บทที่ 96 เข้าพบองค์ชาย
หนึ่งตำลึงเงิน… นี่เป็นการตบหน้าแขกชุดขาวและคนอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด เช่นนี้ไม่ต้องชดใช้ยังดีเสียกว่า!
เมื่อเห็นใบหน้าที่โกรธแค้น ทว่าไม่อาจทำอันใดได้ของแขกชุดขาวและคนอื่น ๆ ฉินเฟิงก็กลั้นรอยยิ้มและพูดเสียงดัง “จริงสิ มาตรวจสอบตัวตนของคนเหล่านี้กันเถอะ เราจะได้ช่วยจัดเตรียมเงินให้ทางครอบครัวของพวกเขา”
ทันทีที่พูดเช่นนี้ ชายเคราแพะก็โบกมืออย่างรวดเร็วเพื่อหยุดฉินเฟิง “ไม่… ไม่จำเป็นขอรับ! พวกเราซาบซึ้งในความมีน้ำใจของนายน้อยฉินแล้ว เป็นคนเหล่านี้เองที่ไม่ดูตาม้าตาเรือขวางทางของนายน้อยจึงถูกสังหาร เป็นเพราะพวกเขาหาเรื่องเอง ส่วนค่าทำศพ นายน้อยฉินเก็บไว้ใช้เองเถิดขอรับ”
เหงื่อเย็นไหลออกมาเต็มแผ่นหลังชายเคราแพะ คนเหล่านี้ล้วนเป็นทหารรักษาพระราชวัง หากตัวตนของพวกเขาถูกตรวจสอบ แค่การระดมกำลังทหารรักษาพระราชวังโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ฝ่าบาทลงพวกเขาด้วยยาพิษหนึ่งกา
ฉินเฟิงมีสีหน้าจริงจัง “รังเกียจว่าเงินน้อยเกินไปใช่หรือไม่? เช่นนั้น… ข้าเพิ่มให้อีกสักสองสามเหวินเป็นอย่างไร? ตระกูลฉินของเรานั้นซื่อสัตย์สุจริตและเป็นขุนนางมือสะอาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่สามารถใช้จ่ายเงินมากเกินไปได้จริง ๆ นี่ถือเป็นสินน้ำใจเพื่อผู้ตายจากข้า ท้ายที่สุดแล้วการจัดเตรียมเงินแก่สมาชิกในครอบครัวของพวกเขาเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่เช่นนั้นจิตใจที่มีมโนธรรมของข้าคงไม่อาจทนไหว”
ชายเคราแพะโกรธจนสาปแช่งอยู่ในใจ มีมโนธรรมมารดาเจ้าสิ! นี่ช่างเป็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิตข้าจริง ๆ! ในเมืองหลวงแห่งนี้มีใครไม่รู้บ้างว่าคนสารเลวอย่างเจ้าเหยียบผู้อื่นทุกเมื่อหากมีโอกาส
แขกชุดขาวที่อยู่ด้านข้างเองก็มีสีหน้าอึมครึมเช่นกัน นอกจากจะโกรธแล้วเขายังรู้สึกแปลกประหลาดอีกด้วย
ไม่รู้ว่าเจ้าฉินเฟิงผู้นี้ได้รับความมั่นใจมาจากที่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าเขาและคนอื่น ๆ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์ชายรอง แต่ก็ยังก่อความยุ่งยากให้โดยไม่แม้แต่จะเห็นแก่หน้าองค์ชายรองด้วยซ้ำ
แขกชุดขาวขยิบตาให้ชายเคราแพะ
ชายเคราแพะไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป รีบพาคนที่เหลือลากศพ และวิ่งหายวับไปกับตา
แขกในชุดขาวแสดงท่าทาง ‘เชื้อเชิญ’ อย่างอดกลั้น “นายน้อยฉิน องค์ชายรองมีคำเชิญ ท่านโปรดให้เกียรติตอบรับด้วย?”
ฉินเฟิงมีสีหน้าตื่นตะลึงเพราะได้รับความชอบโดยไม่คาดฝัน “ท่านกล่าวมากเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงสามัญชนตัวเล็ก ๆ จะแบกรับคำว่า ‘ให้เกียรติ’ ได้อย่างไร? องค์ชายรองต้องการพบข้า เพียงแค่ส่งบ่าวไพร่มาบอกก็เพียงพอ ข้าน้อยย่อมกระตือรือร้นไปเข้าเฝ้า ทว่าวันนี้ฝ่าบาทก็เรียกข้าเข้าเฝ้าเช่นกัน ข้าไม่กล้ารั้งรอ หากทำให้เรื่องบ้านเมืองล่าช้า และฝ่าบาทตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้นมา จะมิสร้างปัญหาให้องค์ชายรองหรอกหรือ?”
แขกชุดขาวแอบกัดฟัน ดีนักไอ้เจ้าฉินเฟิง! กระทั่งองค์ชายรองยังเรียกหาเจ้าไม่ได้? บัญชีนี้ได้จดเอาไว้แล้ว เจ้าระวังตัวไว้ให้ดีเถิด หากในอนาคตเจ้าสูญเสียอำนาจ อย่าตำหนิพี่น้องที่ลงมือโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!
จิ่งเชียนอิ่งอารมณ์ดีมาก ผู้ที่เป็นยอดฝีมือ ทั้งยังเป็นแขกขุนนางต่างแดนขององค์ชายรองอย่างแขกชุดขาวมักจะยิ่งยโสและไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเสมอ วันนี้ฉินเฟิงทำให้เขาหน้าแดงหูแดง ตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ ช่างน่าสะใจยิ่งนัก!
น้องชายบ้านนางไม่มีข้อดีอื่นใด แต่ในแง่ของความสามารถด้านการ ‘สะกิดจิตผู้คน’ นั้น ผู้ใดในเมืองหลวงย่อมเทียบไม่ได้แล้ว
แขกชุดขาวต้องการจากไปอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งขององค์ชายรอง
ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงประสานหมัดคารวะ “ข้าน้อยควรทำเช่นไร เพื่อให้นายน้อยฉินเต็มใจที่จะเข้าพบองค์ชายรอง”
ฉินเฟิงจับคาง มองอีกฝ่าย และทำสีหน้าลำบากใจ “ข้าเป็นแค่บุคคลตัวเล็ก ๆ จะกล้าขัดคำสั่งองค์ชายรองได้อย่างไร? เพียงแต่ฝ่าบาทเรียกข้าเข้าเฝ้า ดังนั้นข้าไม่กล้าชักช้า อ้อ จริงด้วย!”
ฉินเฟิงหันไปมองจิ่งเชียนอิ่งและขยิบตา “พี่หญิงสี่ ท่านไปที่พระราชวังแล้วแจ้งให้องครักษ์ทราบสักหน่อยว่า ข้ามีเรื่องจะต้องไปคุยกับองค์ชายรอง จากนั้นจะรีบตามไปในไม่ช้า”
จิ่งเชียนอิ่งย่อมเข้าใจความหมายโดยนัยของฉินเฟิง แม้ว่านางจะมีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ทว่าสองหมัดยากที่จะเอาชนะสี่เท้า ปกป้องตัวเองนั้นง่าย แต่ปกป้องฉินเฟิงนั้นยาก
ตราบใดที่คนทั้งเมืองรู้เกี่ยวกับการพบปะของฉินเฟิงกับองค์ชายรอง แม้ว่าสถานะของเขาจะสูงส่งเป็นถึงองค์ชายก็ไม่สามารถทำอันใดกับฉินเฟิงได้
หลังจากคิดถี่ถ้วนดีแล้ว จิ่งเชียนอิ่งก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
แขกชุดขาวลอบถอนหายใจและมองไปที่ฉินเฟิงอย่างลึกซึ้ง พลางคิดว่าเจ้าหมอนี่เจ้าเล่ห์จริง ๆ อย่างที่ข่าวลือว่ากันไม่มีผิด!
หลังจากฉินเฟิงมองจิ่งเชียนอิ่งจากไป เขาก็โบกมือให้กับชาวบ้านที่ถูกทำให้หวาดกลัวบนถนนเสริม และเอ่ยเสียงดังว่า “วันนี้ข้าโชคดีจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่ข้าได้ยินนกสี่เซี่ยร้องเรียกตั้งแต่เช้าตรู่ ฝ่าบาทและองค์ชายรองต่างก็เรียกข้าเข้าเฝ้าในวันเดียวกัน ฮ่าฮ่าฮ่า เกียรติที่พิเศษเช่นนี้ทำให้คนแซ่ฉินตื่นตกใจที่ได้รับความโปรดปรานอย่างไม่ทันคาดคิดโดยแท้”
ชาวบ้านรอบตัวเขามองหน้ากันด้วยความสับสน แม้พวกเขาจะรู้ว่าฉินเฟิงเป็นคนที่เข้าหาง่าย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ
“เจ้าสารเลวคนนี้ขี้อวดเกินไปแล้ว!”
แขกชุดขาวนำทางไปตามถนน และเดินทะลุตรอกซอกซอยด้วยใบหน้าดำทะมึน ผ่านไปไม่นานก็มาถึงทะเลสาบแสงจันทร์ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นทะเลสาบที่ถูกขุดขึ้น ที่นี่มีต้นหลิวปลูกล้อมรอบ นับว่าเป็นทัศนียภาพที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง
ในเวลานี้มีผู้คนไม่น้อยเดินเล่นอยู่ข้างทะเลสาบ ฉินเฟิงมองออกทันทีว่าคนเดินถนนเหล่านี้เป็นองครักษ์ปลอมตัวมา
ชายหนุ่มมองไปตามสะพานที่มุงหลังคา และมุ่งหน้าไปยังศาลาชมวิวกลางทะเลสาบ เมื่อเดินไปถึงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงเครื่องสายที่ไพเราะดังเป็นระรอก พอเหลือบมองไปก็พบกับหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งมีผ้าโปร่งสีขาวปิดหน้านั่งอยู่ นางกำลังดีดกู่ฉินอย่างอ่อนโยนในศาลาชมทิวทัศน์
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจว่า “บัดซบ องค์ชายรองเป็นพวกแต่งตัวข้ามเพศ?”
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ ฉินเฟิงจึงพบว่ามีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งอยู่ในศาลาชมทิวทัศน์
ชายหนุ่มคนนี้อายุประมาณสิบหกหรือสิบเจ็ดปี เขาสวมชุดผ้าแพรสีฟ้าและใส่หมวกขงเบ้ง กำลังนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้ระเบียง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่นับว่าหล่อเหลา แต่กลับมีบารมีที่ทำให้ผู้คนเคารพยำเกรง
สมกับเป็นทายาทมังกร รัศมีและออร่านี้เกินกว่าจะบรรยายได้จริง ๆ
นายน้อยฉินเดินมาถึงศาลาชมทิวทัศน์และรีบโค้งคำนับ “ราษฎรผู้ต่ำต้อยฉินเฟิง ถวายบังคมองค์ชายรอง ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี”
องค์ชายรองเพิกเฉยต่อฉินเฟิงและจดจ่ออยู่กับหนังสือ แต้มน้ำลายบนปลายนิ้วพลางพลิกหน้าต่อไปแล้วอ่านต่อ
มาถึงก็วางอำนาจทันทีที่พบหน้าเลยหรือ?
ฉินเฟิงสาปแช่งในใจ เสแสร้งหามารดาเจ้าสิ มิใช่ว่าเป็นองค์ชายรองหรอกหรือ? เจ้าเสแสร้งให้ข้าดูหาลูกวัวอันใด? พ่อของเจ้าเมื่อเห็นข้ายังต้องเกรงอกเกรงใจเลยนะเว้ย!
นายน้อยตระกูลฉินคิดอย่างนั้นในใจ แต่ตีให้ตายเขาก็ไม่กล้าพูดออกมา เขายังคงรักษาท่าทางโค้งคำนับ “ราษฎรผู้ต่ำต้อยฉินเฟิง ถวายบังคมองค์ชายรอง…”
องค์ชายรองยังคงเพิกเฉยต่อฉินเฟิง
กลับเป็นสตรีผู้บรรเลงกู่ฉินที่หยุดเคลื่อนไหว และทำท่าทางให้ฉินเฟิง ‘เงียบ’ ส่งสัญญาณให้รู้ว่าอย่าเพิ่งรบกวนอารมณ์อันสุนทรีย์ขององค์ชายรองตอนนี้
ส่วนแขกชุดขาวที่ติดตามอยู่ด้านหลังฉินเฟิงก็ส่งเสียงหึขึ้นมาเบา ๆ พลางกล่าวว่า
“ในเมื่อเรียกตนเองว่าราษฎรผู้ต่ำต้อย เหตุใดเมื่อพบองค์ชายแล้วไม่คุกเข่าเล่า?”
“โอ้” ฉินเฟิงโพล่งออกมาโดยไม่ลังเล “ข้ามีโรคประหลาด จึงงอเข่าไม่ได้”
ทันทีที่เอ่ยออกมา สตรีที่บรรเลงกู่ฉินก็ถูกยั่วเย้าจนหัวเราะอย่างเหยียดหยาม นางคิดว่าชายคนนี้หน้าด้านเกินไปแล้ว พูดจาโกหกลื่นไหลไปเรื่อย
มุมปากขององค์ชายรองอดไม่ได้ที่จะยกขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกสนใจ เขาชำเลืองมองฉินเฟิงจากหางตา “ในเมื่อไม่ชอบคุกเข่า เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบังคับฝืนใจ ข้าอยากพบเจ้ามานานแล้ว เจ้าเป็นคนนิสัยแปลกประหลาดเช่นเดียวกับข่าวลือจริง ๆ ทว่าผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมล้วนเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณ”
ฉินเฟิงแสยะยิ้มและพูดว่า “องค์ชายทรงชมเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ราษฎรผู้ต่ำต้อยกลัวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“กลัวหรือ?” องค์ชายรองยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ฉินเฟิง เจ้าไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา แล้วเจ้าจะพูดถึงความกลัวได้อย่างไร”
MANGA DISCUSSION