เกวน… โกหกน่า
ชินแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เมื่อหนึ่งในกลุ่มคนปริศนาผู้กุมความลับของเขา หนึ่งในนั้นกลับกลายเป็นเพื่อนร่วมชั้น เพื่อนสนิทต่างเพศไม่กี่คนที่เขามีไปเสียอย่างนั้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย…
ชินสับสนจนแสดงออกทางสีหน้าเพราะความไว้ใจแปรเปลี่นนเป็นความระแวง เขาพยายามสังเกตท่าทีของเกวนตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เพียงแค่การมองคงไม่อาจเค้นความจริงได้
ส่วนทางด้านของเกวน… มือขวาของเธอถูกทิ้งอย่างอ่อนแรง มือซ้ายเธอเอื้อมจับไว้ราวกับต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองไปจากชิน ส่วนทางชินแม้จะอยู่ไกล แต่เห็นชัดเลยว่ามือของเกวนกำลังสั่น สายตาของเธอเองก็หลบชินอยู่
เป็นท่าทางของคนที่รู้สึกผิด? หรือว่าแค่กังวลว่าถูกรู้ความลับเข้า? จนถึงตรงนี้ชินก็ไม่อาจชี้ชัดได้
“จะว่าไป เกวนกับคุณชินเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันสินะครับ บังเอิญจังเลยเนอะ” อัลเฟรดยิ้มมองสลับระหว่างเกวนกับชิน ยิ่งทำชินหรี่ตามองอัลเฟรดด้วยความสงสัย
“…ขอทีเถอะ”
ในทางกลับกัน เกวนมองค้อนใส่อัลเฟรดทันทีที่เขาแซว เห็นชัดว่าเธอเป็นอีกคนที่ไม่ตลกด้วย ครั้นจะหันไปสังเกตชินก็ทำได้แค่แวบเดียว เธอกลับไปกอดแขนตัวเองแล้วก้มต่ำอีกครั้ง
ส่วนอัลเฟรด พอโดนเกวนมองใส่เลยได้แต่ยักไหล่เป็นเชิงขอโทษแบบไม่ให้เสียหน้า
“งั้นก่อนอื่น ผมคงจะต้องขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนนะครับ”
อัลเฟรดเปลี่ยนมาเข้าเรื่องกลัวชินรู้สึกเสียเวลา เขายืนขึ้นและโค้งคำนับให้ชินอย่างผู้ดีก่อนแนะนำตัว
“อย่างที่ได้อธิบายไปก่อนหน้า… ผมอัลเฟรด รัสเซิล ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลขุนนางครับ”
อัลเฟรดว่าจบก็นั่งลงทันที เปิดโอกาสให้หญิงสาวผมบลอนด์ที่ยืนอยู่ทางขวาของเขาแนะนำตัวต่อ
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อไดอาน่า โคแลนดร้า เรียกสั้น ๆ ว่าไดอาก็ได้นะ”
สาวผมบลอนด์… ไดอาก้าวออกมาด้านหน้าโบกมือให้ชิน เธอดูเป็นมิตรและจริงใจกว่าอัลเฟรด บุคลิกภายนอกของเธอดูเป็นพี่สาวใจดี
“ฉันชื่อหมิงเซียน ฝากตัวด้วย”
ถัดมาคือผู้หญิงที่อยู่ทางซ้ายของอัลเฟรด เด็กสาวผมบ๊อบตัวเล็ก… หมิงเซียนมองมาทางชินด้วยสายตาเย็นชาแล้วแนะนำตัวสั้น ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนไม่ค่อยพูด
“…ริว”
เช่นเดียวกับชายอีกคนที่บุคลิกดูไม่น่าคบที่สุด เขาเป็นคนเดียวกับที่ใช้หอกโจมตีชินก่อนหน้านี้… ริวแนะนำตัวจบก็หลบหน้าชินไปทันที ท่าทางเขาดูเหม็นขี้หน้าชินสุด ๆ
ชินกับอัลเฟรดถอนหายใจให้ริวด้วยความเหนื่อยหน่ายพร้อมกันโดยบังเอิญ
ส่วนคนสุดท้ายอย่างเกวน มือของเธอสั่นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับนักโทษรอการลงทัณฑ์ แต่เธอก็ยังพยายามเปิดปากขึ้นมา
“…ฉัน”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ชินพยายามใช้น้ำเสียงให้ดูอ่อนโยนที่สุด มองเกวนด้วยสายตาแบบที่เคยมองเธอมาตลอด… ‘สายตาที่มองคนทั่วไป’
แต่สำหรับเกวน สายตานั่นกำลังสื่อว่าแม้จะยังไม่ได้ปรับความเข้าใจให้ถูกต้อง แต่ชินก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองเธอ นั่นทำเกวนใจชื้นขึ้นเยอะ
แต่การที่ไม่โกรธเลยก็ทำให้เธอรู้สึกผิดเช่นกัน เพราะสำหรับคนที่ทำผิด หากยิ่งโดนทำดีด้วยก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกผิดบาปมากขึ้นตามเท่านั้น
“ทางฉัน พวกนายคงจะรู้อยู่แล้วแต่ก็จะขอแนะนำตัวอีกรอบ… ชินยะ นัวรอย” ชินมองไปยังจุดที่อัลเฟรดนั่งอยู่
สายตาบ่งบอกทางอ้อมว่า ตอนนี้ได้ฤกษ์ที่ต้องบอกเรื่องราวทั้งหมดให้รู้ได้แล้ว
“แต่ว่าก่อนหน้านั้น…”
เสียงของหญิงสาวปริศนาดังขึ้นจากเงามืดด้านหลังของชิน ทำพวกอัลเฟรดตั้งท่าพร้อมรบอีกครั้ง
แต่พอเธอเดินออกมาจากเงาของตึกมายืนเคียงกับชินพวกเขาก็คลายความกังวลลงเล็กน้อย
เพราะที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา คือหญิงสาวเอลฟ์ผู้มีเรือนผมสีเงินสะท้อนแสงจันทร์
“ขออภัยที่แนะนำตัวช้านะคะ เจ้าพวกคนไร้มารยาททั้งหลาย… ดิฉันโอลิเวีย ลาสฟอร์เทรส คู่หูและข้ารับใช้ของชินค่ะ”
โอลิเวียปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแล้วเริ่มแนะนำตัว เธอมองพวกอัลเฟรดด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สายตานั่นรุนแรงเสียยิ่งกว่าชินเสียอีกเพราะทำให้พวกอัลเฟรดทุกคนกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว
ในอีกทางนึง… ชินที่เห็นการปรากฏตัวของโอลิเวียจากด้านข้างก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที
“ตามมาตั้งแต่แรกงั้นเหรอ”
“…ขออภัยที่ขัดเจตนาดีของคุณนะคะชิน แต่ยังไงดิฉันคงปล่อยให้คุณไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ”
โอลิเวียตอบกลับชินไปตามปกติ ไม่สนใจน้ำเสียงกึ่งหงุดหงิดของเขา
กลับกัน น้ำเสียงของเธอบ่งบอกมาทางชินว่าการช่วยเหลือทุกอย่างข้างกายของชินเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?
ทั้งที่สำหรับชิน… เขาอุตส่าห์มาที่นี่คนเดียวเพราะไม่อยากดึงโอลิเวียมายังจุดที่เป็นอันตราย เพราะไม่รู้ว่าสภาพการณ์ในอนาคตจะออกมาเป็นอย่างไรแท้ ๆ
แต่สุดท้าย… ดูเหมือนเธอจะอยากเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกันมากกว่าสินะ
ตามไม่ทันจริง ๆ ด้วยแฮะให้ตายสิ
ชินยิ้มแห้ง ได้แต่ยอมรับความซื่อตรงของโอลิเวีย รวมถึงความสามารถในการพรางตัวของเธอไปพร้อมกัน
“ถึงจะน่าตกใจไปหน่อย… แต่แบบนี้ก็ง่ายกับการอธิบายไปอีกแบบล่ะนะครับ”
ทางอัลเฟรดเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ดูเหมือนความสามารถในการควบคุมอารมณ์ของเขาจะสูงพอตัว
ไม่นานนัก สายตาของเขาก็เริ่มกลับมาแสดงถึงความมั่นใจอีกครั้ง
“จะง่ายหรือไม่ ทางเราจะเป็นคนตัดสินเอง”
“นั่นสินะครับ”
กับคำตอบกลับแสนเย็นชาของชิน อัลเฟรดดันแว่นของตัวเองก่อนจะมองมาทางชินและโอลิเวียอีกครั้งด้วยสายตาไม่คิดอะไรมาก อัลเฟรดเริ่มคุ้นเคยการใช้คำพูดเพื่อดึงความได้เปรียบทางบทสนทนาของชินแล้ว
แต่ถึงอัลเฟรดจะรู้อย่างนั้นเขาก็มั่นใจว่าไพ่ในมือตัวเองเหนือกว่า เขาถึงยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากอยู่ตลอดแม้กระทั่งตอนที่กำลังจะเริ่มเล่าเรื่อง
“งั้นก่อนอื่น ผมอยากจะขอเล่าอะไรซักหน่อยนะครับ”
เขาเริ่มใส่อารมณ์ลงในน้ำเสียง บ่งบอกถึงความจริงจังของเรื่องที่จะพูด
“เมื่อนานมาแล้ว… โลกใบนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับสรรค์สร้างท้องทะเลและผืนดิน นอกจากนั้นยังสร้างเผ่าพันธุ์ทั้งหลายขึ้นมาประดับประดา จากสัตว์เซลล์เดียววิวัฒขึ้นมาเป็นสัตว์บก เรื่อยมาจนสุดท้ายก็ถือกำเนิดเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาทั้งหลาย ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ สร้างวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของตัวเองไว้มากมายจนกลายเป็นดังทุกวันนี้ คิดว่าคุณก็คงทราบดีอยู่แล้ว เพราะนั่นเป็นเรื่องราวที่รู้กันของโลกใบนี้”
เล่าย้อนความยังกับนิทานเด็กแบบนี้ตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่?
ก็อยากจะขัดออกมาแบบนั้น แต่สำหรับอีกฝ่ายคงไม่มีเหตุผลที่จะทำแบบนั้นหรอก
ถ้าอัลเฟรดคนนี้ตั้งใจจะขอความช่วยเหลือจากเราจริง การพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับใจความคงมีแต่ผลเป็นลบ
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ… แต่ก็คงต้องฟังต่อไปเท่านั้น
ชินสังเกตอีกฝ่ายไม่เลิก แต่ทางโอลิเวียกลับหาวออกมาอย่างจงใจแม้ท่าทางที่ยกมือขึ้นป้องปากจะดูสูงศักดิ์ ท่าทางแบบนั้นดูยังไงมันก็ยังเสียมารยาทอยู่ดี
แน่นอนว่านั่นเป็นการจงใจทว่าอัลเฟรดไม่ได้สนใจเช่นกัน เขาเล่าต่อไปทันทีด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำ
“แต่ความจริงมันมีมากกว่านั้น… ในตอนที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาถือกำเนิดขึ้น โลกใบนี้ไม่เพียงแค่อวยพรด้วยการมอบปัญญา แต่ยังมอบสิทธิ์การปกครองโลกให้กับมนุษย์บางส่วนด้วยครับ”
“สิทธิ์การปกครอง” ชินเผลอทวนคำพูดนั้นพร้อมกับขมวดคิ้วแน่นโดยไม่รู้ตัว
ในจุดนั้น… ชินไม่ได้รู้เลยว่าที่ตัวเองรำพึงออกมา เป็นเพราะตัวเขาเองก็พอจะตระหนักถึงบางสิ่งมานานแล้วเช่นกัน
“สิทธิ์ในการปกครองโลกจะปรากฏขึ้นกับผู้ที่เหมาะสม… ผู้ที่เหมาะสมจะเป็นผู้ปกครองผืนดินที่ถือกำเนิดจากโลก เป็นตัวแทนของโลกในการชี้นำเหล่าสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาไปในทางที่ถูกที่ควร พวกเขาถูกเลือกให้ปกครองในดินแดนใดดินแดนหนึ่ง เราเรียกพวกเขาเหล่านั้นว่า ‘ผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์’ เพราะผู้ที่มีสิทธิขาดในการปกครองดินแดนอย่างแท้จริงเลยทีเดียว”
ผู้มีสิทธิครองบัลลังก์? ไม่ใช่ผู้ครองบัลลังก์เหรอ?
ถ้าเชื่อตามที่หมอนี่พูดมา มันก็ฟังดูย้อนแย้งนิดหน่อย
เพราะหมอนี่บอกเองว่ามีสิทธิในการครองดินแดน มันก็ถือเป็นผู้ครองดินแดนไม่ใช่เหรอ?
แต่กลับใช้คำที่มีความหมายคล้ายกับ ‘ผู้ท้าชิง’ แบบนั้น มันฟังดูแปลก ๆ พิกล
“เหล่าตัวแทนในยุคแรกทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเยี่ยม แต่คุณก็รู้… ปัญญามาพร้อมกับความกระหายและบาป พวกเขาหลายคนถูกความโลภเข้าครอบงำ เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือจึงอยากที่จะได้อำนาจมาครองมากขึ้นไปอีก พวกเขาจึงทำสงครามกัน แย่งชิงสิทธิปกครองดินแดน… ว่าง่าย ๆ ก็คือการล่าอาณานิคมนั่นแหละครับ ”
อัลเฟรดยิ้มแห้ง ไม่ทราบว่ามีความนัยอย่างไรแต่เขาก็รีบเล่าต่อในทันที
“สงครามที่ว่านั่นจบลงโดยเหลือผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ ‘ผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์’ คนสุดท้าย… แล้วผลลัพธ์เป็นยังไงน่ะเหรอครับ?” อัลเฟรดเว้นช่วงก่อนจะเล่าต่อ มองมาทางชินและโอลิเวียราวกับหวังความตกตะลึงจากพวกเขา
“ ‘ผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์’ ที่เหลือเป็นคนสุดท้ายนั่น… กลายเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของโลก ใช่! เขาได้กลายเป็นราชาผู้ปกครองโลกทั้งใบยังไงล่ะครับ!”
อัลเฟรดชูไม้ชูมือขึ้นสูง ตะโกนเสริมความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่พูด
แต่ดูเหมือนอัลเฟรดจะต้องผิดหวัง เพราะชินกับโอลิเวียไม่มีท่าทีตกตะลึงแม้แต่น้อย
คงคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อล่ะสินะ
อัลเฟรดแอบคิดเช่นนั้นในใจ ก่อนจะเล่าต่อ
“พอมีผู้ได้รับบัลลังก์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก พวกเราก็ได้รู้ว่าผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์นั่นมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นมากมายขนาดไหน… แต่อำนาจของเขาก็ไม่ล้นฟ้าเสียทีเดียว เพราะ 100 ปีให้หลัง ผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์คนใหม่กลับปรากฏตัวขึ้นทั่วโลกและดินแดนได้ถูกแบ่งแยกอีกครั้ง… และนั่นทำให้พวกเรารู้เช่นกันว่า โลกใบนี้ไม่ได้ให้โอกาสผู้ชนะยืนบนแท่นรางวัลนานมากนัก” อัลเฟรดว่าพร้อมกับมองมาทางชิน สายตาของเขาราวกับต้องการถามว่า เป็นยังไงบ้างครับ?
แต่แน่นอน… การที่เนื้อหาจับต้องไม่ได้จนไม่รู้ว่าจริงแค่ไหนมันทำชินหงุดหงิด
“ไอ้นิทานเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะขอร้องฉันยังไง”
ชินทนฟังมานานพอสมควร เขาเริ่มอดที่จะขัดเนื้อหาที่ฟังดูไร้มูลนี้ไม่ได้จนต้องพูดแย้งออกมา
“สงครามโลกเมื่อพันปีก่อน ถ้าผมบอกว่าความจริงเบื้องหลังสงครามมีที่มาจากผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ทั้งหลายที่ผมเล่าไปล่ะครับ?” อัลเฟรดมองชินด้วยสายตาที่ไม่ลดละความพยายาม
“หมายความว่ายังไง?”
“ถ้าผมจะบอกว่าสงครามครั้งนั้นมีสาเหตุมาจากผู้มีสิทธิครองบัลลังก์ต้องการสิทธิในการปกครองโลกล่ะครับ”
“ขอพูดตรง ๆ นะ… ไร้สาระมาก”
ชินขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม ถอนหายใจออกมาอย่างแรงแบบเดียวกับโอลิเวียก่อนหน้านี้
ทางพวกอัลเฟรดทุกคนบ้างก็ทำสีหน้าราวกับว่าเข้าใจชิน แต่บ้างก็ทำหน้าเสียดาย โดยเฉพาะเกวนกับอัลเฟรด เพราะทุกคนล้วนผ่านสถานการณ์ที่ว่า “ต้องยอมรับความจริงนี้ให้ได้” มาแล้ว
“ขอถามอย่างนึงหน่อยนะคะ”
“โอ้ เชิญเลยครับคุณผู้หญิง”
เห็นโอลิเวียที่ยกมือขึ้นเอ่ยขออนุญาตราวกุลสตรี เจอท่าทางแบบนั้นชายใดก็ไม่อาจปฏิเสธ
“ถ้าหากที่คุณพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง… งั้นหลักการของโลกนี้ที่เรารู้มาตลอดก็เป็นเรื่องผิดสินะคะ เช่นนั้นหากเรียบเรียงมันเสียใหม่ก็จะได้ความว่า… โลกใบนี้ได้ทำการสุ่มผู้ปกครองดินแดนบางส่วนขึ้นมา พวกเขาทำการสู้กันจนเหลือคนสุดท้าย พวกเขาได้ดึงผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมาร่วมสงครามที่ตัวเองได้รับผลประโยชน์อยู่คนเดียว จนเข้าเงื่อนไขที่ว่าได้ตัวผู้ปกครองคนสุดท้าย เขาก็จะได้ปกครองดินแดนทั้งหมดซึ่งในอีกความหมายนึงก็คือได้ปกครองโลกทั้งใบในระยะเวลาหนึ่ง โลกใบนี้ก็จะทำการสุ่มผู้ปกครองดินแดนใหม่อีกรอบ เป็นวังวนไม่รู้จบ… เป็นแบบนั้นสินะคะชิน”
โอลิเวียร่ายเสียยืดยาวก่อนหันไปทางชิน… ดูเหมือนที่เธอพูดมาทั้งหมดจะเพื่อสรุปความให้ชินเท่านั้น ไม่ได้สนใจจะถามอัลเฟรดจริง ๆ แต่อย่างใด
แน่นอนว่าทางชินเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ต้องให้โอลิเวียอธิบาย แต่ที่กลายเป็นแบบนี้ เห็นทีจะเป็นเพราะโอลิเวียเองก็หงุดหงิดกับการเล่าเรื่อง เพราะมันเชื่อมโยงไปยังใจความสำคัญที่ชินต้องการไม่ได้เสียที
“ก็แบบนั้นแหละนะครับ… ตามปกติแม้จะเป็นวังวนแบบนั้น แต่อำนาจทั้งหลายสุดท้ายก็จะกระจายคืนกลับไปเหมือนเดิม เพราะอำนาจไม่ได้ผูกขาดอยู่คนเดียวตลอด”
เรื่องนั้นก็รู้อยู่แล้ว ตั้งใจจะบอกอะไรกันแน่?
“แต่ว่านะครับ… ทางหากว่าเกิดเรื่องที่อำนาจดันถูกผูกขาดอยู่คนเดียวตลอดขึ้นล่ะครับจะเป็นยังไง?”
คำถามใหม่ของอัลเฟรดยิงใส่ชิน ทำให้ชินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ถ้าเรื่องมันกลายเป็นว่า แม้จะมีผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ใหม่ ๆ ถือกำเนิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถโค่นล้มอำนาจเก่าได้จะเป็นยังไงกันล่ะครับ?”
ชินยิ่งขมวดคิ้วเข้าด้วยกันมากขึ้น แต่หนนี้ไม่ใช่เพราะความหงุดหงิด หากแต่ชินคลับคล้ายเหมือนกำลังจับจุดบางอย่างได้ต่างหาก
“พอครบ 100 ปี สงครามก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่กลับไม่มีใครแข็งแกร่งพอจะโค่นราชาคนเก่าได้เลยสักคน เหตุการณ์ที่ว่าถูกสร้างโดยราชาผู้มีอัจฉริยภาพมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของแวมไพร์อย่างพวกเรา
…ท่านราชาเอลานอร์ ดักลาส โซลเลน ราชาคนสุดท้ายของอาณาจักรแวมไพร์ยังไงล่ะครับ ”
ภายในหัวของชินเรื่องเชื่อมโยงเรื่องราวเข้าด้วยกัน หากนี่เป็นการต่อจิ๊กซอ ชินก็ใกล้จะเห็นรูปร่างโดยรวมของมันแล้ว
มือของโอลิเวียเอื้อมมากุมมือของชินตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ชินเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเลยส่ายหน้าบอกเธอว่าไม่ได้รู้สึกไม่ดี โอลิเวียจึงปล่อยมือ
…และท่าทางสนิทสนมของทั้งคู่เป็นที่สังเกตของเกวนอยู่
ทางด้านอัลเฟรด พอเห็นว่าชินกลับมาสนใจเรื่องเล่าของเขาอย่างจริงจัง เขาก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือจึงทำการเล่าต่อโดยหันไปอิงความจริงมากขึ้น
“ตามประวัติศาสตร์ เขาถูกเขียนให้เป็นราชาที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยมชมชอบเพราะผูกขาดอำนาจไว้เพียงผู้เดียวมานานเทียบเท่าสหัสวรรษ… แต่ความจริงแล้วท่านราชาเอลานอร์นั้นคือผู้ปกครองที่มีจิตใจคุณธรรมไม่ด้อยไปกว่าใครเลย หลังจากชนะสงครามโลกเมื่อพันปีก่อน เขาได้ทำการแบ่งเขตอำนาจออกเป็นหลายเขต และในโลกเบื้องหลังเขาได้เปลี่ยนกฎเกณฑ์การแย่งชิงสิทธิ์ปกครองดินแดนใหม่ ให้เป็นการชิงดินแดนในเงามืดที่ห้ามดึงคนนอกเข้ามาเกี่ยวเพราะเขาต้องการให้มีผู้เสียสละน้อยที่สุด… และหากจะว่าไป การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองให้แต่ละประเทศปกครองตัวเองก็คือการบังคับให้ศึกชิงแดนเป็นแบบนั้นไปด้วย”
เข้าใจล่ะ… เพราะว่าให้แต่ละประเทศปกครองกันเอง
จะประชาธิปไตย สาธารณรัฐหรือเผด็จการ… ไม่ว่าแต่ละเขตการปกครองจะปกครองอย่างไร แต่มันจะถูกกำหนดโครงสร้างการติดต่อระหว่างประเทศที่เรียกว่าการทูตขึ้นมาด้วย
เพราะโลกถูกรวมเป็นหนึ่งจึงไม่มีเหตุให้สู้รับ และหากเป็นการปกครองตัวเองแบบนั้นจะเกิดการเป็นเอกเทศของแต่ละเขตการปกครองขึ้น และเมื่อประชาชนเริ่มคุ้นชินกับการทูต สงครามที่ใช้ความรุนแรงแบบเมื่อก่อนจะไม่ถูกประชาชนยอมรับอีกต่อไป
พูดง่าย ๆ… เขาได้ทำการสร้างมาตรฐานใหม่ของโลกให้มีสันติภาพมากขึ้น เจรจาปัญหาต่าง ๆ ด้วยการทูตแทนที่การสงครามในอดีต ได้สร้างโลกให้กลายเป็นดินแดนที่สงบสุขแม้จะเพียงแค่ฉากหน้าก็ตาม
พอกลายเป็นแบบนั้น เหล่าผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ใหม่ ๆ จะไม่สามารถอ้างความชอบธรรม รวมถึงหลอกล่อให้ประชาชนในเขตตัวเองเป็นเครื่องมือในการก่อสงครามระหว่างประเทศอย่างป่าเถื่อนเหมือนเมื่อก่อนได้อีกต่อไป
สุดท้าย… สงครามแย่งชิงดินแดนเลยกลายเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจทำกันอย่างลับ ๆ ด้วยกลุ่มคนจำนวนไม่กี่คนเท่านั้น
…สมแล้วจริง ๆ ครับ
ชินชื่นชมราชาที่เขานับถืออยู่ในใจ… หรือหากจะว่ากันตามตรง ราชาเอลานอร์เป็นคนที่ชินนับถือมาตลอดอยู่แล้ว
ความเคารพนั่นมีอิทธิพลถึงขนาดทำให้ชินเริ่มเชื่อนิทานปรัมปราของอัลเฟรดขึ้นมาเลยทีเดียว
“แล้วพอราชาเอลานอร์หมดวาระปกครองโลก เหล่าผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ใหม่ ๆ ก็ทำสงครามกันในยามค่ำคืนเพื่อแย่งชิงสิทธิ์ปกครองกันใหญ่ และความเสียหายก็ไม่ได้มีมากเท่าสงครามเมื่อก่อน นั่นเป็นสิ่งที่ราชาเอลานอร์พอใจมาก แต่ทว่า… สุดท้ายผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ที่เหลือรอดสองคนสุดท้าย กลับกลายเป็นราชาเอลเนอร์กับผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ที่เต็มไปด้วยความโลภและอยากจะครอบครองอาณาจักรแวมไพร์ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่แกร่งที่สุดไว้ เขาไม่พอใจกับดินแดนที่ตัวเองมีทั้งหมดโดยขาดไปเพียงแค่อาณาจักรเดียว เพราะคิดว่าท้ายสุดแล้วภัยคุกคามก็คือแวมไพร์ที่เคยชนะสงครามโลกเมื่อพันปีก่อนมาแล้ว แล้วมีเหรอครับที่ราชาเอลานอร์จะยอมให้คนแบบนั้นยึดอาณาจักรแวมไพร์ของตัวเอง”
นี่สินะคือวังวนอุบาทที่ท่านไม่อาจเลี่ยงได้มาตลอด… ไม่รู้มาก่อนเลยแฮะ
ชินคิดแบบนั้นในใจราวกับสมเพชตัวเอง
“เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นหลาย 10 ครั้งมาตลอดพันปีนี้… ตลอดวาระที่เกิดผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ขึ้นใหม่ ผู้ชนะคนสุดท้ายก็ยังเป็นราชาเอลานอร์ที่เป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ดี”
มาถึงจุดนี้ ชินเองก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าเสียใจและสมเพชตัวเองมาจากอัลเฟรดเช่นกัน
แต่นั่นก็เพียงครู่เดียว… หลังจากนั้นสายตาของอัลเฟรดก็เข้มข้นราวกับความแค้นได้ถูกปลดปล่อย
“พอมีผู้เล่นที่แข็งแกร่งเป็นแชมป์นานขนาดนั้น แน่นอนครับว่ามันทำให้ผู้เล่นคนอื่นหมดสนุก แล้วคิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อล่ะครับคุณชิน? สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเหล่าผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์รุ่นปัจจุบันหลายคน ได้รวมตัวกันบุกทำลายปราสาทของราชาเอลานอร์จนทำให้เกิดเหตุการณ์เมื่อ 12 ปีก่อนยังไงล่ะครับ”
“!!!?”
แตกต่างจากทุกที… คำพูดอันหนักแน่นหนนี้ของอัลเฟรดทำให้ชินและโอลิเวียเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกตะลึงเป็นครั้งแรก
น้ำเสียงนั้นอีกเรื่อง… แต่ที่ทั้งคู่ตกตะลึงนั้นเป็นเพราะเนื้อความเสียมากกว่า
“พวกมันรวมตัวกันเพื่อจัดการราชาเอลานอร์พร้อมกองกำลังผสม หนำซ้ำยังปลุกปลั่นคนทั่วโลกด้วยวาทกรรมไร้สาระ… พวกมันคร่าชีวิตเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกับเราโดยอ้างความชอบธรรมที่พวกมันปรุงแต่งขึ้น… พวกมันทำลายวิถีชีวิตของเราไปแค่เพราะปรารถนาอำนาจ!”
ในน้ำเสียงของอัลเฟรดรุนแรงมากยิ่งขึ้น สายตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอันแสดงถึงความโกรธเกรี้ยว …และแสดงถึงเป้าหมายของเขาด้วยเช่นกัน
ทางชินเองก็ยกมือขวาขึ้นกดดวงตาทั้งสองข้างหวังไม่ให้ใครเห็น ดวงตาสีแดงฉานอันแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวไม่ต่างจากอัลเฟรด
นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกของทั้งสองคนตรงกัน… อาจหมายรวมถึงเป้าหมายด้วยเช่นกัน
“คุณชินครับ… คุณพอจะเชื่อมโยงเรื่องราวได้รึยังครับ” อัลเฟรดพยายามกดเสียงของตัวเองให้ต่ำลง ไม่ให้ความโกรธพลุ่งพล่านไปมากกว่านี้
“อา…”
แต่ชินไม่ได้ปิดกลั้นความโกรธเหมือนทางอัลเฟรด ชินกุมขมับตัวเองอยู่อย่างงั้น สร้างความเป็นห่วงให้ทั้งโอลิเวียและเกวน …อาจรวมถึงอัลเฟรดด้วย
เข้าใจ… เข้าใจทั้งหมดแล้ว
เมื่อวาน… นั่นคือตัวอย่างของหนึ่งในศึกย่อม ๆ ที่มีไว้เพื่อแย่งชิงดินแดนกันยามค่ำคืน
แล้วก็ตราสัญลักษณ์… ถึงจะไม่มีอะไรยืนยัน แต่คงเป็นอื่นไม่ได้อีกแล้ว
…ตรารอยสักรูปมงกุฎ คือสัญลักษณ์ของผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์
และไอ้พวกเวรที่กำลังทำสงครามชิงอำนาจกันใต้แสงจันทร์…
…ในบรรดาคนพวกนั้น มีไอ้เวรที่ฆ่าครอบครัวของฉันอยู่!!!
ชินกัดฟันแน่นพร้อมแยกเขี้ยวโกรธา เรื่องราวทั้งหมดถูกเชื่อมโยงจนเกือบหมดแล้ว
แม้ที่ผ่านมาจะไร้ซึ่งหลักฐานยืนยันทำให้เขาไม่แน่ใจ
แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไป… ชินนั้นพอจะรู้ ‘อะไรบางอย่าง’ บ้างอยู่แล้ว พอได้ยินเรื่องที่อัลเฟรดเล่ามาสนับสนุนสิ่งที่เขาพอรู้ จิ๊กซอที่ขาดวิ่นก็ถูกเติมเต็มพอดิบพอดี พอเป็นแบบนั้นจะไม่เชื่อก็กระไรอยู่
“คุณชิน ไม่สิ… ท่านชินยะ นัวรอย”
ชินทั้งสับสนและโกรธจัด ต้องขอบคุณที่เสียงของอัลเฟรดแทรกเข้ามา เขาจึงได้หันไปสนใจอัลเฟรดอีกครั้ง
ดวงตาสีแดงฉานสองคู่ประสานเข้าด้วยกันท่ามกลางแสงจันทร์ ด้วยความรู้สึกและเป้าหมายที่มีร่วมกัน
มือของอัลเฟรดยื่นออกไปหาชินด้วยความปรารถนาร่วมอันนั้น
“ได้โปรดร่วมมือกับผม… มาตามหาและล้างแค้นผู้ที่ทำลายบ้านเกิดของเราด้วยกันเถอะครับ”
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION