บทที่ 89 เหล่าพี่หญิงตกตะลึง
เดิมทีจิ่งเชียนอิ่งรู้เรื่องในเมืองหลวงน้อยมาก ไม่เพียงแต่จำเข็มขัดทองคำไม่ได้ นางยังรู้สึกว่าฉินเฟิงโอ้อวดเกินไป และอดไม่ได้ที่จะดูถูกอีกด้วย
ในทางกลับกันเสิ่นชิงฉือกลับอ้าปากค้างเมื่อเห็นคำว่า ‘หลวง’ บนหัวเข็มขัด ดวงหน้าน้อย ๆ ซีดเผือกทันที
“เข็มขัดทองคำ?! เจ้าสมควรตายนี่ปลอมแปลงเครื่องทรงพระราชทานของราชวงศ์! นี่ถือเป็นโทษร้ายแรง ฉินเฟิงจะทำให้ทั้งตระกูลฉินต้องตาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้แต่จิ่งเชียนอิ่งซึ่งมีบุคลิกเย็นชามาโดยตลอดก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เข็มขัดทองคำ? ข้าเคยได้ยินว่ามันแสดงถึงเกียรติยศสูงสุด แม้แต่อัครเสนาบดีและมหาเสนาในราชวงศ์ปัจจุบันต่างก็ไม่เคยได้รับเกียรติเช่นนี้ ฉินเฟิงเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญ แต่เขากลับสวมเข็มขัดทองคำ… พี่หญิงรอง เจ้าเด็กคนนี้คงมิได้โอ้อวดไปตามตลาดกระมัง?”
เสิ่นชิงฉือยิ้มอย่างขมขื่น “ยังต้องคิดอีกหรือ? ด้วยวิสัยของฉินเฟิง คนทั้งเมืองจะต้องรับรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ตระกูลฉินของเราจบสิ้นแล้ว!”
จู่ ๆ ฉินเฟิงก็รู้สึกคับข้องใจเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดทุกคนถึงคิดว่าเข็มขัดทองคำนี้เป็นของปลอม?
ชายหนุ่มรีบชี้แจงข้อเท็จจริงเสียงดัง “พวกท่านดูถูกผู้อื่นเกินไปแล้ว ก็แค่เข็มขัดทองคำมิใช่หรือ? ข้าเป็นคนมีชื่อเสียงที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน แค่ประทานเข็มขัดแก่ข้าสักเส้นจะเป็นเรื่องใหญ่อันใด?”
หลิ่วหงเหยียนผลักศีรษะที่แหงนขึ้นสูงของฉินเฟิงให้ผงกลง ก่อนจะอธิบายกับเสิ่นชิงฉือและจิ่งเชียนอิ่งอย่างรวดเร็วว่า “ในตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อว่าฝ่าบาททรงประทานเข็มขัดทองคำให้กับเขา แต่นี่เป็นพระราชโองการที่ถ่ายทอดโดยขันทีหลี่ เขามาด้วยตนเองและอ่านพระราชโองการต่อหน้าเจ้ากรมเมืองกับเกาซง พวกเราจะไม่เชื่อก็คงจะไม่ได้”
ขณะที่พูดหลิ่วหงเหยียนก็หยิบพระราชโองการออกมา
เสิ่นชิงฉือกับจิ่งเชียนอิ่งมองตากัน ทันใดนั้นก็สูดอากาศเย็น ๆ เข้าปอด สายตาของพวกนางราวกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ
นี่… มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
ฝ่าบาทจะประทานเข็มขัดทองคำให้ฉินเฟิงได้อย่างไร?
ทั้งสองใช้เวลาสักพักจึงฟื้นกลับมาจากอาการตกใจ
ใบหน้าของเสิ่นชิงฉือค่อย ๆ ปรากฏสีแดง นางเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า “หึ ข้าไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าเด็กตัวเหม็นคนนี้จะได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท เจ้าช่างเป็นคนโง่ที่มีวาสนาจริง ๆ”
“เจ้านี่ยิ่งกว่าคนโง่ที่มีวาสนาของคนโง่เสียอีก”
หลิ่วหงเหยียนมองไปที่ฉินเฟิงด้วยความหลงใหลได้ปลื้มอย่างไม่อาจบรรยายได้ และตบไหล่อันแข็งแกร่งของเขาด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ
“ราชวงศ์ปัจจุบันไม่เคยประทานเข็มขัดทองคำให้ผู้ใดมาก่อน คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงนักที่จะบอกว่าฉินเฟิงได้รับความโปรดปรานมากที่สุดจากฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ตระกูลฉินของเราถือได้ว่าเป็นตระกูลที่รุ่งโรจน์แล้ว ต้องขอบคุณวาสนาของเจ้าเด็กนี่”
พี่หญิงทั้งสามรวมตัวกันพูดคุยไม่รู้จบ และแสดงความคิดเห็นเรื่องฉินเฟิงอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน
ในที่สุดเข็มขัดทองคำก็ถูกถอดออกไปโดยไม่คำนึงถึงเสียงครวญครางประท้วงของฉินเฟิง และส่งไปยังห้องโถงบรรพบุรุษพร้อมกับพระราชโองการเพื่อเก็บไว้เป็นสิริมงคลแกวงศ์ตระกูล
จู่ ๆ ฉินเฟิงก็อยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา
หลังจากเสิ่นชิงฉือกับจิ่งเชียนอิ่งจากไป ฉินเฟิงก็ล็อกประตูลานอย่างรวดเร็ว และจับมือเล็ก ๆ ของหลิ่วหงเหยียนไปที่ศาลา
เมื่อเห็นท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ของฉินเฟิง หลิ่วหงเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ “เป็นอะไรไป? เจ้าเด็กตัวเหม็น เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่ใช่หรือไม่?”
ฉินเฟิงไม่ได้รีบร้อนอธิบาย เขานึกถึงฉากที่หลิ่วหงเหยียนวิ่งอย่างกระหืดกระหอบมาที่ศาลาว่าการกรมเมือง ภายในใจพลันรู้สึกซาบซึ้ง ชายหนุ่มรีบถลาเข้าไปในอ้อมแขนของหลิ่วหงเหยียน และกอดพลางกระเง้ากระงอด “ชาติที่แล้วข้าสะสมคุณธรรมอะไรไว้หนอถึงได้มีพี่หญิงที่ดีเช่นท่านในชาตินี้”
เดิมทีหลิ่วหงเหยียนตั้งใจที่จะผลักฉินเฟิงออกไป แต่เมื่อนางได้ยินเช่นนี้ภายในใจพลันรู้สึกเป็นสุข หน้าของหญิงสาวแดงเรื่อ นางปล่อยให้ฉินเฟิงพูดเรื่องไร้สาระ หัวเราะและด่าว่า “คารมคมคายเสียจริง ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้มาจากใคร บอกมา เจ้าจะทำอะไรอีก!”
ฉินเฟิงกอดเรือนร่างที่อ่อนนุ่มและบอบบางของหลิ่วหงเหยียน ชายหนุ่มใช้โอกาสนี้เอาเปรียบพลางเงยหน้าขึ้น มองตาปริบ ๆ ดูไร้เดียงสาไม่เป็นอันตราย “ข้าเพียงแค่ขอบคุณพี่สาวที่ห่วงใยข้าเท่านั้น ข้ามีเจตนาร้ายที่ไหนกัน?”
หลิ่วหงเหยียนกลอกตา “ให้มันน้อย ๆ หน่อย! ผู้อื่นไม่เข้าใจเจ้า แต่ข้าหรือจะไม่เข้าใจเจ้า? พวกเราพี่น้องไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อม เจ้ามีอะไรจะพูดก็แค่พูดมาตรง ๆ”
ไม่มีใครรู้จักฉินเฟิงดีไปกว่าหลิ่วหงเหยียน
ในเมื่อพี่หญิงพูดมาขนาดนี้แล้ว ฉินเฟิงก็ไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เขามองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนนอก จากนั้นก็ถามว่า “น้ำตาลทั้งหมดที่ส่งไปจวนจี้อ๋องล่วงหน้าเปลี่ยนเป็นเงินแล้วหรือยัง?”
หลิ่วหงเหยียนยิ้มเยาะในใจ เพราะรู้ว่าเมื่อใดที่เจ้าเด็กคนนี้เปิดปาก เขาต้องพูดถึงเรื่องเงินอย่างแน่นอน!
ตระกูลฉินไม่ขาดแคลนเงินทอง พวกเขาล้วนภักดีและสูงส่ง มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่มีแต่เรื่องเงินอยู่ในหัว วัน ๆ นอกจากเงินแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขันจริง ๆ
“แม้ว่าผู้จองน้ำตาลในงานวันคล้ายวันพระราชสมภพจี้อ๋องจะมีมาก แต่ก็มีคนมารับสินค้าจริงไม่มากนัก รวมแล้วมีแค่สิบห้าคนเท่านั้น แต่เพราะน้ำตาลมีราคาแพง เงินเข้าที่บัญชีจึงมีไม่น้อย คำนวณแล้วเป็นเงินเกือบแปดหมื่นตำลึงเงินเต็ม ๆ”
เงินเพียงแปดหมื่นตำลึงเงินยังห่างไกลจากความคาดหวังของฉินเฟิง แต่ก็ไม่ยากที่จะคาดเดาว่าเป็นเพราะได้รับแรงกดดันจากฝ่ายต่อต้านสงคราม บางคนที่วางแผนจะซื้อน้ำตาลจึงต้องยอมแพ้เพราะไม่สามารถต้านทานแรงกดดันนั้นได้
แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่นายน้อยฉินก็ยังคงขายได้ถึงแปดหมื่นตำลึงเงิน ค่อนข้างน่าประทับใจจริง ๆ
แววตาของฉินเฟิงสว่างไสว เขารู้สึกว่าใกล้ได้เวลาที่จะต้องลงมือเริ่มการต่อสู้ครั้งใหญ่แล้ว ชายหนุ่มบอกกับหลิ่วหงเหยียนทันที
“พี่หญิง ของในคลังลานหลังเรามีไม่มาก ต้องหาวิธีหาวัตถุดิบจำนวนมากเพิ่ม ซื้อน้ำตาลทรายแดงอย่างเดียวนั้นไม่ปลอดภัย”
“ถ้าหากทุกครั้งมีน้ำตาลทรายแดงเข้ามาและมีน้ำตาลทรายขาวออกไป ความลับก็จะถูกเปิดเผยในไม่ช้า ทางที่ดีควรซื้อวัตถุดิบน้ำตาลอ้อยด้วย
“เมื่อต้มน้ำตาลทรายแดง เราสามารถส่งเกล็ดน้ำตาลไปยังตลาดระดับล่างได้ ในขณะที่น้ำตาลทรายขาวที่ผลิตได้จะถูกส่งไปยังตลาดระดับสูงโดยเฉพาะ ท้ายที่สุดเราก็จะได้รับผลกำไรจากทั้งสองทาง”
“ตอนนี้เป็นช่วงที่เรากำลังขาดเงิน เราต้องรีบหาเงินโดยเร็วที่สุด!”
MANGA DISCUSSION