บทที่ 92 วันนี้นายน้อยจะเกรี้ยวกราดใส่ทุกสิ่ง
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารีบส่ายหัวปฏิเสธตัวเอง ก่อนพึมพำเสียงต่ำ
“ไม่ แม้ว่าองค์ชายรองจะอยู่ข้างฝ่ายต่อต้านสงครามมาตลอด แต่พระองค์ก็ยังจับตามองคนอื่นอยู่ ไม่มีทางออกหน้า เพราะถ้าถูกฮ่องเต้สงสัยด้วยเหตุนี้จะขาดทุนมากกว่าได้กำไร องค์ชายรองไม่มีทางทำพลาดโง่ ๆ เช่นนี้…”
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังพูดกับตัวเอง เขาไม่รู้เลยว่าฉินเทียนหู่จ้องมองมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
สำหรับเหล่าขุนนางในราชสำนักแล้ว ความคิดขององค์ชายรองที่จริงไม่ได้คาดเดายากเลย
แต่ท้ายที่สุดแล้วหากองค์ชายรองอยากทำให้สำเร็จก็ต้องดึงขุนนางคนสำคัญในราชสำนักไปอยู่ด้วยให้ได้มากที่สุด
ก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายยังบอกเป็นนัยให้ฉินเทียนหู่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา แต่ฉินเทียนหู่หลีกเลี่ยงด้วยคำพูดที่คลุมเครือ
ทว่าฉินเฟิง ไม่เคยพบกับองค์ชายรองมาก่อน แต่แค่ดูจากสถานการณ์ในราชสำนัก เขาก็สามารถวิเคราะห์ความคิดขององค์ชายรองได้ ฉินเทียนหู่จึงอดไม่ได้ที่จะแอบประหลาดใจ
เด็กคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นขุนนางจริง ๆ ถ้าให้ตำแหน่งทางการกับเขาอนาคตจะต้องรุ่งโรจน์เป็นแน่
แต่น่าเสียดายที่เจ้าเด็กคนนี้ไม่สนใจที่จะเป็นขุนนาง ทั้งวันคิดแต่วิธีหาเงิน
ไม่รู้ว่าการที่ตระกูลฉินมีบุตรชายเช่นนี้ แท้จริงเป็นโชคดีหรือโชคร้าย…
ฉินเทียนหู่ไม่ได้เฉลย เพื่อทดสอบว่าความคิดของฉินเฟิงมีความละเอียดอ่อนเพียงใด เขาจงใจถามหนึ่งประโยค “เจ้าคิดว่าใครเป็นผู้นำ?”
หลังจากถามออกไปฉินเทียนหู่ก็รู้สึกขบขัน สิ่งเหล่านี้เพิ่งเกิดขึ้น ในเวลาอันสั้นข่าวคงยังไปไม่ถึงหูชาวบ้าน ไม่ว่าฉินเฟิงจะฉลาดแค่ไหนก็ไม่สามารถคาดเดาคำตอบได้หากไม่มีเบาะแส
ดังนั้นฉินเทียนหู่จึงไม่คาดหวัง เขาเตรียมพร้อมที่จะบอกคำตอบให้กับบุตรชาย
ปรากฏว่าขณะที่ฉินเทียนหู่กำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินฉินเฟิงกระซิบกระซาบเสียงเบา
“ขุนนางที่มาร่วมงานวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋องล้วนเป็นขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก แม้แต่เสนาบดีกรมคลังก็มาด้วย เห็นได้ชัดว่าทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายต่อต้านสงครามต่างก็แสดงความแข็งขันกันทั้งนั้น ยามนี้แม้แต่ขุนนางคนสำคัญของกรมคลังยังถูกฝ่าบาทสงสัย ภายในระยะเวลาอันสั้น แกนนำฝ่ายต่อต้านสงครามคงไม่กล้าออกตัวแรง เช่นนั้นแล้วคนที่เป็นผู้นำในการขัดขวางสงครามครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่ขุนนางในราชสำนักเป็นแน่”
ฉินเฟิงลูบคางส่งเสียงจิ๊จ๊ะในปาก พลางคิดอย่างรอบคอบ “ในเมื่อเป็นคนธรรมดา อีกทั้งยังเป็นเสียงที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ คิดไปคิดมาก็มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวเท่านั้น คือพวกบัณฑิตขงจื๊อที่มีแรงปลุกปั่นกระแสในวงการวิชาการ!”
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังคิดเรื่องนี้ ปากของฉินเทียนหู่ก็อ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ
หากเขาไม่เห็นด้วยตาของตัวเอง เสนาบดีกรมกลาโหมคงไม่เชื่อว่าบุตรชายที่เอาแต่เอ้อระเหยลอยชายหาเรื่องไปวัน ๆ ของเขาจะมีความคิดที่ละเอียดอ่อนจนสามารถอนุมานเหตุการณ์ทั้งหมดได้อย่างแม่นยำโดยอิงจากสถานการณ์คร่าว ๆ เช่นนี้
ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้จะชื่นชมเจ้าเด็กเวรคนนี้มาก…
แม้ว่าฉินเฟิงจะเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แต่ความสามารถของเขาก็เพียงพอที่จะสร้างกระแสคลื่นในเมืองหลวงได้
ฉินเทียนหู่อดไม่ได้ที่จะเผยความภูมิใจบนใบหน้า อย่างไรเสียนี่ก็คือบุตรของเขาฉินเทียนหู่!
แต่ปกติฉินเฟิงดูหยิ่งผยองมากอยู่แล้ว ฉินเทียนหู่จึงไม่อยากจะเอ่ยชมเขาแม้แต่ครึ่งคำ เสนบดีกรมกลาโหมแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วเอ่ย “ผู้ที่ขัดขวางเป็นพวกบัณฑิตขงจื๊อจริง ๆ”
“นอกจากพวกบัณฑิตขงจื๊อในเมืองหลวงแล้ว ยังมีบัณฑิตขงจื๊อจำนวนมากจากที่ห่างไกลเดินทางมายังเมืองหลวงด้วย เขาห้ามไม่ให้ฮ่องเต้ทำศึกกับเป่ยตี๋ ด้วยเหตุผลที่ว่าท้องพระคลังว่างเปล่า ไฟสงครามทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน การรับมือกับบัณฑิตขงจื๊อเหล่านี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังลำบากพระทัย มีการตัดสินใจว่าจะจัดการอภิปรายในราชสำนักวันพรุ่งนี้ บัณฑิตขงจื๊อเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่ไม่ยอมอะไรง่าย ๆ พวกเขามักใช้พู่กันต่างดาบ และโจมตีบุตรหลานขุนนาง”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของฉินเทียนหู่ก็เคร่งขรึมและจริงจังมากกว่าที่เคย “จากนี้ไป เจ้าก็ทำตัวให้ดีหน่อย อย่าได้ทำอะไรผิดปกติ มิฉะนั้นหากพวกบัณฑิตขงจื๊อเหล่านั้นรู้เข้า ไม่นานมันก็จะแพร่กระจายไปทั่วต้าเหลียง เมื่อถึงเวลานั้นทั้งตระกูลฉินคงต้องร่วมอับอายไปกับเจ้าอีกเป็นพันปี!”
ฉินเทียนหู่ทิ้งคำพูดที่เต็มไปด้วยความหนักใจไว้แล้วจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ทันทีที่นายท่านออกไป ฉินเสี่ยวฝูก็วิ่งเข้ามาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ
เมื่อพบว่านายน้อยไม่ได้ถูกนายท่านทุบตีจนฟันหล่นเต็มพื้น ฉินเสี่ยวฝูก็ตกใจเป็นอย่างมาก “นายน้อย ท่านเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บภายในหรือไม่ขอรับ?”
“เจ็บกับผีน่ะสิ!”
ฉินเฟิงรู้สึกรำคาญจึงโบกมือ เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจฉินเสี่ยวฝู
ฉินเฟิงคิดมาโดยตลอดว่าเขาเข้าใจความคิดของฮ่องเต้ดี แต่กลับกลายเป็นว่าแว่นแคว้นแห่งนี้ลึกซึ้งกว่าที่ฉินเฟิงจินตนาการไว้มาก
การอภิปรายในราชสำนักวันพรุ่งนี้จะขาดฉินเฟิงไปไม่ได้เป็นแน่ ประโยชน์อีกอย่างของเข็มขัดทองเส้นนั้นก็คือการทำให้ฉินเฟิง ‘มีคุณสมบัติ’ เข้าร่วมในการอภิปรายนี้
อุตสาหกรรมน้ำตาลยังไม่คงที่ สงครามเป่ยตี๋ถูกขัดขวางหลายชั้น แม้แต่ฉินเฟิงเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตกกังวล
ช่างแม่ง!
นายน้อยฉินไม่จมอยู่กับสิ่งที่ยังไม่เกิดอีกต่อไป เขาเรียกฉินเสี่ยวฝูเข้ามาแล้วเอ่ยกำชับ
“เจ้าควรส่งคนไปกระตุ้นให้เกาซงส่งเงินมาเพื่อหลีกเลี่ยงฝันร้ายยามค่ำคืนอันยาวนานเสีย”
“อีกอย่างให้หลู่หมิงรับสมัครช่างฝีมือเพิ่มโดยด่วน เงินไม่ใช่ปัญหา รีบซ่อมแซมหอสุราโดยเร็วที่สุด! อ้อ พอเริ่มการก่อสร้างเตือนหลู่หมิงให้ปฏิบัติตามกฎหมายของต้าเหลียงอย่างเคร่งครัดเพื่อกันไม่ให้คนของฉีเชิ่งมาหาเรื่องด้วย”
ฉินเสี่ยวฝูพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “นายน้อยไม่ต้องกังวล ข้าจัดการเอง ๆ!”
ตกกลางคืน แสงโคมส่องสว่าง ฉินเฟิงนั่งอยู่ในศาลาด้วยความรู้สึกเหนื่อยล้า
นับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มมายังโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกดดัน
โดยเฉพาะสงครามเป่ยตี๋ จริง ๆ ฮ่องเต้สามารถตัดสินได้ด้วยประโยคเดียว แต่กลับยืดเยื้อมายาวนานเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเสียงต่อต้านสงครามนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
“นายน้อยเจ้าคะ ดึกมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสี่ยวเซียงเซียงปรากฏตัวขึ้นด้านหลังแล้วคลุมผ้าลงบนไหล่ของฉินเฟิง
เมื่อเห็นนายน้อยที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวสิ่งใดในอดีตแสดงอาการเหนื่อยล้าที่เห็นได้ยาก เสี่ยวเซียงเซียงก็อดกังวลไม่ได้ นางกลัวว่านายน้อยจะวิ่งวุ่นทั้งวันจนทำให้ร่างกายทรุดโทรม
แม้ว่าเสี่ยวเซียงเซียงจะเป็นเพียงสาวใช้ ไม่เข้าใจหลักการอะไรมากมาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางมองเห็นได้ชัดเจนกว่าใครคือ ตระกูลฉินไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีนายน้อย
ในอนาคตนางไม่กล้าพูด แต่อย่างน้อยในตอนนี้เป็นเช่นนั้น…
บางทีอาจเป็นเพราะเขาเหนื่อยเกินไป ฉินเฟิงจึงนอนหลับลึก
ในวันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งทอแสงยามเช้า เสียงร้องเพลงที่แหลมบาดหูก็ดังก้องไปทั่วจวนฉิน หลายคนที่ยังหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราถูกปลุกให้ตื่นขึ้น แม้ว่าจะโกรธแต่ก็ไม่กล้าพูด
จนกระทั่งหลิ่วหงเหยียนส่งสาวใช้ของนางมาเตือนฉินเฟิงว่าถ้าเขายังกรีดร้องต่อไป นางจะตัดลิ้นของเขาทิ้งเสีย ในที่สุดเสียงเพลงโหยหวนราวกับวิญญาณกรีดร้องก็เงียบลง
หลังจากนอนหลับสบายเขาก็ฟื้นคืนพลังมาเต็มที่ ฉินเฟิงที่เปี่ยมไปด้วยพลังจัดวางผลไม้ และเม็ดแตงนานาชนิดเต็มศาลา จากนั้นดึงเก้าอี้เอนออกมาแล้วนอนลงบนนั้นด้วยท่าทีสบาย ๆ
กินอาหารไปพลาง ชมแสงยามเช้าที่สดใสไปพลางอย่างมีสุนทรียภาพ
ฉินเสี่ยวฝูเดินหาวเข้าไปในศาลาด้วยความงุนงง เมื่อเห็นฉินเฟิงไขว้ขาพลางฮัมเพลงก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างน้อยใจ “น้อยนาย ท่านส่งเสียงหอนเช่นนี้แต่เช้า ข้าอายุสั้นลงอย่างน้อยสิบปีเลยนะขอรับ”
“…”
ฉินเฟิงคร้านจะต่อปากต่อคำ ชายหนุ่มนั่งสั่นขาพลางคายเปลือกเมล็ดแตงโมออกมาโยนไปทั่วโต๊ะ ก่อนจะพึมพำว่า “เจ้าจะไปรู้อะไร”
“ข้ากำลังจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ย่อมต้องเตรียมฝึกเส้นเสียงรอ วันนี้ข้าจะเกรี้ยวกราดใส่ทุกสิ่ง!”
MANGA DISCUSSION