เวลา 18.20 นาที เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนมากกำลังกลับจากที่ทำงานจึงเป็นช่วงที่คนพลุกพล่านมากที่สุด
ถึงกระนั้น กลับมีเด็กหนุ่มถีบพื้นเพื่อออกจากบ้านแทนที่จะกลับไป
เขาพุ่งทะยานผ่านเงามืดของตึกรามไร้ผู้คนด้วยความเร็วสูง เป็นชินที่กำลังวิ่งสุดกำลังด้วยฝีเท้าที่เป็นเลิศด้านความว่องไว
แต่ที่แตกต่างจากเคย คือใบหน้าที่พยายามอดกลั้นความกังวลไว้เต็มที่ เพราะนี่คือครั้งแรกที่เขาถูกรู้ตัวจริงหลังปิดบังมาได้ตลอด 2 ปี และเป็นครั้งแรกที่กำลังจะไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนในโลกราตรีแบบเดียวกับเขาโดยที่ไม่ได้ใส่หน้ากาก
ถูกรู้ตัวจริงเข้าแล้ว… แต่ว่า ได้ยังไง?
เมื่อวานเราทำอะไรพลาดไป? เหลือหลักฐานเล็กน้อยอะไรไว้งั้นรึไง?
ไม่… ไม่มีทางเป็นไปได้
พวกเราตรวจสอบละเอียดทุกขั้นตอนตลอดเวลา โอกาสที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้แทบจะเป็นศูนย์แท้ ๆ
แต่ที่มันยังเกิดขึ้นได้ก็คงเป็นเพราะมีเรื่องที่ ‘ยากเกินเข้าใจ’ เป็นสาเหตุ
ชินกัดฟันแน่นด้วยความหงุดหงิด ให้ตัวเองที่มองข้ามบางสิ่งไป
คิดตามปกติมันเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ตัวจริงเขา ดังนั้น ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคืออีกฝ่ายอาจมีพลังสายตรวจสอบที่แหกกฎธรรมชาติได้อย่าง ‘ไนท์’
แต่ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริงก็คงทำอะไรไม่ได้ เรียกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของชินเข้าขั้นวิกฤตอย่างรุนแรง
ถ้านี่เป็นหมากรุก… คงกำลังเตรียมถูกรุกจนแน่ ๆ
ชินคิดกังวลเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้
เช่นไรก็ตาม ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยเมื่อมองจากมุมมองของบุคคลภายนอก เพราะอย่างไรเสีย สิ่งที่ต้องทำก็คือการเก็บกวาดสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมากกว่ามากังวลถึงสาเหตุ
❖❖❖❖❖
ชินใช้เวลาวิ่ง 10 นาทีมาจนถึงที่หมาย ตรงกับเวลานัดพบพอดิบพอดี
สภาพอาคารเป็นตึกสำนักงานเก่าสูง 9 ชั้น สภาพโดยรอบผุพังไปหลายส่วนดูอันตรายไม่น่าเข้าใกล้
แต่หากจะว่ากันตามตรง อาคารบริเวณนี้ส่วนมากก็มีสภาพเดียวกันเพราะเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยเก่า แถมยังมีคนชอบสร้างข่าวลือเรื่องผีสางตามประสาความเชื่อของไทยทำให้ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้ามาใกล้จนร้างเข้าไปใหญ่
เพราะไม่มีคน อีกฝ่ายถึงมองที่นี่เป็นโอกาสสินะ
ชินสังเกตรอบตัวอย่างระแวดระวังมากขึ้นก่อนเข้าอาคาร ยิ่งขึ้นชั้นสูงขึ้นประสาทก็ยิ่งลับคมขึ้นอย่างระแวง
ตลอดทางพบเห็นร่องรอยคนเข้าออกค่อนข้างบ่อยครั้ง แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่เชิญเขามาจะไม่ได้อยู่ชั้นสองหรือสาม
ให้ตายสิ… นี่คิดจะเล่นไล่จับหรือยังไง
ชินเริ่มหงุดหงิด แต่ก็ไม่ลืมที่จะรวบรวมสมาธิและประสาทสัมผัสไว้ที่การได้ยิน ถึงแม้จะไม่เท่ากับโอลิเวียแต่ก็ทำให้ชินพอจับสัมผัสอีกฝ่ายได้
และผลปรากฏก็คือ เขา… ไม่สิ พวกเขาอยู่ที่ชั้นบนสุดอย่างที่คาด
ชินไม่รอช้าที่จะย่ำเท้าโดยระวังกับดักไปด้วย แต่ดูเหมือนจะคิดมากจนเกินไป เพราะสุดท้ายเขาก็ขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย
…จนกระทั่งพบกับกลุ่มคนที่เป็นผู้เชื้อเชิญเขามา
“สายันณ์สวัสดิ์ครับท่านชิน”
เสียงของชายหนุ่มเอ่ยทักทายทันทีที่ชินก้าวขึ้นชั้นบนสุด ชินจึงหันไปมองตามเสียงนั้นซึ่งอยู่เยื้องไปทางขวาเล็กน้อย
เป็นภาพของกลุ่มคนจำนวน 5 คน ยืนอยู่ริมตึกโดยมีฉากหลังเป็นผนังที่แตกไปบางส่วนจนเผยให้เห็นวิวด้านนอกรวมถึงแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามา
จากทางซ้าย… คนแรกสวมหน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดงและเป็นแบบคลุมทั้งศีรษะคล้ายกับพวกชิน สวมเสื้อเกราะเบาสีเงินและกระโปรงสีขาว ดูจากภายนอกน่าจะเป็นเพศหญิง
และไม่รู้ทำไม… ชินสัมผัสได้ว่าท่าทางของเธอเหมือนจะกังวลกว่าคนอื่นอยู่นิดหน่อย
ถัดมาคือหญิงสาวที่สวมหน้ากากกบสีเขียวคลุมแค่ใบหน้า ทำให้เห็นผมสีบลอนด์ยาวสยายออกข้างได้ชัดเจน เธอสวมชุดเกราะสีดำที่ค่อนข้างหนาแต่กลับสวมกางเกงยีนแฟชั่น ส่วนรองเท้าที่สวมนั้นเป็นรองเท้าที่ชินเคยเห็น มันคือรองเท้าที่ผสมเทคโนโลยีเสริมไอพ่นเพิ่มความเร็วเข้าไปซึ่งใช้ในทางทหาร
ถัดจากนั้นคือคนที่ยืนยันข้อสันนิษฐาน ว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ถูกรู้ตัวจริงมาจากเรื่องเมื่อวาน
คนที่ยืนถัดจากหญิงสาวสวมหน้ากากกบคือชายสวมหน้ากากหนุมาน ผู้ใช้หอกคู่ในการต่อสู้กับคนที่ชินโค่นไปเมื่อคืนในชุดแบบเดียวกันกับเมื่อวาน
ถัดจากเขาคือคนที่เดาเพศไม่ออกเพราะส่วนสูงค่อนข้างน้อย เธอ?สวมหน้ากากเด็กผู้หญิงทำหน้าง่วงนอนแถมยังมีน้ำลายยืด ชินแอบคิดว่ามันช่างไม่เข้ากับบรรยากาศในตอนนี้เอาเสียเลย แถมชุดที่ใส่ยังค่อนข้างบอบบางกว่าคนอื่น ในความหมายก็คือเป็นเพียงชุดผ้าธรรมดาไม่มีเกราะซ้อนทับ
และสุดท้ายก็คือชายสวมแว่นคนเดียวที่ไม่ได้ยืนเหมือนคนอื่น เขาเป็นคนเดียวที่นั่งเก้าอี้ไม้อยู่ตรงกลางของทั้ง 4 คน แถมยังเป็นคนเดียวที่ไม่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าจึงเห็นโครงหน้าของชาวยุโรปคล้ายกับชิน แถมยังมีผมสีดำเหมือนกันอีก
ที่น่าสนใจคือชายสวมแว่นคนนี้สวมชุดเครื่องแบบนักเรียน แม้ชินจะไม่มั่นใจว่าเป็นของโรงเรียนใด แต่ก็ทำให้มั่นใจว่าชายคนนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ธรรมดาเหมือนกับชิน
ซ้ำร้าย เขายังเป็นคนที่ชินเคยเห็นหน้าเมื่อไม่นานมานี้อีก…
“นาย… คนที่แจกใบปลิว”
“โอ๊ะ! จำผมได้ด้วยสินะ เป็นเกียรติมากเลยนะครับเนี่ย!”
ใช่… ชายสวมแว่นคนนี้คือคนเดียวกับที่ชินรับใบปลิวมาในตอนที่เดทกับโอลิเวียเมื่อตอนบ่ายนี้เอง
ชินรู้สึกขนลุกอยู่หน่อย เพราะเริ่มคิดว่าตัวเองอาจจะถูกรู้ตัวจริงและถูกสะกดรอยมานานกว่านั้น
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่ได้จะทำมิดีมิร้ายอะไรซักหน่อย”
“…”
กับการพูดหยอกของชายสวมแว่น ชินทำแค่สังเกตการณ์และไม่ตอบกลับอะไรเป็นพิเศษ
“ดูท่าจะคุยยากกว่าที่คิดนะเนี่ย” หญิงสาวสวมหน้ากากกบยกนิ้วชี้สัมผัสริมฝีปาก (ของหน้ากาก) ทำท่ากังวล
“แต่ถึงจะพูดแบบนั้น เอาจริง ๆ ยังไม่อยากเชื่อเลยนะครับเนี่ยว่านักเรียนชายผู้เรียบร้อย ทั้งยังหล่อเหล่าราวกับเจ้าชายอย่างคุณคือนักล่าค่าหัวอันดับหนึ่งที่เขาลือกันน่ะ”
ชายสวมแว่นพูดพร้อมกับยิ้มมาทางชินแต่ไม่รู้ว่ามีเจตนาใดแอบแฝง ชินจึงไม่ตอบกลับตามที่เขาต้องการ เขารู้สึกถูกหยั่งเชิงสองครั้งสองหน
“เข้าเรื่องเลยได้ไหม” ชินตัดประเด็นของทุกคนทิ้งออกไปหมด ไม่ยอมเล่นตามเกมอีกฝ่าย
ชายสวมแว่นโดนตอกกลับมาแบบนั้นด้วยท่าทางเย็นชาของชินถึงกับอ้าปากค้างไปแวบนึงเลยทีเดียว
และแม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่ดูจากลักษณะภายนอก อีก 4 คนเองก็คงตะลึงไม่ต่างกัน
“อะ เอาเถอะครับ ถ้าต้องการแบบนั้นจริง ๆ ก็ย่อมได้”
ชายสวมแว่นดันแว่นที่ตกกรอบกลับให้เข้าที่
และเมื่อบทสนทนาไปทางนั้น มันก็เข้าทางชินพอดี
“แต่ก่อนหน้านั้น… นี่คิดว่าฉันเป็นไอ้ตัวตลกอะไรที่นายว่าจริง ๆ งั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าจำผิดหรอกเหรอ?”
“คิดว่าเป็นการบลัฟสินะครับ แต่น่าเสียดาย… ทางนี้มีคนที่ใช้ไนท์ในการตรวจสอบข้อมูลชั้นยอดอยู่ เพราะงั้นคุณหนีความจริงที่ถูกรู้ตัวจริงไปแล้วไม่พ้นหรอก นอกจากนี้ ถ้าคุณไม่เกี่ยวข้องจริง ๆ คุณก็คงไม่มาที่นี่ตั้งแต่แรกหรอกใช่ไหมล่ะครับ”
ชายสวมแว่นมองมาทางขินด้วยสายตาคมกริบ แต่คำพูดแทงใจดำไม่ได้สร้างความกดดันให้เขา
กลับกัน มันทำให้ชินเหนื่อยหน่ายใจจนต้องถอนหายใจออกมาแทน เพราะมันเป็นอย่างที่เขาคาดไว้
“ขอยืนยันอะไรซักสองข้อก่อนได้ไหม” ชินเปิดปากพูด ชายสวมแว่นก็โค้งร่างท่อนบนเข้าใกล้ด้วยความสนใจ
“ขอเยอะน่าดูนะครับ”
ชายสวมแว่นทำหน้านิ่ง แต่หากไม่ได้ปฏิเสธ ในอีกนัยนึงมันก็คือการยอมรับ
“คนที่ถูกรู้ตัวจริงมีแค่ฉัน หรือว่า…”
“หมายถึงโอลิเวีย ลาสฟอร์เทรสสินะครับ”
ชายสวมแว่นตอบกลับในทันทีด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง แต่หนนี้ทำเอาชินถึงกับคิ้วกระตุก
เพราะไม่ใช่แค่ตัวเองที่ตกเป็นอันตราย แต่คนสำคัญ… คู่หูคนสำคัญอย่างโอลิเวียยังตกเป็นอันตรายไปด้วย ความร้อนรุ่มอันเกิดจากความเครียดเพิ่มขึ้นมากจนแทบทะลักออกมาจากอก แต่ชินก็ยังตีสีหน้าเรียบเฉยได้อยู่
แต่ว่าแบบนี้… เราคงต้องเตรียมใจ ‘ลงมือ’ แล้วสินะ
ชินพยายามปรับความคิดให้เย็นลง เพื่อยืนยันเรื่องสำคัญที่สุดก่อนที่จะก่อการ
“งั้นอีกข้อ… พวกนายเป็นมิตร หรือว่าศัตรู” สายตาของชินคมกริบขึ้นราวกับใบมีด ทำเอาทั้ง 4 คนที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับผงะไปเลย
ยกเว้นชายสวมแว่นคนเดียว
“คนที่จะตอบคำถามนั้นคือทางคุณมากกว่าครับ”
เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย
แต่หารู้ไม่… ว่าคำตอบของเขาไม่ใช่สิ่งที่ชินต้องการ
งั้นเหรอ… ถ้างั้น… ทางนี้ก็ไม่มีเหตุผลต้องปล่อยให้คนที่รู้ความจริงรอดหรอกนะ
“อัลเฟรด!”
หญิงสาวสวมหน้ากากกบร้องหลุดตะโกนด้วยความตกตะลึง หลังเธอเห็นชินหยิบปืนพกที่เหน็บซ่อนไว้ข้างลำตัวลั่นไกใส่ชายสวมแว่นอย่างไร้ความลังเล
แม้การกระทำของชินจะเรียกได้ว่าบุ่มบ่าม เพราะเป็นการเปิดศึกกับศัตรูทั้งที่ไม่มีข้อมูลซึ่งเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่พอชั่งน้ำหนักระหว่างความปลอดภัยของโอลิเวียกับการสังหารคน 5 คนตรงหน้า ชินก็แทบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา
ชินยิงออกไปด้วยความตั้งใจเช่นนั้น กระสุนควงสว่านพุ่งเข้าหาใบหน้าของชายสวมแว่นอย่างแม่นยำ แต่สายตาของชายสวมแว่นกลับไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ
“!!!”
ชินเข้าใจสาเหตุในที่สุด เพราะพริบตาก่อนที่หัวกระสุนจะสัมผัสร่าง กระสุนของชินก็กระแทกเข้ากับสิ่งที่คล้ายกำแพงใสสีแดงอ่อนเข้าจนกระสุนเปลี่ยนทิศไปทางอื่นแทน
เหตุการณ์ไม่ทราบที่มานั่นทำเอาชินเลิกคิ้วด้วยความตกตะลึง แต่เขาก็เรียกสติกลับมาทันที
หมอนี่ก็มี ‘ไนท์’ ด้วยงั้นเหรอ!?
ถ้าอย่างงั้น!!!
ชินตัดสินใจในเสี้ยววินาทีเก็บปืนของตน จัดการร่นระยะในพริบตาหวังเข้าไปบั่นคอของชายสวมแว่นด้วยมือตัวเอง
ชายสวมหน้ากากหนุมานปรากฏตัวออกมาขวางไว้แล้วพุ่งเข้าไปหาชิน ปฏิกิริยาของเขาว่องไวเอาเรื่อง
“ไม่ยอมหรอกเว้ย! ไอ้บัดซบ!” ชายสวมหน้ากากหนุมานส่งน้ำเสียงเกรี้ยวกราดเหมือนครั้งที่เจอกันเมื่อวาน
เขาควงหอกสองเล่มเข้าหาชินอย่างกล้าหาญโต้ตอบกับความเด็ดขาดของชิน
“เดี๋ยวก่อนสิ ริว!!!”
“ไม่รอแล้วโว้ย!”
หญิงสาวสวมหน้ากากกระต่ายห้ามปรามแต่เขาไม่อดกลั้นความกระหายและความโกรธอีกต่อไปแล้ว ปลายหอกทั้งสองเล่มพุ่งเข้าหาชินในพริบตา
“เกะกะ”
น้ำเสียงชินเย็นยะเยือกทำเอาหนาวสั่น และยิ่งหนาวเข้าไปอีกเมื่อคมหอกทั้งสองถูกชินจับเอาไว้ได้ราวกับไร้ความคม
แรงเหวี่ยงมหาศาลที่ชายชื่อริวฟาดใส่ชิน กลับถูกรับได้ด้วยมือเปล่าด้วยท่าทางที่เหมือนกับไม่ได้ออกแรงอะไรเลย
“โกหกใช่ไหมวะเนี่ย? เวรเอ้ย!”
ชายสวมหน้ากากหนุมานรวมถึงทุกคนตกตะลึงในความสามารถทางกายภาพของชินกันไปหมด
จะมีข้อยกเว้นก็แต่ชายสวมแว่นเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ริว! วางอาวุธลง!” ชายสวมแว่นตะโกนดังลั่น ในน้ำเสียงแฝงด้วยความโกรธเป็นครั้งแรก
“เฮ้ย! แต่ว่าไอ้หมอนี่มัน———”
“ผมบอกให้วางอาวุธไม่ได้ยินรึไง!?”
“อะ อา… รู้แล้ว”
ถูกย้ำเตือนถึงสองรอบ ริวจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะสู้กับชิน
เห็นการแย้งแบบนั้น ทางชินเองก็ประเมินสถานการณ์แล้วว่าดื้อดึงต่อคงไม่เป็นการดี เขาจึงปล่อยมือจากคมหอกเช่นกัน สถานการณ์จึงกลับมาสงบ (ชั่วคราว) อีกครั้ง
และไม่รู้ทำไม คนที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเป็นคนแรกก็คือหญิงสางผู้สวมหน้ากากกระต่าย
แต่ชินก็ไม่คลายความต้องการฆ่าลง ทุกคนเริ่มเกร็งด้วยความหวาดกลัวเมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารของชินอีกครั้ง
“เกินคาดไปหน่อยนะครับเนี่ย… แต่ถ้าจะว่าไปแล้วมันก็เป็นความผิดของผมนั่นแหละนะครับ”
ชายสวมแว่นไม่ได้ครั่นคร้าม แต่เขากลับรู้สึกผิดออกมาแทนเสียอย่างงั้น
ในทางกลับกัน… ทางชินนั้นไม่ได้ท่าทีใด ๆ เป็นพิเศษ เขาวางตัวตั้งแต่ต้นจนจบด้วยท่าทางเยือกเย็นเสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็มองชายสวมแว่นไม่วางตา
“ถ้างั้นผมคงต้องปรับความเข้าใจกับคุณใหม่สินะครับคุณชิน”
ชายหนุ่มถอดแว่นของตัวเองออกมองตรงเข้าไปในดวงตาของชิน แต่ท่าทางสงบเสงี่ยมของเขามันกลับทำให้ชินคิดไปอีกทาง
มาถึงตอนนี้แล้วยังคิดประนีประนอมอะไรอีก?
ชินตั้งข้อสงสัยขณะมองดวงตาของชายหนุ่ม
ดวงตา… ที่กำลังเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีแดงฉาน
“!!!”
แม้แต่ชินก็ยังเก็บความรู้สึกตกตะลึงเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า
ภาพของชายสวมแว่นปริศนา ดวงตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยลักษณะเฉพาะของเผ่าพันธุ์แวมไพร์ซึ่งไม่สามารถเลียนแบบได้… แบบเดียวกันกับเขา
“ผมเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้ครับ เหมือนกับคุณ”
คำพูดสั้น ๆ ของชายหนุ่มทำให้หัวใจของชินสั่นระรัว นั่นคล้ายกับความตื่นเต้นที่ได้พบกับคนรู้จักที่ไม่ได้พบมานาน
“ชื่อของผมคืออัลเฟรด รัสเซิล… บุตรคนเดียวของตระกูลรัสเซิล คิดว่าคุณชินคงพอรู้จักอยู่บ้างนะครับ”
‘รัสเซิล’ เหรอ… เป็นคำที่ไม่ได้ยินมานานเหลือเกิน
ทำเอานึกถึงคุณลุงคนนึงที่ไว้เคราและชอบทำหน้าโหด แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนอ่อนโยนขึ้นมาเลยแฮะ
…เอาเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน
เคยได้ยินเหมือนกันว่าเขามีลูกชาย คือหมอนี่เองงั้นเหรอ?
แต่จะยังไงก็ตาม… ประเด็นก็คือตอนนี้อีกฝ่ายที่เรายืนยันว่าเป็นศัตรู กลับกลายเป็นว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นมิตรมากขึ้น
งั้นก่อนอื่นคงต้องยืนยันให้แน่ใจจริง ๆ ก่อนว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร
ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นมิตรหรือศัตรู
ไม่สิ… จริง ๆ แล้วเราควรทำแบบนี้ตั้งแต่แรกต่างหาก
เมื่อกี้นี้เรานี่บุ่มบ่ามเกินไปจริง ๆ… แต่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
“รัสเซิล… ตระกูลดยุคที่มีศักดินาสูงสุดในบรรดาตระกูลขุนนางทั้งหมดสินะ”
ชินถามย้ำ เป็นคำตอบว่าชินรู้จักตระกูลของชายสวมแว่น… อัลเฟรด
เช่นไรก็ตาม จากคำพูดของอีกฝ่ายที่บอกว่า “เป็นแวมไพร์สายเลือดแท้เหมือนกับคุณ” แสดงว่าอัลเฟรดรู้แล้วว่าชินเป็นผู้อยู่อาศัยในเมืองหลวงเขต 40 ซึ่งเป็นของแวมไพร์เมื่อ 12 ปีก่อน
การตอบกลับนี้จึงไม่เสียผลประโยชน์ใด ๆ
“…ครับผม”
อัลเฟรดใช้เวลาตอบกลับช้ากว่าก่อนหน้านี้ ด้วยดวงตาที่เบิกโพลงแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มดีใจ
ชินไม่รู้ว่าในหัวเขาคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนไม่นานนักอัลเฟรดก็กลับมาเยือกเย็นได้อีกครั้ง
“เรื่องเมื่อครู่ต้องขอโทษด้วยนะครับ… เป็นเพราะความไม่รอบคอบของทางนี้เลยทำให้สถานการณ์เกินควบคุม”
“เอาเถอะ… เรื่องนั้นฉันเองก็ขอโทษ”
อัลเฟรดยิ้มแห้ง ๆ ให้กับคำขอโทษของชิน เพราะท่าทางของชินไม่ได้สำนึกผิดอย่างที่พูดเลยสักนิด
“ถ้างั้น เพื่อไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้… ผมขอบอกความต้องการของพวกเราก่อนเลยแล้วกันนะครับ”
อัลเฟรดยืดแผ่นหลังขึ้นเล็กน้อย มองเข้ามาในดวงตาของชินอย่างจริงจัง
“ได้โปรด ช่วยเป็นพรรคพวกกับพวกเราด้วยครับ”
“…”
ห๊ะ!?
ท่าทีของอัลเฟรดเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจนชินตามไม่ทัน
ตอนนี้อัลเฟรดค้อมหน้าลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอร้อง ไม่สิ… รวมกับคำพูดเมื่อครู่ มันคือการขอร้องไม่ผิดแน่
แต่พอเป็นแบบนี้ ก็ทำให้ชินเข้าใจแล้วว่าทำไมสถานะความร่วมมือถึงขึ้นอยู่กับคำตอบของตน ทว่าก็ยังไม่สามารถทำให้ชินเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้อยู่ดี
ข้อมูลยังน้อยเกินไปที่จะตัดสินใจ
ชินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ไม่ผลีผลามตัดสินใจก่อนได้ฟังเรื่องราว
“หมายความว่ายังไง? อยู่ ๆ มาบอกแบบนี้มันไม่ได้หรอกนะ”
“ผมทราบครับ… แต่อย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจนะครับ ว่าโดยพื้นฐานผมไม่ได้ต้องการเป็นศัตรูกับคุณ”
เจอกับน้ำเสียงแสนเย็นชาของชินอัลเฟรดก็ยังตอบกลับมาอย่างสุภาพ
แต่ถ้าเป็นอย่างที่อัลเฟรดพูด ชินก็พอเข้าใจว่าทำไมท่าทีของพวกเขาถึงค่อนข้างประนีประนอมมาตลอด โดยเฉพาะหญิงสาวผู้สวมหน้ากากกระต่ายที่ดูกังวลตลอดการสนทนา
ทั้งหมดค่อนข้างแสดงให้เห็นว่าแม้อีกฝ่ายจะกุมความลับของชินไว้ แต่ไพ่ที่ถือกลับไม่ได้เหนือกว่า
เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าเจตนาต้องการความร่วมมือของอีกฝ่ายท่าจะเป็นของจริง
“แต่การจะคุยถึงรายละเอียด… ผมอยากจะยืนยันอีกครั้งครับว่าพวกเราไม่ใช่ศัตรูของคุณ ถ้าเป็นแบบนั้นเรื่องรายละเอียดที่จะพูดคงจะน่าเชื่อถือขึ้น”
“ตามหลักแล้วมันก็ควรเป็นอย่างงั้น… แต่ในทางปฏิบัตินี่จะทำยังไง?” ชินเอียงคอสงสัย เพราะแค่คำพูดมันพิสูจน์ไม่ได้
อัลเฟรดเองก็รู้เรื่องนั้น เขามองไปยังสมาชิกทุกคนที่อยู่ด้านข้างแล้วพยักหน้าให้เบา ๆ
ทุกคนมีท่าทีระแวงเล็กน้อยหลังอัลเฟรดให้สัญญาณ ยกเว้นหญิงสาวสวมหน้ากากกระต่ายที่ดูกังวลจนผิดสังเกต
แต่ไม่มีทางเลือก เพราะหากไม่ทำตามที่อัลเฟรดเคยบอกไว้ก่อนหน้า ยังไงก็คงซื้อใจชินที่ขี้ระแวงไม่ได้
…ทุกคนจึงเริ่มถอดหน้ากากของตัวเองเพื่อเผยตัวตนที่แท้จริง
ความจริงแล้วเราเองก็คิดอยู่หรอกว่าวิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุด
หากต้องการความร่วมมือก็ต้องยกเลิกสถานะกึ่งข่มขู่แบบนี้เสียก่อน
แต่ถ้าทำแบบนี้ลงไป อีกฝ่ายก็จะเสียไพ่ในมือที่ว่า “ฉันรู้ตัวจริงของนายแค่ฝ่ายเดียว” ไป
…นี่แสดงว่าอีกฝ่ายมั่นใจมากสินะ
ชินสงสัยว่าไพ่ในมืออีกฝ่ายอาจไม่ได้มีแค่นี้ ขณะมองภาพแต่ละคนค่อย ๆ ถอดหน้ากากของตัวเองออกด้วยท่าทางฝืน ๆ แน่นอนว่าแม้จะด้วยความจำเป็น แต่คงไม่มีใครอยากจะทำลายตัวตนอันสะดวกสบายที่สามารถทำอะไรก็ได้โดยที่ตัวตนจริงไม่เดือดร้อนไปแน่ ชินเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน
อนึ่ง ชินมั่นใจความสามารถในการจดจำใบหน้าของตัวเองพอสมควร เพราะใช้มันในงานล่าค่าหัวก่อนหน้าอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้ชินค่อนข้างแปลกใจกับตัวจริงของแต่ละคน
ภายใต้หน้ากากของเด็กผู้หญิงง่วงนอน คือเด็กหญิงผมบ๊อบสีน้ำตาลอ่อน… เธอเป็นคนที่ชินเคยสบตาด้วยบนรถไฟฟ้าเมื่อ 2 วันก่อน
ภายใต้หน้ากากของหนุมานผู้มีนิสัยไม่ยอมใคร คือเด็กหนุ่มไว้ผมตั้งดูคล้ายนักเลง… เป็นชายคนเดียวกับที่ชินเดินชนหน้ารั้วโรงเรียนตอนเช้าเมื่อวาน
ภายใต้หน้ากากของกบสีเขียว คือหญิงสาวผมบลอนด์… ซึ่งเป็นพนักงานสาวในร้านคาเฟ่ที่ชินไปนั่งทานกับโอลิเวียก่อนกลับเมื่อบ่ายนี้
เช่นไรก็ตาม… ความแปลกใจนั่นยังไม่มากเท่ากับตัวจริงของคนสุดท้าย
“!!?”
ตัวจริงของคนสุดท้ายที่ทำเอาชินถึงกับเบิกตาโพลง
ภายใต้หน้ากากกระต่ายสีขาวตาแดง… คือเพื่อนร่วมชั้นของเขา ทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทสาวไม่กี่คนที่เอาใจใส่และใจดีกับเขาอยู่เสมอ
คือเกวน เรดฮาร์ท เพื่อนสนิทต่างเพศของชิน
บังเอิญ? หรือว่าเป็นการจงใจ? ความกังวลแบบนั้นอยู่ในหัวของชินจนแทบตาลาย
ในที่สุดชินก็ได้ตระหนัก ว่าชีวิตประจำวันอันแสนดำมืดในตอนกลางคืนที่เคยคิดมาตลอดว่าเป็นเอกเทศกับแสงตะวัน มันได้เริ่มกลืนกินชีวิตอันแสนสุขใต้แสงสว่างของเขาไปทีละนิดเสียแล้ว
❖❖❖❖❖
MANGA DISCUSSION