บทที่ 95 คนกันเองทั้งนั้น
ชายผู้มีเคราแพะหรี่ตา พลางประเมินจิ่งเชียนอิ่ง แม้เขาจะรู้ว่าคุณหนูสี่ของตระกูลฉินเคยฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ทว่าเขาดูถูกสตรีนางนี้จากก้นบึ้งของหัวใจ จึงเอ่ยถากถางแหน็บแนมในทันที “ถ้าหากรู้ความ ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี ทว่าถ้าไว้หน้าแล้วยังไม่เห็นค่า หากแขนขาดขาหายไปข้างก็อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือน”
ฉินเฟิงเม้มปาก ครุ่นไปคิดมา หัวใจของเขาพลันสั่นสะท้าน “พี่หญิงสี่ ไม่เช่นนั้นเอาตามนี้เถิด? เขาบอกว่าถ้าหากรู้ความล่ะก็ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี…”
“หุบปาก! เจ้าตัวไร้ประโยชน์” จิ่งเชียนอิ่งตะโกนอย่างเย็นชาเพื่อหยุดคำพูดแสลงหูของฉินเฟิง ในฐานะลูกหลานตระกูลฉิน ทำตัวขี้ขลาดเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหรือ!
จิ่งเชียนอิ่งเหลือบมองชายเคราแพะแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “นายน้อยแห่งตระกูลฉินถูกฮ่องเต้เรียกพบ ใครให้ความกล้าหาญแก่เจ้า จึงบังอาจปิดกั้นถนน?! หากยังไม่รีบเปิดทางล่ะก็ข้าจะฆ่าพวกเจ้าโดยไม่ปรานี!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของชายเคราแพะพลันเปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที “ไว้หน้าแล้วยังไม่เห็นค่าหรือ? เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เอาความมั่นใจมาจากที่ใดกัน?”
ทันทีที่สิ้นเสียง จิ่งเชียนอิ่งก็บุกโจมตีก่อน นางโบกมือซ้ายขึ้นไปในอากาศ จากนั้นลูกดอกสามดอกก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ มุ่งตรงไปยังประตูชีวิตของชายเคราแพะ ออกกระบวนท่าสังหารทันทีที่ลงมือ
ชายเคราแพะไม่คิดว่าจิ่งเชียนอิ่งจะดุร้ายเช่นนี้ นางเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทั้งยังลงมืออย่างโหดเหี้ยม
อย่างไรก็ตาม ชายเคราแพะผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน หลังหลุดจากอาการตื่นตระหนก เขาก็เหวี่ยงกระบี่เพื่อปัดลูกดอกสองดอกออกไป และเบี่ยงตัวหลบลูกดอกดอกสุดท้าย
ขณะที่ชายเคราแพะกำลังตัดสินใจเตรียมจะเอ่ยเยาะเย้ยสักสองประโยค รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็กลับแข็งค้างไปโดยสมบูรณ์
ลูกดอกสามแขนเป็นเพียงการโจมตีหลอก ขณะที่ชายเคราแพะถูกเบี่ยงเบนความสนใจ จิ่งเชียนอิ่งก็พุ่งเข้ามาหาเขาจากทางขวาแล้ว
ชายแปลกหน้าอีกเจ็ดคนล้วนเป็นยอดฝีมือ แต่พวกเขาไม่สามารถต้านทานกระบี่อันรวดเร็วปานสายฟ้าของจิ่งเชียนอิ่งได้เลย เมื่อนางชักกระบี่ออกมาและเริ่มฟาดฟัน เพียงพริบตาเดียวก็สังหารคนไปสองคนได้โดยง่าย
เมื่อคนที่เหลือได้สติกลับมาอีกครั้ง จิ่งเชียนอิ่งก็กลับมายืนข้างกายฉินเฟิงแล้ว และกำลังสะบัดมือไป
ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ…
ชายสองคนที่เหลือทางซ้ายพยายามต้านทานอย่างเต็มที่ แต่พวกเขาก็ถูกลูกดอกจากแขนเสื้อของจิ่งเชียนอิ่งพุ่งเข้าใส่ไม่หยุด
แม้ว่าบาดแผลที่ถูกลูกดอกจะดูมิได้ร้ายแรง แต่ก็ทำให้เป็นอัมพาตจนล้มลง และเสียชีวิตทันที
จากนั้นทุกคนจึงตระหนักว่าลูกดอกใต้แขนเสื้อของจิ่งเชียนอิ่งถูกทาด้วยยาพิษ แม้แต่ชายเคราแพะซึ่งมีทักษะการต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
ผู้หญิงคนนี้คล้ายกับว่าเกิดมาเพื่อฆ่า ทันทีที่ขยับมือก็ฆ่าคนหนึ่งคนได้แล้ว
ชั่วพริบตา คนแปดคนที่กีดขวางก็ถูกกำจัดไปแล้วครึ่งหนึ่ง คนที่เหลืออีกสี่คนรู้สึกหวาดกลัวศัตรูที่น่าเกรงขาม จนพวกเขาไม่กล้าผลีผลามบุกโจมตีแต่อย่างใด
เสียงกรีดร้องของฉินเฟิงดังก้อง ณ ที่เกิดเหตุซึ่งเต็มไปด้วยบรรยากาศอันเยือกเย็น
“เชร้ดดด พี่หญิงสี่ ท่านเทพเกินไปแล้ว ข้าจะเป็นแฟนคลับไร้สมองของท่าน ตราบใดที่ท่านอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครข้าก็ไม่กลัวทั้งนั้น!”
ฉินเฟิงกระโดดขึ้นลงไปรอบ ๆ จิ่งเชียนอิ่งอย่างตื่นเต้น ปัดกวาดความขี้ขลาดของเขาเมื่อครู่นี้ทิ้งจนสิ้น แสดงสีหน้าอย่างคนถ่อยได้ใจ พลางกล่าวเยาะเย้ยถากถางชายเคราแพะ “เข้ามาดิ เอาดิ ๆ นายน้อยอย่างข้ากำลังรอเจ้าอยู่ตรงนี้ หากเจ้ามีปัญญาก็เข้ามาเลย! หึ ๆ ตราบใดที่พี่หญิงสี่ของข้าอยู่ที่นี่ แก๊งปลาซิวปลาสร้อยอย่างพวกเจ้ามองยังไงก็ไม่คณามือนาง!”
สีหน้าของชายเคราแพะซีดลงด้วยความโกรธ นอกจากโกรธแล้วยังรู้สึกทึ่งตามไปด้วย
คุณหนูสี่ตระกูลฉินนี่มันยังไงกันแน่? เหตุใดวรยุทธ์ถึงยอดเยี่ยมเพียงนี้ทั้งที่อายุยังน้อย!
คนทั้งสี่ถูกสังหารทันที และทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในหมู่ทหารรักษาพระราชวัง
ตระกูลฉินสมควรตายนัก! คุณหนูสี่ผู้ทรงพลังจนยากที่จะต่อกร คุณหนูรองผู้มีมันสมองทางธุรกิจที่น่าทึ่ง คุณหนูใหญ่เสิ่นชิงฉือผู้ได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิงใหญ่ด้วยบทกวี ‘เมาเงาบุปผา’ ไหนจะฉินเฟิงที่บ้า ๆ บอ ๆ เบื้องหน้าผู้นี้อีก
ตระกูลฉินเป็นพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนเร้นเสียจริง!
จิ่งเชียนอิ่งเหวี่ยงกระบี่ ทุกคนต่างก็ตกตะลึง เนื่องจากกระบี่เล่มนั้นถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็ว ตัวกระบี่ไม่แม้แต่จะเปื้อนเลือดด้วยซ้ำ!
ภายใต้การจ้องมองอย่างประหม่าของชายเคราแพะ จิ่งเชียนอิ่งมีสีหน้าเรียบเฉย นางเอ่ยอย่างเย็นชา “เตือนครั้งสุดท้าย ไสหัวไปซะ!”
ชายเคราแพะตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปชั่วขณะ แม้ว่าเขาจะถูกจิ่งเชียนอิ่งสังหารกลางถนนจริง ๆ ก็ทำได้เพียงคิดว่าเป็นเพราะโชคไม่ดีเท่านั้น ใครใช้ให้พวกเขาขัดขวางบุคคลที่ฮ่องเต้เรียกเข้าพบกันเล่า
ตอนนี้เองพลันมีเสียงอันเย็นยะเยือกดังขึ้น “สมกับเป็นคุณหนูสี่ ทักษะน่าทึ่งยิ่งนัก “
ทุกคนมองไปตามเสียง ก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินอย่างเชื่องช้าเข้ามาจากถนนเสริมทางด้านขวา
อีกฝ่ายน่าจะมีอายุราวยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปี เขาแต่งกายด้วยชุดสีขาว ศีรษะสวมหมวกขงเบ้ง คิ้วทรงกระบี่ ดวงตาเป็นประกายดวงดาว มีจิตวิญญาณแห่งวีรบุรุษที่ไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มยังใช้สองมือกอดกระบี่เหล็กเรียบง่ายและไม่หรูหราไว้ในท่ากอดอก มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือ
ดวงตาของจิ่งเชียนอิ่งไม่สื่ออารมณ์ใด ๆ เพียงจ้องไปที่ชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ ในขณะเดียวกันก็เตือนฉินเฟิงว่า “มีโอกาสเมื่อใดพวกเจ้าก็หนีไปเสีย”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ฉินเฟิงพลันรู้สึกหนาวสั่นในใจ ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจว่า “แม้แต่ท่านก็ยังเอาชนะคน ๆ นี้ไม่ได้หรือ?”
จิ่งเชียนอิ่งตอบอย่างเย็นชาว่า “จะฆ่าเขาไม่ใช่ปัญหา แต่ข้าไม่สามารถสละเวลาเพื่อปกป้องเด็กตัวเหม็นเช่นเจ้าได้ คนผู้นี้มีฉายาว่าแขกชุดขาว ศิลปะการต่อสู้ของเขาอยู่ในสิบอันดับแรกของเมืองหลวง เขาเป็นแขกขุนนางต่างแคว้นขององค์ชายรอง”
องค์ชายรอง? ฉินเฟิงตระหนักถึงบางอย่างทันที เมื่อแขกชุดขาวเดินมาที่ถนนหลัก ฉินเฟิงก็เข้าไปหา ประสานมือโค้งคำนับ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็เป็นคนขององค์ชายรอง น้ำท่วมไหลเข้าวัดราชามังกร ครอบครัวเดียวกันไม่รู้จักกันโดยแท้”
เดิมทีแขกชุดขาวได้เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่ดุเดือดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กลับถูกฉินเฟิงทำให้ชะงัก ไม่รู้ว่าจะเปิดฉากหรือไม่เปิดฉากดี
ฉินเฟิงจงใจขึ้นเสียงดัง เขาหันกลับมาตะโกนบอกจิ่งเชียนอิ่ง “พี่หญิงสี่ ที่แท้ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด คนเหล่านี้เป็นคนที่องค์ชายรองส่งมา คาดว่าจะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนของข้า จึงส่งมาเพื่อปกป้องข้าโดยเฉพาะ”
แม้ว่าแขกชุดขาวจะเชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ ทว่ากลับไม่สันทัดในการจัดการกับ ‘คนไร้เหตุผล’ เยี่ยงฉินเฟิง เมื่อฉินเฟิงตะโกนเช่นนี้ ทุกคนก็จะรู้ว่าองค์ชายรองเป็นผู้ส่งคนมาปิดกั้นถนน และฆ่าฉินเฟิง ทันทีที่รู้ไปถึงพระกรรณของฝ่าบาท องค์ชายรองก็จะไร้วาสนาที่จะได้รัชทายาทแล้ว
แขกชุดขาวทำได้เพียงกลืนความอัปยศลงไป เขาเก็บกระบี่ และบังคับฝืนสร้างรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าเวลาร้องไห้ ประสานหมัดคารวะกลับไป “นายน้อยฉินพูดถูกต้องแล้ว ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด พวกข้ามาที่นี่เพื่อคุ้มครองนายน้อยฉินเข้าพระราชวัง หาได้มีความคิดอื่นไม่”
ไม่มีความคิดอื่นหรือ ฉินเฟิงเกือบจะหัวเราะออกมาเสียให้ได้
ฉินเฟิงเคยคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ว่า ในอนาคตอันใกล้องค์ชายรองจะต้องลงมือกับเขาอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้วหอเซียนเมามายและพรรคพยัคฆ์มังกร ต้นไม้เงินต้นไม้ทองสองต้นนี้ล้วนถูกรุกล้ำโดยฉินเฟิง อีกทั้งตอนนี้เขายังมีอุตสาหกรรมน้ำตาลอีก แม้ว่าองค์ชายรองจะสามารถทนได้ แต่อย่างไรก็ย่อมอยากที่จะสั่งสอนฉินเฟิงอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่ฉินเฟิงไม่ให้โอกาสเขาเลย วัน ๆ เอาแต่หดหัวอยู่ในจวน ประตูใหญ่ไม่ออก ประตูข้างไม่ย่างกราย
ตอนนี้เมื่อถูกฝ่าบาทเรียกเข้าพบ ในที่สุดก็ออกจากประตู แต่ข้างกายก็ยังไม่วายมีจิ่งเชียนอิ่งมาด้วย
เนื่องจากหน้าต่างกระดาษระหว่างฉินเฟิงกับองค์ชายรองใกล้จะทะลุอยู่รอมร่อไม่ช้าก็เร็ว เช่นนั้นในเมื่อเลือกวันที่เหมาะสมไม่ได้ ไม่สู้เอาวันนี้ไปเสียดีกว่า
ฉินเฟิงหันกลับไปเหลือบมองคนสี่คนที่นอนจมกองเลือด และแสร้งทำเป็นละอายใจ รีบเรียกฉินเสี่ยวฝูมาด้านข้าง “เฮ้อ! ดูความวุ่ยวายที่เกิดขึ้นนี่สิ ที่แท้เป็นคนกันเอง พูดไปแล้วก็เป็นความผิดของพวกเจ้า ในเมื่อมาเพื่อปกป้องคุณชายอย่างข้า เหตุใดไม่บอกกันสักคำ? ข้าก็คิดว่าพวกเจ้าเป็นนักฆ่าที่มาปิดทางลอบสังหารเสียอีก”
“เสี่ยวฝู ชดใช้เงินหนึ่งตำลึงเงินให้คนตายเป็นค่าทำศพ!”
MANGA DISCUSSION