บทที่ 87 ทำความดีความชอบ
แต่ไหนแต่ไรก็เป็นฉินเฟิงเป็นที่หลอกผู้อื่น เขาจะยอมเสียเปรียบได้อย่างไร?
เงินสองร้อยตำลึงเงินเป็นจำนวนน้อย ๆ หรือ?
หากวันนี้ปล่อยให้คนขู่เอาเงินสองร้อยตำลึงเงิน พรุ่งนี้ปล่อยให้คนขู่เอาเงินสามร้อยตำลึงเงิน แม้ว่าจะมีภูเขาเงินภูเขาทองก็เกรงว่าจะไม่เพียงพอให้ใช้
พูดง่ายคือเขาจะไม่ยอมรับ!
ฉินเฟิงยกมือเท้าสะโพกจงใจเปิดเผยคำว่า ‘หลวง’ บนหัวเข็มขัดทองคำ บอกผู้คนริมถนนที่ไม่รู้ความว่านี่เป็นรางวัลพระราชทานจากฮ่องเต้
แต่พอออกจากศาลาว่าการกรมเมืองมาเดินได้ไม่กี่ก้าวก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ใบหู เมื่อหันกลับมาก็พบหลิ่วหงเหยียนปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ
มาตั้งแต่ตอนไหน! อีกฝ่ายกำลังหอบหายใจพลางจ้องมองเขาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ความเย่อหยิ่งบนใบหน้าฉินเฟิงหายไปทันที เขายกมือปิดหูพลางยกยิ้ม “พี่หญิงรอง ไยท่านถึงมาที่นี่? ปล่อยมือเถิด มีคนมองดูอยู่มากมาย”
หลิ่วหงเหยียนแทบจะบิดหูของฉินเฟิงให้หลุดออกมา เมื่อเห็นเขาทำตัวเอ้อระเหยลอยชาย นางก็ยิ่งโกรธมาก ผู้เป็นพี่ทุบหลังของฉินเฟิงอย่างแรง เอ่ยตำหนิที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้เป็นเหล็กกล้าได้
“เจ้าเด็กสารเลว ต้องให้ฟ้าถล่มลงมาก่อนหรือเจ้าถึงจะพอใจ? ข้าว่าเจ้าต้องอยากทำให้ข้าโมโหจนตายแน่แล้ว!”
มือเรียวระหงขาวนุ่มของหลิ่วหงเหยียน ไม่ได้มีแรงอะไรมากมายเลย แต่ฉินเฟิงยังคงแสร้ง ‘เจ็บปวด’ และส่งเสียงร้องเหมือนสุกรถูกเชือด
“พี่หญิงรอง! หยุดตีข้าเถอะ ข้ารู้ว่าข้าผิดแล้ว”
หลิ่วหงเหยียนไม่พอใจ นางเตะก้นฉินเฟิงไปอีกทีจนเขากระโดดเหยง ๆ “พูดมา! ผิดตรงไหน!”
ฉินเฟิงดิ้นไปมาอย่างสิ้นหวังเพื่อหลีกเลี่ยงการประทุษร้ายของหลิ่วหงเหยียน เขาเอ่ยด้วยความตื่นตระหนก “ข้าไม่ควรออกจวนโดยไม่บอกท่าน พี่หญิง ละเว้นชีวิตข้าเถิด”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิ่วหงเหยียนก็โกรธมากขึ้น แก้มของนางแดงก่ำ “เจ้าเด็กตัวดี! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วยังกล้าปิดบังความผิด เจ้าอยากโดนตีนักใช่ไหม!”
ภายใต้การจ้องมองที่ตกตะลึงของฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ‘วายร้ายแห่งเมืองหลวง’ ที่เมื่อครู่เพิ่งปิดล้อมพรรคพยัคฆ์มังกร ทำให้เกาซงอับอาย และปะทะฝีปากกับเจ้ากรมเมืองอย่างไร้ความเกรงกลัว ตอนนี้กลับทำตัวเหมือนเด็กน้อยที่เจ็บปวดเพราะถูกพี่หญิงที่ร่างเล็กกว่าตัวเองทุบตี ทั้งยังกรีดร้องโหยหวนไม่หยุด…
ทำให้ผู้พบเห็นทุกคนต่างประหลาดใจ
ทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากฮ่องเต้ในรัชศกนี้เกรงว่าคงมีเพียงคนในตระกูลฉินเท่านั้นที่สามารถจัดการกับตัวหายนะที่ไม่เกรงฟ้ากลัวดินผู้นี้ได้
ความจริงแล้วตอนอยู่หน้าพรรคพยัคฆ์มังกร ทันทีที่ฉินเฟิงถูกพวกมือปราบจากศาลาว่าการกรมเมืองพาไป ฉินเสี่ยวฝูก็วิ่งกลับไปยังจวนฉิน และบอกข่าวกับหลิ่วหงเหยียนอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหงเหยียนกำลังดูแลการผลิตน้ำตาลทรายขาว หลังจากได้ยินข่าวนางไม่มีเวลาแม้แต่จะเตรียมรถม้าด้วยซ้ำ คุณหนูรองตระกูลฉินวิ่งไปทางศาลาว่าการกรมเมืองทันที ด้วยกลัวว่าถ้านางเดินช้ากว่านี้จะไม่ได้เห็นน้องชายของตนอีก
แต่ปรากฏว่านางตกใจไปเสียเปล่า เจ้าเด็กคนนี้ไม่เพียงแต่อยู่ในสภาพสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังเดินไปรอบถนนด้วยท่าทางหยิ่งผยองเหมือนอยากจะโดนคนซัดสักป้าบ หลิ่วหงเหยียนรู้สึกโล่งใจ แต่ก็ยังโมโหอยู่มากเช่นกัน
เป็นเหตุให้นางลงมือสั่งสอนน้องชายด้วยความรักอีกครั้ง
ชาวบ้านที่เฝ้าดูเรื่องสนุกมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียงหัวเราะเยาะเย้ยดังมาจากทุกทิศทุกทาง
“ฮะฮ่าฮ่า! เจ้าฉินเฟิงคนนี้ประหลาดนัก เหล่าบุตรหลานในเมืองหลวงที่ไปทำให้คนใหญ่คนโตขุ่นเคืองจนถูกนำตัวไปศาลาว่าการกรมเมือง แม้จะเดินเข้าไปด้วยตัวเองได้ แต่ยามออกมาล้วนถูกหาม หากไม่ตายก็ต้องถูกถลกผิวหนัง”
“แต่เมื่อฉินเฟิงถูกนำตัวไปที่ศาลาว่าการกรมเมือง เขาปะทะฝีปากกับฉีเชิ่ง หลอกพวกมือปราบ แม้อยู่ในนั้นครึ่งค่อนวันแต่ก็กลับออกมาด้วยสภาพสมบูรณ์ นี่เป็นครั้งแรกในเมืองหลวงที่มีเหตุการณ์อย่างนี้ แต่พอต้องเผชิญหน้ากับพี่หญิงของเขาเอง เจ้านี่กลับถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว ช่างน่าขันจริง ๆ!”
“ไหนใครจะกล้าเถียง ทั้งเมืองหลวงใครเล่าไม่รู้ว่าฉินเฟิงเป็นคนหัวรั้น ว่ากันว่าในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง เขาปะทะฝีปากกับเหล่าขุนนาง ทำให้ขุนนางกรมคลังขุ่นเคือง แต่กลับยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร้รอยขีดข่วน”
“ฉินเฟิงถูกสตรีทุบตีบนถนน น่าอับอายเกินไปแล้วกระมัง?”
“ฉินเฟิง เจ้าไม่ได้เก่งหรอกหรือ? ไยไม่สามารถรับมือกับพี่หญิงของเจ้าได้เล่า? หรือสตรีเป็นจุดอ่อนของเจ้า? ฮ่า ๆ เจ้าเกิดมาเพื่อกลัวสตรีจริง ๆ”
ไม่ว่าหนังหน้าจะหนาแค่ไหน นายน้อยเจ้าสำราญก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยจากทุกทิศทุกทาง เพื่อรักษาหน้าตา ฉินเฟิงทำได้เพียงฝืนใจตะโกนใส่หลิ่วหงเหยียน “บังอาจ!”
จู่ ๆ น้องชายที่เคยชินกับการยอมจำนนก็ลุกขึ้นต่อต้าน หลิ่วหงเหยียนก็ไม่ทันระวังตัว
ก่อนที่นางจะตั้งรับ ฉินเฟิงก็ชี้ไปที่เข็มขัดทองคำแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจ “เห็นหรือไม่ นี่คือเข็มขัดทองคำที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ข้า แม้ว่าข้าจะทำผิด ทั่วทั้งเมืองหลวงก็มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถลงโทษข้าได้”
หลิ่วหงเหยียนเห็นเข็มขัดทองของฉินเฟิงแต่แรกแล้ว แต่นางไม่ได้คิดใส่ใจ
หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเฟิง คุณหนูรองก็ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และบิดเอวของฉินเฟิงอย่างแรง
“เจ้าฉินเฟิงตัวดี! แม้แต่เข็มขัดทองคำพระราชทานเจ้าก็กล้าปลอมแปลง เจ้ารู้ไหมว่านี่เป็นโทษร้ายแรงที่สามารถเอาผิดได้สามชั่วโคตร ต้องลากคนทั้งตระกูลฉินให้ตายก่อนเจ้าถึงจะพอใจใช่หรือไม่!”
เข็มขัดทองคำพระราชทานเป็นเกียรติยศสูงสุดระดับใดเล่า?
นั่นคือเกียรติยศที่แม้แต่เหล่าขุนนางเสาหลักของแคว้นยังมิกล้าฝันถึง ของสิ่งนี้จะมาตกใส่หัวฉินเฟิงได้อย่างไร!
หลิ่วหงเหยียนโทษตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ถ้านางไม่ตามใจเขามากเกินไป ฉินเฟิงจะกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ได้อย่างไร …
“ฉินเฟิง เจ้าหนีไปซะ!”
หลิ่วหงเหยียนปล่อยมือ ดวงตาของนางจริงจังมากกว่าเดิม “ตอนนี้ยังออกจากเมืองทันอยู่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมข้าจะให้เสี่ยวฝูมารับเจ้าพร้อมกับข้าวของเงินทอง ไปหาที่ลงหลักปักฐานเสีย อย่าได้กลับมาอีก ปลอมแปลงเครื่องทรงพระราชทานเป็นโทษร้ายแรงที่ลากตระกูลเข้าไปพัวพัน หากถูกจับได้ จะต้อง…”
ก่อนที่หลิ่วหงเหยียนจะพูดจบ ฉินเฟิงก็ถอดเข็มขัดทองคำออกด้วยรอยยิ้ม แล้วยัดลงใส่มือของนาง
เมื่อมองดูท่าทางประหม่าของหลิ่วหงเหยียนที่ดูราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู ชายหนุ่มก็ขบขัน เขาชี้ไปที่เข็มขัดทอง “ของปลอมหรือ? พี่หญิงรองลองดูใกล้ ๆ สิว่า เข็มขัดทองคำเส้นนี้เป็นของจริงหรือของปลอม หากทำใจเชื่อไม่ลงจริง ๆ ท่านไปหาเจ้ากรมเมืองเพื่อสอบถามดูก็ย่อมได้ เมื่อครู่หลี่จ้านเป็นผู้มาถ่ายทอดพระราชโองการด้วยตัวเองเลยเชียว”
“จริงสิ” ฉินเฟิงพลันนึกได้ว่าม้วนพระราชโองการยังอยู่ในอ้อมแขนของเขา จึงรีบหยิบมันออกมา
ดวงตาของหลิ่วหงเหยียนเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง นางอ้าปากกว้างขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อสติกลับมา นางก็รีบตรวจสอบเข็มขัดทองคำอย่างรวดเร็ว และรอบคอบ พบว่าความประณีตและคำว่า ‘หลวง’ บนหัวเข็มขัดเป็นของช่างฝีมือหลวงซึ่งคนนอกยากจะเลียนแบบได้
แม้ว่าจะสามารถทำเลียนแบบได้ แต่พระราชโองการและตราประทับจะเป็นของปลอมได้หรือ?
หัวใจของหลิ่วหงเหยียนสั่นเทาอย่างรุนแรง มือของนางที่ถือเข็มขัดทองคำและม้วนพระราชโองการของฮ่องเต้อยู่ชาวาบ นางมองฉินเฟิงด้วยความไม่เชื่อ “เกียรติยศสูงสุด ไยฝ่าบาทจึงพระราชทานให้เจ้าได้! สวรรค์ นี่มัน… มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉินเฟิงก็กลอกตาไปหนึ่งรอบ และรีบหยิบเข็มขัดทองคำมาสวมใหม่ เขายังอวดไม่หนำใจเลย!
“หึ เรื่องเหลือเชื่ออะไร ฮ่องเต้พระราชทานเข็มขัดทองคำให้ข้า หมายความว่าข้าย่อมมีคุณสมบัตินี้ แผนที่ยุทธศาสตร์ทางทหารมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้ ถ้าจะให้พูดจริง ๆ ข้ามีส่วนสนับสนุนในการป้องกันแคว้นของเราอย่างมาก”
หลิ่วหงเหยียนยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อนางคิดทบทวนดู ไม่ว่าฉินเฟิงจะบ้าเพียงใด เขาก็คงจะไม่ลากทั้งตระกูลเข้าไปในกองเพลิง
ในเมื่อเข็มขัดทองคำนี้เป็นของจริง นี่ถือเป็นเรื่องยอดเยี่ยมที่จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลฉินแล้ว!
“ฉินเฟิงน้องรัก… เจ้าทำความดีความชอบใหญ่หลวงให้ตระกูลฉินของเราแล้ว!”
MANGA DISCUSSION