บทที่ 88 ความนัยของเข็มขัดทองคำ
เมื่อมีเข็มขัดทองคำ ตราบใดที่แคว้นต้าเหลียงยังคงอยู่ ตระกูลฉินจะเป็นตระกูลชั้นสูงที่ได้รับการปกป้องด้วยพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ไปหลายชั่วอายุคน
แม้ว่าในอนาคตภายในตระกูลจะไม่มีผู้ใดรับตำแหน่งขุนนาง แต่ด้วยเกียรติยศนี้ก็สามารถเป็นพรแก่คนรุ่นหลังไปชั่วชีวิตได้
หลิ่วหงเหยียนเต็มไปด้วยความสุข ความตื่นตระหนกบนใบหน้าถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจทันที อย่างไรก็ตาม ในฐานะคุณหนูผู้สูงศักดิ์ เมื่ออยู่บนท้องถนนย่อมต้องยับยั้งกิริยา ด้วยเหตุนี้นางจึงทำเพียงเอื้อมมือออกไปลูบไหล่ของฉินเฟิง และชมเชยเขา
“เด็กตัวเหม็น เจ้าช่างเป็นคนโง่ที่มีวาสนาเสียจริง! ในประวัติศาสตร์ต้าเหลียงมีคนเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้รับพระราชทานเข็มขัดทองคำ วันนี้เจ้าเป็นคนที่สาม เจ้าได้ทิ้งชื่อของตนไว้ในประวัติศาสตร์แล้ว”
ฉินเฟิงจงใจคาดเข็มขัดทองคำในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างหน้าอก ชายหนุ่มพยายามอวดชาวบ้านรอบ ๆ พลางแสร้งทำเป็นสงบ และเอ่ยว่า “ขนาดนั้นเชียวหรือ? นี่เป็นเพียงเกียรติยศ มิใช่ตำแหน่งทางการเสียหน่อย อนิจจา สวมใส่ยังไม่สะดวกสบายอีกต่างหาก…”
หลิ่วหงเหยียนยื่นมือออกไปตบไหล่ฉินเฟิง แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พอได้แล้ว เจ้าได้เปรียบแล้วยังหาว่าขาดทุนอีก! เจ้าลองคิดดูสิ ตำแหน่งทางการและยศถาบรรดาศักดิ์ล้วนสามารถสับเปลี่ยนหมุนเวียนได้เสมอ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถนั่งตำแหน่งเดิมได้ยาวนาน ทว่าเกียรติยศนี้เป็นสิ่งที่แตกต่าง มันสามารถเป็นพรแก่คนรุ่นหลังได้”
“เฮ้อ ข้าบอกเจ้ามากมายเพียงนี้ แต่เจ้าก็ยังไม่จริงจัง ลืมมันไปเสียเถอะ…
“อย่างไรก็ตาม นับว่าเข็มขัดเส้นนี้เป็นสิริมงคลแก่ตระกูลฉินของเราแล้ว ท่านพ่อจะต้องมีความสุขอย่างแน่นอนเมื่อรู้เรื่องนี้
“รีบกลับบ้านไปเก็บเข็มขัดทองเสีย หยุดโอ้อวดได้แล้ว ไม่เช่นนั้น คนจากกรมคลังจะเห็นแล้วใช้เป็นข้ออ้าง กราบทูลฝ่าบาทว่าเจ้าประพฤติตัวไม่เหมาะสม ไม่เคารพเครื่องทรงพระราชทาน หากเวลานั้นมาถึงก็เพียงพอที่เจ้าจะได้รับโทษเป็นยาพิษหนึ่งกา”
ขณะที่พูด หลิ่วหงเหยียนก็ผลักฉินเฟิงกลับไป
แม้ว่าจะกังวล ทว่าบนใบหน้ากลับอดไม่ได้ที่จะฉายความภาคภูมิ นางรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้อยู่เคียงข้างฉินเฟิง
หารู้ไม่ว่า ภายในใจฉินเฟิงกลับไม่ได้มีความสุขเหมือนท่าทางที่ปราฏภายนอก
การที่เขานำเข็มขัดทองคำออกมาโอ้อวดเมื่อครู่ก็เพื่อเตือนผู้ที่วางแผนจะจัดการเขาอย่างลับ ๆ เท่านั้น
ไม่ว่าคิดจะทำสิ่งใด เขาอยากให้อีกฝ่ายคำนึงถึงผลที่จะตามมา
เข็มขัดทองไร้สาระนี่ อาจหาได้ยากสำหรับผู้อื่น ทว่าฉินเฟิงกลับไม่สนใจ เพียงแต่เมื่อมันตกลงมาบนศีรษะแล้วเขาก็จำเป็นต้องรับไว้
แทนที่จะเรียกมันว่าเกียรติยศสูงสุด เรียกมันว่าโซ่พันธนาการที่ส่งมาล่ามฉินเฟิงอย่างแน่นหนาจะเหมาะสมเสียกว่า
การเดาความหมายการเคลื่อนไหวอันลึกซึ้งของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ใช่เรื่องยาก จุดประสงค์ในการประทานเกียรติที่ไม่คู่ควรแก่ฉินเฟิงนี้ ก็เพื่อทำให้ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักเกลียดเขา
การที่ฉินเฟิงตบหน้ากรมคลังที่จวนจี้อ๋องก่อนหน้านี้อาจทำให้กรมคลังคับแค้นใจ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นศัตรูของขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักไปเรียบร้อยแล้ว
ลองคิดดูสิว่า ไม่ว่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักเหล่านั้นจะสร้างคุณูปการเช่นใด ล้วนไม่มีใครได้รับรางวัลเข็มขัดทองคำ
แต่กลับเป็นบุตรหลานขุนนางอย่างเขาที่ได้รับมันมาแทน
ฝ่าบาทอยากให้คนอื่นคิดเช่นไรเล่า?
เข็มขัดสีทองเส้นนี้ ด้านหน้าส่องแสงเจิดจ้า แต่ด้านหลังกลับชั่วร้ายโหดเหี้ยม
ตอนนี้หากฉินเฟิงต้องการยืนหยัดอยู่ในเมืองหลวงหรือแคว้นต้าเหลียง เขาทำได้เพียงพึ่งพาฝ่าบาท และภักดีต่อพระองค์เท่านั้น
มิฉะนั้น ฝ่าบาทไม่แม้แต่จำเป็นต้องลงมือกับฉินเฟิง เพียงแค่เรียกคืนเข็มขัดทองคำ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักก็คงรุมหาหนทางทำให้เขาตายภายในวันนี้พรุ่งนี้แล้ว
เข็มขัดสีทองเส้นนี้เมื่อสวมใส่บนร่างก็จะเป็นยันต์คุ้มกาย แต่ทันทีที่ถอดออกก็จะกลายเป็นยันต์คร่าชีวิต!
สิ่งนี้ไม่อาจตำหนิฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงได้เช่นกัน เพราะในฐานะกษัตริย์แห่งแว่นแคว้น เขาจำเป็นต้องควบคุมทุกคนอย่างรัดกุมให้อยู่ภายในฝ่ามือ ยิ่งฉินเฟิงสร้างความวุ่นวาย โหดร้าย และรุนแรงมากเท่าไร ฮ่องเต้ก็ยิ่งให้ความสนใจ และหวาดกลัวเขามากขึ้นเช่นกัน
กล่าวได้ว่าความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างฉินเฟิงกับฝ่าบาทนั้นจะสามารถรักษาไว้ได้ถึงขั้นไหน ก็ขึ้นอยู่กับฉินเฟิงเอง
จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ตัวอย่างของเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล เป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับราชวงศ์
พวกราชวงศ์ไม่กะพริบตาแม้แต่ตอนลงดาบกับบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งแว่นแคว้น นับประสาอะไรกับนายน้อยเจ้าสำราญคนหนึ่ง?
เมื่อใดที่ฉินเฟิงสูญเสียคุณค่า เมื่อนั้นเขาย่อมสูญเสียความโปรดปราน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงสร้างความดีความชอบ เพื่ออยู่รอดต่อไปเท่านั้น
กฎนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับฉินเฟิงผู้เดียว แต่เป็นกฎของทุกคนในใต้หล้า ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงควรปฏิบัติเช่นนี้
ก่อนที่ไฟของสงครามเป่ยตี๋จะถูกจุดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ฉินเฟิงยังคงมีอุปสรรคสองด่านที่ต้องฝ่าฟัน ด่านแรกคือการจัดการกับกองกำลังทั้งหมด เขาจะทำอย่างไรให้ตนเองสามารถหัวเราะได้จนถึงตอนสุดท้ายในกระแสน้ำอันปั่นป่วนนี้ดี?
ด่านที่สองคือวิธีการสร้างรายได้
แผนภาพกลยุทธ์ทางทหารเป็นเพียงอิฐก้อนแรกของฉินเฟิง สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตั้งตารออย่างแท้จริงคือ ความสามารถในการทำการค้าของเขา
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมิใส่ใจฉินเฟิงบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหม แต่สนใจฉินเฟิงผู้มอบผลประโยชน์ให้กับฮ่องเต้และแคว้นต้าเหลียงต่างหาก
ภายในใจของฉินเฟิงเป็นดั่งกระจกใส…
หลังจากกลับมาถึงจวนแล้ว ฉินเฟิงกับหลิ่วหงเหยียนก็ตรงกลับไปที่เรือนหลังทันที
ตอนนี้เรือนหลังเต็มไปด้วยผู้คน นอกจากบ่าวรับใช้เช่นฉินเสี่ยวฝูกับเสี่ยวเซียงเซียงแล้ว แม้แต่เสิ่นชิงฉือ จิ่งเชียนอิ่งก็อยู่ที่นี่เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ฉินเฟิงถูกจับกุมโดยเจ้ากรมเมืองก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกลับมาในสภาพสมบูรณ์ เสี่ยวเซียงเซียงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และรีบเดินเข้ามาต้อนรับด้วยดวงตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้องไห้ยกใหญ่มาก่อนหรือเพราะกลั้นน้ำตาแห่งความดีใจเมื่อเห็นนายน้อยกลับมาเอาไว้กันแน่
“ดียิ่งนักที่นายน้อยไม่เป็นอะไร บ่าวได้ยินฉินเสี่ยวฝูพูดก่อนหน้านี้ว่า ท่านถูกเจ้ากรมเมืองจับตัวไป บ่าวคิดว่า… คิดว่า …”
เสี่ยวเซียงเซียงคิดอยู่เป็นครึ่งค่อนวันก็ยังคิดถึงสาเหตุไม่ออก ไม่รู้ควรพูดอย่างไร
ฉินเฟิงเอื้อมมือออกไปลูบหัวเสี่ยวเซียงเซียง และหัวเราะด้วยท่าทีสบาย ๆ “อยู่ว่าง ๆ อย่าได้คิดเหลวไหล ในใต้หล้านี้ผู้ที่สามารถทำให้นายน้อยอย่างข้าเลือดตกยางออกได้ยังอยู่ในครรภ์มารดาอยู่เลย”
เสิ่นชิงฉือลอบมองฉินเฟิงตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จากนั้นก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้ายังคงเย่อหยิ่งเช่นเคย นางต่อว่าเสียงดัง
“แม้กระทั่งพรรคพยัคฆ์มังกรเจ้ายังกล้าแตะต้อง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังพรรคพยัคฆ์มังกรคือตระกูลมหาเสนาเกา? เจ้าโชคดีมากที่ไม่ตายในเรือนจำเจ้ากรมเมืองทั้ง ๆ ที่ก่อหายนะครั้งใหญ่เช่นนี้ หากเจ้ากล้าก่อความวุ่นวาย ในอนาคตจะไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีกแล้ว”
เมื่อถูกเสิ่นชิงฉือต่อว่า ฉินเฟิงไม่ได้รู้สึกละอายใจแต่กลับรู้สึกภูมิใจขึ้นมา เขาโน้มกายเข้าไปหาด้วยใบหน้าแดงปลั่ง “พี่หญิงใหญ่ นี่ท่านห่วงใยข้าหรือ?”
เสิ่นชิงฉือแก้มแดงวาบ รีบผลักฉินเฟิงออกไป และพูดด้วยความโกรธ “ใครห่วงใยเจ้ากัน! หนังหน้าหนานัก”
เมื่อเห็นว่าจิ่งเชียนอิ่งก็อยู่ด้วย ดวงตาของฉินเฟิงก็สว่างขึ้นอีกครั้ง “พี่หญิงสี่ ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย? ข้าคิดว่าท่านเป็นคนเดียวในตระกูลฉินที่ให้ความสำคัญกับข้าน้อยที่สุด”
ใบหน้าของจิ่งเชียนอิ่งไร้ความรู้สึกอื่นใด มีเพียงความเย็นชาอย่างเช่นเคย “ข้าแค่มาดูว่าเจ้าตายแล้วหรือยัง”
หลิ่วหงเหยียนกลัวว่าหากฉินเฟิงยังพูดต่อไปจะถูกทุบตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงชิงดึงฉินเฟิงกลับมาอยู่ข้างกายก่อนก้าวหนึ่ง “เจ้าพูดให้น้อยลงสักสองสามประโยคก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอก”
“พี่หญิงใหญ่ ฉินเฟิงสบายดี ไม่ต้องกังวล ก่อนที่ข้าจะไปถึงศาลาว่าการกรมเมืองเขาก็ออกมาแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสิ่นชิงฉือก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ในดวงตาฉายแววสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าฉีเชิ่งเกิดมีมโนธรรมในใจจึงปล่อยฉินเฟิงหรือ?”
หลิ่วหงเหยียนปิดปากของนางแล้วหัวเราะเบา ๆ “ฉีเชิ่งจะใจดีเพียงนั้นได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ? เขาเป็นลูกศิษย์ของมหาเสนา และเป็นหัวเหยี่ยวของตระกูลเกา ตราบใดที่มีโอกาส เขาย่อมฆ่าฉินเฟิงให้ตายแน่นอน”
“สาเหตุที่สามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้เป็นเพราะเจ้าเด็กนี่คุ้นเคยกับ ‘กฎหมายต้าเหลียง’ ในศาลเขาใช้กระบวนการทางกฎหมายเป็นข้อแก้ตัวทำให้ฉีเชิ่งก้าวเดินลำบาก ในที่สุดก็ยื้อเวลาออกไปจนกระทั่งหลี่จ้านมาถึงเจ้าค่ะ”
เสิ่นชิงฉือก็เคยอ่าน ‘กฎหมายต้าเหลียง’ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมันทั้งยาวทั้งน่าเบื่อ จวบจนปัจจุบันนางจึงสามารถท่อง ‘กฎหมายต้าเหลียง ม้วนกฎหมายประชาชน’ ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
คุณหนูใหญ่รู้สึกประหลาดใจอย่างมากที่รู้ว่าฉินเฟิงอาศัยกฎหมายและข้อบังคับทำให้ฉีเชิ่งตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก สายตาที่ใช้มองฉินเฟิงเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองดูท่าทางที่เอ้อระเหยของน้องชายแล้ว เสิ่นชิงฉือก็อดที่จะรู้สึกเหลือเชื่อไม่ได้
“เจ้ารอดพ้นมาได้เพราะอาศัยกฎหมายจริงหรือ? เท่าที่ข้ารู้ ‘กฎหมายต้าเหลียง’ มีทั้งหมดสิบหกม้วนสามสิบสองเล่ม นับประสาอะไรกับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้า แม้แต่ข้าราชการเก่าแก่ที่ศึกษากฎหมายตลอดทั้งวันยังไม่สามารถท่องกฎหมายและข้อบังคับได้ตามใจชอบ เจ้าเริ่มอ่าน ‘กฎหมายต้าเหลียง’ เมื่อใดกัน? ทำไมข้าไม่รู้?”
ฉินเฟิงคิดในใจ เริ่มเมื่อใด? คาดว่าต้องย้อนกลับไปถึงวันแรกที่วางแผนหาเงินกระมัง
ฉินเฟิงไม่มีข้อดีใด ๆ ยกเว้นความจำที่ยอดเยี่ยมของเขา
ท้ายที่สุดแล้วความตั้งใจเดิมในการท่อง ‘กฎหมายต้าเหลียง’ ของฉินเฟิงไม่ใช่เพื่อเป็นขุนนางแต่เพื่อ ‘ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่’
หากเสิ่นชิงฉือผู้มีคุณธรรมสูงส่งรู้เรื่องนี้จะต้องดูถูกเขาอย่างแน่นอน
ฉินเฟิงเกาท้ายทอยแล้วหัวเราะ “ข้าก็แค่อ่านเล่น ๆ ไม่ได้ท่องจำมันโดยเฉพาะ ข้าอ่านแค่ ‘ม้วนกฎหมายอาญา’ ซึ่งมีประโยชน์พอดี”
เสิ่นชิงฉือแค่นเสียง และไม่เชื่อคำโกหกของชายหนุ่มเลยสักนิด
อย่างไรเสีย เจ้ากรมเมืองก็เป็นอันดับสองในการสอบขุนนางปีนั้น เขาเป็นผู้รอบรู้จะถูกฉินเฟิงเด็กหนุ่มที่เพิ่งเรียนรู้ได้ครึ่งทางทำให้หมดปัญญาได้อย่างไร?
ทว่าในเมื่อฉินเฟิงรอดพ้นมาได้แล้ว เสิ่นชิงฉือก็จะไม่สืบเสาะต่อไป
ในเวลานี้เอง จู่ ๆ จิ่งเชียนอิ่งก็ถามหลิ่วหงเหยียนว่า “พี่หญิงรอง ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าขันทีหลี่ก็ไปที่ศาลาว่าการกรมเมืองหรือ?”
จากนั้นหลิ่วหงเหยียนจึงจำได้และรีบยกเสื้อของฉินเฟิงขึ้น เผยให้เห็นเข็มขัดทองคำที่อยู่ด้านใน นางเอ่ยเสียงสั่น “พี่หญิงใหญ่ น้องหญิงสี่ พวกเจ้าดูสิว่านี่คืออะไร?”
MANGA DISCUSSION