไม่มีที่ไป และถึงมีแต่ก็ไม่ได้อยากไปไหนอยู่ดี… แววตาของหมิงเซียนเหมือนกับจะบ่งบอกแบบนั้น
“ถ้าเป็นความรู้สึกนั้นดิฉันเข้าใจเลยค่ะ”
โอลิเวียยกมือขึ้นกุมอก เหลียวหันไปมองที่ชิน ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยให้มากความว่าคนสำคัญที่เหลืออยู่ของเธอคือใคร
สายตาที่ส่งมาจากโอลิเวียเสริมให้ชินเข้าใจ เพราะเขาเองก็รู้สึกเหมือนกัน
ชินถึงเข้าใจว่าการได้อยู่กับคนสำคัญมันมีความหมายมากกว่าการอยู่ในที่ปลอดภัยเพียงลำพัง
หากเป็นเขา… แทนที่จะอยู่บนสวรรค์เพียงลำพัง เขาเองก็พร้อมลงนรกหากนั่นทำให้ได้อยู่กับโอลิเวีย
ถ้าตัวเขายังเลือกแบบนั้น ก็คงไม่มีสิทธิไปบอกให้คนอื่นทำตรงข้าม
“ที่ว่ามันก็จริง… ขอโทษด้วยนะที่ทำเป็นรู้ดี”
ชินยอมรับความผิดแต่โดยดี
เขาก้มหน้าลงให้กับสมาชิกของอัลเฟรดจากการที่เขาพูดแส่ไม่เข้าเรื่อง
นี่เป็นครั้งแรกที่ชินก้มหัวให้ทุกคนจึงแปลกใจกันหมด เพราะไม่คิดว่าชินจะทิ้งทิฐิให้กับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
ทางโอลิเวียเห็นแล้วรู้สึกไม่พอใจจนตัวเกร็งก็จริง แต่ในเมื่อเจ้านายตัดสินใจอย่างนั้นก็มีแต่ต้องยอมรับ เธอเองก็ก้มหน้าตัวเองลงตามชินอย่างนอบน้อม
“น่า ๆ อย่าคิดมากเลย” ไดอาเป็นคนแรกที่ปราม ตามด้วยเกวนที่ดีดตัวเข้ามาใกล้ชินอีกคน
“ชินเจตนาดีนี่นา ที่แนะนำแบบนั้นเพราะเป็นห่วงใช่ไหมล่ะ เนาะ!”
เกวนดึงแขนเสื้อชินให้เงยหน้าขึ้น เธอไม่อยากให้ชินรู้สึกผิดอะไรขนาดนั้น
แต่เพราะชินทำแบบนั้น ในใจที่คุกรุ่นใส่ชินมาตลอดของริวเลยโล่งขึ้นมา หมิงเซียนเองก็รู้สึกว่ามองชินผิดไป
เช่นเดียวกับอัลเฟรดที่ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ชินเองก็คิดว่าจะทำพอเป็นพิธี แต่พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นการขอโทษจากใจไปเสียแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมาตามที่เกวนดึงแขนเสื้อ
สายตาของชินถูกดึงดูดไปยังเกวนและสบตากับเธอเข้า ทำเกวนหลบตาอีกครั้งอย่างประหม่า
ชินเองก็ตั้งใจว่าจะถามเรื่องของเกวนอยู่หรอก แต่พอถูกหลบตาชินเลยหันไปสนใจหญิงสาวผมบลอนด์ที่อยู่ข้าง ๆ แทน
“แล้วเธอล่ะไดอา”
“หืม? ฉันเหรอ?”
ไดอาชี้ที่ตัวเองทำตาปริบ ๆ แต่แล้วก็ทุบมือเข้าด้วยกัน ดูเหมือนเธอจะเพิ่งเข้าใจว่าชินต้องการรู้พลังของเธอด้วย
ไดอาหันไปมองอัลเฟรดด้วยหางตา แต่แล้วอัลเฟรดก็ผายมือให้เธอ ท่าทางการขออนุญาตนั้นคลับคล้ายคลับคลาเหมือนใครบางคนก่อนหน้านี้
“ความสามารถของฉันไม่ได้โดดเด่นเหมือนคนอื่นหรอกนะ เป็นแค่ลูกครึ่งนางฟ้ากับปีศาจก็เท่านั้นเอง ก็เลยเป็นแค่ฝ่ายสนับสนุนเฉย ๆ น่ะ”
ไดอาแลบลิ้นแหะ ๆ พูดเหมือนประเมินตัวเองต่ำแต่น้ำเสียงไม่ได้เป็นไปตามที่พูด และสหายร่วมรบคนอื่นอย่างริว เกวน โดยเฉพาะอัลเฟรดนั้นไม่ได้มองเธอต่ำเลยสักนิด
พลังประจำเผ่าพันธุ์ของเผ่าปีศาจคือ ‘คำสาป’ ซึ่งถ้าจะให้คำจำกัดความ มันเป็นพลังที่ใช้สร้างความสับสนและลดทอนกำลังให้กับศัตรู
เป็นสิ่งตรงข้ามกับเผ่านางฟ้าที่มีพลัง ‘ปาฏิหาริย์’ ซึ่งทำหน้าที่สนับสนุน สร้างเกราะป้องกันหรือฟื้นฟูบาดแผลให้กับสหายร่วมรบ เป็นพลังคนละขั้วกันอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ดี ทั้งสองเผ่าพันธุ์นับได้ว่าเป็นตัวแปรสำคัญของศึกใหญ่ในประวัติศาสตร์ไม่น้อย เพราะถ้ากำลังรบใกล้เคียงกัน สิ่งที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบก็คือความสามารถในการสนับสนุนนี่แหละ
เพราะงั้นไม่ว่าในแง่ไหน เผ่าปีศาจและเผ่านางฟ้าก็เป็นที่ต้องการเสมอ ยิ่งถ้าทำได้ทั้งสองอย่างในคนเดียวก็ยิ่งแล้วใหญ่
ไม่น่าแปลกใจทำไมทุกคนในกลุ่มถึงยอมรับเธอ
แต่… เรื่องนั้นไม่น่าสนใจเท่าเรื่องที่ไดอาเป็นลูกครึ่ง
ทำไมน่ะเหรอ? เพราะปกติแล้วเผ่าปีศาจมีค่านิยมเรื่องความบริสุทธิ์ของสายเลือดน่ะสิ
จึงนับว่าเป็นเรื่องแปลกที่จะมีลูกครึ่งจากเผ่าปีศาจ
ถ้าพูดไปคงจะเสียมารยาทแย่… แต่กรณีส่วนใหญ่แล้วลูกครึ่งเผ่าปีศาจมักเกิดจากการตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ
และเมื่อปีศาจมีลูกโดยไม่ตั้งใจ ส่วนใหญ่ก็มักจะทิ้งลูกตัวเองเหมือนผักปลา
ถ้าจะมีเหตุผลอะไรให้เกลียดเผ่าปีศาจ ก็คงเป็นค่านิยมแปลก ๆ นี้นี่แหละ
“เธอคงลำบากน่าดูเลยสินะ”
“…ยังอุตส่าห์รู้เรื่องแบบนั้นอีกนะเนี่ย”
ไดอายิ้มแห้งต่อความเห็นใจของชิน
เธอต้องถูกทิ้งตั้งแต่เป็นแบเบาะ เอาตัวรอดด้วยตัวเองตั้งแต่ตัวเท่ากล่องผลไม้ท่ามกลางกองขยะหรือเลวร้ายกว่า
ชินกับโอลิเวียรวมถึงทุกคนในที่นี้คงจินตนาการไม่ออกว่าไดอาเติบโตขึ้นมาได้ด้วยวิธีไหน
“แต่ แต่ แต่! ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกนะ” ไดอาย้ำถึงสามหน สีหน้าเธอเหมือนจะเคยชินกับอดีตอันน่าเวทนาของตัวเองพอควร
แต่มันก็จริงที่อดีตของเธอไม่ควรถูกตีค่าโดยผู้ที่ไม่เคยประสบเหตุการณ์เดียวกัน
“เพราะงั้นพวกเธอก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงฉัน ไม่สิ… พวกเธอไม่จำเป็นต้องสงสารฉันหรอกนะ”
จะใครหน้าไหนก็ไม่ควรมาเวทนาเธอโดยไม่ได้รับอนุญาตทั้งนั้น… สายตาของไดอาเหมือนกับจะบอกแบบนั้น
เป็นสายตาคมกริบที่ดูรุนแรงมากทีเดียว
“ล้อเล่นน่า!”
ไดอาแบะมือยิ้มแป้น เปลี่ยนอารมณ์เร็วราวกับอยู่ดี ๆ ฝนก็หยุดตก
ทำเอาริวกับเกวนถอนหายใจตามกันเป็นแถบ ๆ พวกเขารวมถึงหมิงเซียนดูโล่งอกกันเหลือเกิน
แสดงว่า… เมื่อกี้ไม่ได้ล้อเล่นสินะ
ชินยิ้มแห้งเหงื่อตกตาม เขาไม่เคยเห็นเกวนกลัวใครแบบนั้นมาก่อน จนเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมไดอาถึงได้เป็นพี่สาวผู้น่าเคารพยำเกรงของกลุ่ม
“ยังไงก็ตาม ต้องขอบคุณอัลเฟรดนี่แหละ ฉันถึงได้เป็นอิสระ” ไดอากลับมาทำสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนพี่สาวใจดีอีกครั้ง
“งั้นเองเหรอคะเนี่ย” โอลิเวียเลื่อนตามองอัลเฟรด ดูท่าเธอจะสนใจเรื่องของไดอามากกว่าที่คิด
“ใช่ ๆ! ตอนนี้ก็เลยช่วยหมอนี่จะได้รวย ๆ ยังไงล่ะ! ฉันน่ะวางแผนจะเกษียณตั้งแต่อายุ 40 เชียวนะเอ้อ! นี่ถ้ามีเงินสักร้อยล้านฉันคงจะอยู่ได้จนตายเลยเชียวล่ะ! จะซื้อบ้านสักหลังใกล้ ๆ ห้างสรรพสินค้าแล้วก็จะเดินไปซื้อข้าวในห้างกินทุกวันเลยคอยดู๊ว!”
ไดอาจีบนิ้วพูดรัวเป็นต่อยหอยน้ำไหลไฟดับ ดูจากเกวนกับอัลเฟรดที่ยิ้มแหย ๆ นี่คงจะเป็นเรื่องปกติของไดอา
นี่ถ้านับสีหน้าตอนโกรธด้วยเธอคงเป็นสาวสามบุคลิกกระมัง
แต่ท่าทางร่าเริงเสียขนาดนั้น เธอคงชอบเงินน่าดูเลยสินะเนี่ย
ไดอาแสดงออกมาอย่างเถรตรงขนาดนั้นคงไม่มีทางเป็นอื่น
ไม่สิ… บางทีอาจจะมีเรื่องอื่นด้วยก็ได้
“แสดงว่าสำหรับคุณแล้ว อัลเฟรดก็เป็นคนสำคัญเลยสินะคะ” โอลิเวียพูดขัดขึ้นมา ปากไดอาก็แข้งจนชะงักไป
แก้มที่เริ่มแดงก่ำชวนให้สงสัยว่าเหมือนกับใครบางคนอีกครั้ง
“…แหม ให้พูดมันก็เขินอยู่นะ”
ไดอาเริ่มเกาแก้ม ถึงแบบนั้นสายตาที่เหลือบไปมองอัลเฟรดก็ไม่ได้ประหม่าถึงขั้นไม่กล้ามอง ไดอาดูซื่อตรงกว่าใครในที่นี้อีก
ทำเอาคนที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันยังอิจฉา
“ดิฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นค่ะ เพราะดิฉันเองก็ถูกชินช่วยชีวิตไว้เหมือนกัน”
โอลิเวียได้ยินเรื่องที่ไดอาผ่านมา ทั้งรู้สึกชื่นชมและเป็นห่วง แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ เธอรู้สึกผูกพัน
แม้จะไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ แต่โอลิเวียเองก็ผ่านเรื่องแบบเดียวกันมา สายตาของโอลิเวียมองสะท้อนกับของไดอา
นั่นเป็นสายตาอย่างเดียวกัน… และสายตาที่พวกเธอมองชายในฝันเองก็ยังเป็นแบบเดียวกันอีก ไม่แม้แต่วิธีปฏิบัติต่อชายคนนั้นด้วย
ไดอาเห็นแล้วอมยิ้ม รู้สึกเอ็นดูขึ้นมาถนัด
เธอเดินเข้าไปใกล้โอลิเวียแล้วเผลอลูบหัวเข้าให้ทั้งที่ยังไม่รู้จักมักจี่ดี
กระนั้น… โอลิเวียกลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจและปฏิเสธ
“ชินไปช่วยเธอทันเวลาสินะ”
รอยยิ้มอ่อนโยนประหนึ่งพระแม่มารีย์ปรากฏบนใบหน้าของไดอา ความอบอุ่นของน้ำเสียงทำให้หัวใจชุ่มชื่น
ชินรู้เหตุผลอีกข้อที่ทำให้ไดอาเป็นพี่สาวของกลุ่มแล้ว
“ใช่ค่ะ ชินเหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาวเลย”
“งั้นเหรอ… งั้นก็ดีแล้วล่ะ”
ไดอาได้ยินแล้วอมยิ้มดีใจตามไปด้วย
แต่ว่า…
ถ้าเขาไปช่วยเธอทัน งั้นเราก็คงไม่เหมือนกันหรอก
ไดอาเบือนหน้าหันไปยิ้มขมอย่างเศร้า ๆ และเจ็บปวด
โอลิเวียที่ถูกลูบหัวอยู่คงสังเกตไม่ทันเว้นแต่ชินกับอัลเฟรดที่มองดูอยู่ตลอด
อย่างไรก็ดี… ตอนนี้ชินได้รับรู้ข้อมูลเบื้องต้นของทุกคนจนเกือบหมดแล้ว
จะเหลือก็แต่เกวนที่เขาอยากรู้ที่สุดแต่ไม่กล้าถามนี่แหละ
ส่วนเกวนผู้ถูกชินมองเข้าให้ก็เริ่มกะพริบตาปริบ ๆ พร้อมแก้มที่เริ่มกลับมาแดงอีกครั้ง
และแน่นอน… การกระทำนั้นเป็นที่จับตามองของโอลิเวีย เธอจ้องเกวนจนแทบทะลุทั้งที่ยังโดนไดอาลูบหัวอยู่แท้ ๆ
จนไดอาต้องผละมือออกมายิ้มแห้ง ๆ เลยทีเดียว
“จะว่าไป… ทำไมเธอถึงเข้ามาร่วมศึกชิงบัลลังก์นี่งั้นเหรอ?”
คำถามของชินทำเกวนเปลี่ยนสีหน้าด้วยความกะทันหัน สร้างทั้งความตกใจและแปลกใจ
…รวมถึงลำบากใจ
“เอ่อ…”
เกวนไม่รู้จะเริ่มยังไง ไม่สิ… ความสับสนทำให้เธอไม่รู้ว่าควรจะเล่าดีไหมด้วยซ้ำ แม้ในใจจะคิดว่าชินเป็นคนที่เธอสามารถพูดเรื่องนี้ให้ฟังได้ก็เถอะ
แต่สุดท้าย เกวนก็มองหน้าชินด้วยแววตาลำบากใจ
“ขอโทษนะชิน คือฉัน———”
กริ๊ง!
เสียงข้อความเข้ากลบคำพูดของเกวน หรืออีกนัยนึงมันก็เป็นตัวช่วยของเธอด้วย
อัลเฟรดผู้เป็นเจ้าของโทรศัพท์ถึงกับสะดุ้งเพราะตั้งใจดูละครของชินกับเกวนอยู่
สุดท้ายเกวนก็ยิ้มแหย ๆ ใส่ชินเพราะจังหวะที่ไม่เอื้ออำนวย ชินก็เลยต้องจำใจยกเรื่องนี้ไว้ในโอกาสอื่นเพราะเขาเองก็ไม่อยากทำให้เกวนลำบากใจ
“!!!?”
“เห้ย! ตกใจหมดเลย!”
อยู่ ๆ อัลเฟรดที่ก้มลงไปอ่านข้อความก็ดีดตัวขึ้นยืนกะทันหัน ทำเอาริวตกอกตกใจหมด
และเสียงตกใจของริวนี่แหละทำให้ทุกคนหันไปมองอัลเฟรดกันหมด
ทุกคนสังเกตเห็นเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้าของอัลเฟรดได้อย่างชัดเจน
“แบบนี้ก็ลำบากสิครับเนี่ย…” อัลเฟรดบ่นอิดออด ข้อความที่ถูกส่งมาไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ไดอาเดินเข้าไปกอดคออัลเฟรดจากด้านหลังหวังอ่านข้อความเดียวกันในโฮโลวอชของเขา
เป็นตอนที่อัลเฟรดมองหน้าสมาชิกกลุ่มไล่เรียงกันทุกคน
“ข่าวด่วนครับ… เหมือนว่าคืนนี้จะมีกลุ่มจากราชาอันดับที่ 1 และ 4 บุกไปที่เขต 62 ที่เราวางแผนจะบุกครับ”
คำตอบของอัลเฟรดทำทุกคนเปลี่ยนสีหน้า คิ้วของทุกคนขมวดเข้าด้วยกันอย่างจริงจัง
ชินกับโอลิเวียเองก็เช่นกัน
“หมายความว่า… ถ้าไม่รีบลงมือคืนนี้ เราก็จะตกขบวนเที่ยวสุดท้ายสินะ” ชินถามยืนยันเพื่อความแน่ใจ
“ถูกต้องเลยครับ”
ทางอัลเฟรดที่ได้ยินกลับยิ้มแฉ่งด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ดังครั้งแรกที่ได้พบกัน แม้แต่แว่นยังสะท้อนแสงสุดท้ายของวันจนมองไม่เห็นแววตาปริศนา
เขาไม่ได้มีความหวาดกลัวกับข้อมูลใหม่นี้เลยสักนิด จึงเป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่านี่ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก
แต่ข้อมูลดังกล่าวก็เป็นดั่งบังเหียนด้วยเช่นกัน
เพราะหากไม่อาศัยจังหวะนี้เคลื่อนไหว การรู้ตัวจริงของผู้ปกครองดินแดนและรู้การเคลื่อนไหวของราชาคนอื่นก่อนก็จะไม่มีความหมาย
“เราจะบุกอินดรานีเซียกันคืนนี้ครับ… นี่คือสงคราม!”
อัลเฟรดกำหมัดยิ้มมั่นใจราวชัยชนะอยู่เบื้องหน้า
เขาไม่มีคำตอบเป็นอื่น อันเป็นอย่างเดียวกันกับที่อยู่ในหัวของชิน
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION