บทที่ 99 วางแผนรบบนกระดาษ
คำตอบของฉินเฟิงเกินความคาดหมายของทุกคน ทั้งตำหนักไท่เหอพลันเงียบลง
เมื่อรู้สึกถึงสายตาแปลก ๆ จากทุกทิศทุกทาง ฉินเฟิงก็ไอแห้ง ๆ ออกมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุการณ์สำคัญระดับแคว้นเช่นการนำทัพไปทำศึกกับเป่ยตี๋นี้ ควรได้รับการพิจารณาและตัดสินโดยเสาหลักของแคว้น ข้าเป็นเพียงสามัญชน เรื่องใหญ่เพียงนี้ข้าจะพูดได้อย่างไร หากมีอะไรผิดพลาดถึงตาย ข้าน้อยย่อมหนีความผิดไม่พ้น”
คำพูดเหล่านี้ เรียกแบบน่าฟังว่า ‘รู้จักระมัดระวังวาจา’ แต่หากเรียกแบบไม่น่าฟังก็คือ ‘ขี้ขลาด’
ตำหนักไท่เหอที่เดิมมีบรรยากาศเคร่งขรึมพลันมีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นเป็นระยะ โดยเฉพาะเสียงหัวเราะจากบัณฑิตขงจื๊อที่อยู่รอบ ๆ ดูจากสีหน้าแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาแค่หยิ่งยโส หรือกำลังดูถูกฉินเฟิงกันแน่
“ฉินเฟิงผู้นี้ ไม่ได้ไร้ทางเยียวยาอย่างที่เล่าลือ อย่างน้อยเขาก็วางตำแหน่งตัวเองไว้ได้อย่างชัดเจน”
“หึ ๆ หากเขาพล่ามอะไรยาว ๆ ออกมาคงจะทำให้ข้านึกรังเกียจไม่น้อย แต่นี่ถือว่าจริงใจดี สิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์คือ ต้องตระหนักรู้ในตนเอง”
เมื่อเห็นบัณฑิตขงจื๊อทุกคนส่ายหัวราวกับกำลังมั่นใจในชัยชนะ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยังคงยิ้ม แต่ไม่ได้ตรัสอะไรออกมา
ฉินเทียนหู่ตระหนักได้ทันทีว่าฮ่องเต้ไม่พอพระทัยแล้ว เขากลัวว่าสิ่งนี้จะทำให้ตระกูลฉินเดือดร้อน เสนาบดีกรมกลาโหมจึงไม่ทนอีกต่อไป เขารีบเดินออกจากฝูงชน และคำรามใส่ฉินเฟิงด้วยเสียงต่ำ “วันนี้บัณฑิตขงจื๊อจะหารือเรื่องการเดินทัพไปเป่ยตี้ เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง วันหลังค่อยหารือ เจ้ายังไม่รีบออกไปจากที่นี่อีก!”
เฉิงหยินลูบเครายาวของเขาเบา ๆ พลางขมวดคิ้ว ไม่ได้มองดูฉินเฟิง และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าได้ยินมาว่าฉินเฟิงลูกชายของเสนาบดีกรมกลาโหมมีความฉลาดอยู่บ้าง เขานำเสนอแผนภาพหน้าไม้แก่ฝ่าบาท อีกทั้งยังทำน้ำตาลทรายขาวด้วยวิธีการอันชาญฉลาด ว่าไปแล้วก็ดูเป็นคนหนุ่มมีอนาคต ทว่าถึงแม้เขาจะฉลาดหลักแหลมแต่ก็ยังห่างไกลจากการหารือเรื่องสงครามใหญ่ระดับแคว้น เชื่อฟังบิดาของเจ้าแล้วถอยกลับไปเถิด ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะก่อความเดือดร้อนได้”
เมื่ออยู่กับบัณฑิตปากหวานก้นเปรี้ยวที่ ‘ใช้ปากกาแทนดาบ’*[1] ฉินเฟิงก็ดูมีมารยาทขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา เขาก้มศีรษะลงตลอด ไม่ได้มองตรงไปที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง
ฉินเฟิงมองไปด้านข้าง แล้วเอ่ยกับเฉิงหยิน “สิ่งที่ท่านกล่าวถูกยิ่งนัก ผู้น้อยชื่นชมในชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว วันนี้ได้พบถือเป็นโชควาสนาในชีวิต ในใจผู้น้อยรู้สึกสับสนมาก ไม่ทราบว่าท่านช่วยชี้แนะได้หรือไม่”
สิ้นประโยคนั้น ก่อนที่เฉิงหยินจะเอ่ย ฉินเทียนหู่ก็ทนไม่ไหวแล้วตะโกนด้วยเสียงต่ำ “ฉินเฟิง อย่าก่อเรื่อง! มีเรื่องอะไร รอว่าราชการจบค่อยหารือ ในพระตำหนักหาใช่ที่ที่เจ้าจะก่อความผิดได้!”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเพียงมองเฉิงหยินด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเฉิงหยินจะแก่ชราแล้ว แต่ร่างกายของเขายังแข็งแรงยืนหยัดเหมือนต้นสน และมีเสียงดังกังวานเหมือนระฆัง “เด็กรุ่นเยาว์มีใจอยากเรียนถือเป็นเรื่องดี แต่มันไม่เหมาะสมกับเวลา”
ทันใดนั้น ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงที่คอยดูสถานการณ์โดยรวมก็ยิ้ม และเอ่ยว่า “หารือกันมาถึงยามนี้ เจิ้นคิดว่าขุนนางทุกคนคงเหนื่อยล้าแล้ว ไม่สู้ใช้โอกาสนี้พักผ่อนเสียหน่อยเล่า ท่านเฉิงให้คำชี้แนะแก่ฉินเฟิงเถิด ไม่ต้องสนใจเจิ้น”
สถานการณ์ในตำหนักถือเป็นที่แน่ชัดแล้ว ตราชั่งของชัยชนะเอียงไปทางฝ่ายต่อต้านสงคราม ตราบใดที่ปาฏิหาริย์ไม่เกิดขึ้น การศึกกับเป่ยตี๋จะถูกเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
นี่คือจุดจบที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่อยากเห็นมากที่สุด
ดังนั้นจึงต้องค้นหาตัวแปร แต่ตอนนี้เมื่อมองตาขุนนางบุ๋นบู๊ที่ได้ชื่อว่าเสาหลักของแคว้นจนทั่วราชสำนักกลับพบว่า บุคคลเดียวที่เป็นตัวแปรได้คือคนธรรมดาสามัญที่ดูพึ่งพาไม่ได้อย่างฉินเฟิง
ในเมื่อฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงพูดเช่นนี้ แม้แต่เฉิงหยินยังต้องยอมลดมาดลง และเอ่ยอย่างอดทนว่า “สามารถไขข้อข้องใจแก่คนรุ่นเยาว์ได้ถือเป็นการทำความดี ฉินเฟิงเจ้าอยากรู้อะไรเล่า? พูดให้ชัดเจนเถอะ”
ฉินเฟิงก้มศีรษะลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งเสียงจุ๊ปาก การกระทำที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้ทำให้ขุนนางบุ๋นบู๊ และบัณฑิตขงจื๊อทุกคนขมวดคิ้ว
ดูเหมือนนายน้อยตระกูลฉินจะไม่ได้คิดว่าพระตำหนักไท่เหอเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในราชวงศ์ต้าเหลียง เขาทำราวกับอยู่ที่จวนของตนเอง ปล่อยตัวตามสบาย แล้วถามว่า “ตั้งแต่โบราณมา ผู้ที่พิชิตใต้หล้าล้วนเป็นยอดขุนพล ผู้ปกครองใต้หล้าล้วนเป็นปัญญาชน ปัญญาชนในที่นี้ เราจะให้นิยามได้อย่างไร?”
ทันทีที่ประโยคนี้ดังขึ้น บรรดาบัณฑิตขงจื๊อทุกคนก็แสดงท่าทีดูถูก
เฉิงหยินก็ประหลาดใจเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะถามคำถามง่าย ๆ เช่นนี้ จึงโพล่งออกมาทันทีว่า “ผู้ที่อ่านบทกวีและตำราได้ดี ย่อมเป็นปัญญาชน”
ฉินเฟิงลากเสียงตอบรับว่า “โอ้” แล้วถามต่อ “ผู้น้อยอ่านบทกวีและตำรามาตั้งแต่เด็ก รู้อักษรไม่น้อย ทั้งยังเขียนบทกวีมาบ้างแล้ว เช่นนั้น ข้าถือเป็นปัญญาชนหรือไม่”
เฉิงหยินเข้าใจความหมายแฝงของฉินเฟิงจึงตอบอย่างชัดเจนว่า “ใช่ แต่มีความแตกต่างระหว่างปัญญาชนที่แต่งบทกวีกับปัญญาชนที่เก่งเรื่องการวางกลยุทธ์ ข้าได้อ่านบทกวี ‘ออกด่าน’ ของเจ้าแล้ว ถือได้ว่าเป็นบทกวีที่หายากและยอดเยี่ยม แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับแนวทางการปกครองแคว้น เมื่ออายุสามสิบข้าอ่าน ‘ยุทธศาสตร์การปกครองแคว้น’ จนเข้าใจ เมื่ออายุสิบเก้าข้าท่อง ‘ทฤษฎีแคว้นรุ่งเรือง’ กลับหลังได้ อีกทั้งยังแต่งบทกวีและอภิปรายทฤษฎีได้ นี่คือความแตกต่างระหว่างเจ้ากับข้า”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา บรรดาบัณฑิตขงจื๊อต่างชื่นชมเฉิงหยินด้วยสายตา
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยังคงสงบ เขาเพียงฟังการสนทนาระหว่างฉินเฟิงกับเฉิงหยินเงียบ ๆ ดวงตาของเขาจ้องทั้งสองคนสลับไปสลับมาไม่วาง
ในทางกลับกันหลี่จ้านที่ยืนอยู่ข้างฝ่าบาทเหงื่อออกเต็มหน้าผากพลางคิดในใจ แม้ว่าฉินเฟิงจะฉลาด แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะเฉิงหยินกระมัง
คนที่ประหม่าที่สุดในที่แห่งนี้คือฉินเทียนหู่
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงวางเดิมพันทั้งหมดไว้ที่ฉินเฟิง หากฉินเฟิงแพ้ ความโปรดปรานก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็จะสิ้นสุดลง
สูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้ในราชสำนักอันปั่นป่วน ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
ขณะที่ทุกคนคิดว่าเฉิงหยินกำลังจะชนะ ฉินเฟิงก็ถามขึ้นทันที “ในเมื่อท่านมีความเชี่ยวชาญในกลยุทธ์ด้านการปกครองแคว้น เช่นนั้นผู้น้อยขอถามคำถามต่อท่าน เนื่องจากการบุกรุกชายแดนของเป่ยตี๋บ่อยครั้ง พื้นที่ผลิตน้ำตาลแถบซีเป่ยจึงได้รับความเสียหายหนัก ชาวไร่อ้อยตรากตรำทำงานเป็นปี ๆ แต่หาเงินเลี้ยงชีพไม่ได้ ทั้งยังมีโศกนาฏกรรมที่น่าสลดใจอย่างการขายบุตรแลกอาหาร ไม่ทราบว่าท่านจะแก้ปัญหานี้อย่างไร?”
เฉิงหยินยืนเอามือไพล่หลัง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในใจมีกลยุทธ์อยู่แล้ว จึงเอ่ยออกมาอย่างสบาย ๆ ว่า “มีสองทางออก หนึ่งคือย้ายถิ่นฐานชาวไร่อ้อย สองคือเปิดคลังบรรเทาภัยพิบัติ และให้ฝ่าบาทแต่งตั้งขุนนางเพื่อกำกับดูแลเสบียงให้ส่งถึงมือผู้ประสบภัยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย”
ดวงตาของฉินเฟิงฉายประกายความชื่นชม “สมแล้วที่เป็นท่าน สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย หรือว่ากลยุทธ์การบรรเทาภัยนี้ได้เรียนรู้มาจาก ‘กลยุทธ์การปกครองแคว้น’ ด้วยเช่นกัน”
เฉิงหยินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงเริ่มประจบประแจงเฉิงหยิน ใบหน้าของฉินเทียนหู่เดี๋ยวก็แดงเดี๋ยวก็ซีดขาว เสนาบดีกรมกลาโหมอยากจะดุด่าบุตรชายหลายครั้ง น่าเสียดายที่พระตำหนักไท่เหอเป็นสถานที่สำคัญ หากไม่ได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้ แม้ว่าจะเป็นเสนาบดีก็ทำได้เพียงรออย่างอดทนเท่านั้น
ฉินเฟิงชื่นชมความรู้ของเฉิงหยินอย่างเต็มที่ จากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง และทำสีหน้าสับสนอีกครั้ง “การย้ายถิ่นฐานผู้คนเป็นกลยุทธ์ที่ดีจริง ๆ และสามารถแก้ปัญหาได้ตลอดไป แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดในการเคลื่อนย้ายราษฎร?”
เฉิงหยินที่เดิมมีความภาคภูมิใจปรากฏเต็มใบหน้า จู่ ๆ ก็ชะงักค้างไป
[1] ใช้ปากกาแทนดาบ : อุปมาหมายถึง การใช้คำพูดโน้มน้าวคนแทนการใช้อาวุธ
MANGA DISCUSSION