บทที่ 84 พลเมืองดีที่ปฏิบัติตามกฎหมาย
เป็นพลเมืองดีที่ปฏิบัติตามกฎหมาย? ทุกคนรู้?
มุมปากของฉีเชิ่งกระตุกอย่างแรง
ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเจ้ากรมเมือง เขาเคยสอบปากคำนักโทษมาแล้วทุกประเภท ในแง่ของความไร้ยางอาย รับรองได้เลยว่าฉินเฟิงเป็นอันดับหนึ่งโดยแท้
ฉีเชิ่งรู้สึกประหลาดใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นดูถูกเหยียดหยาม และกลายเป็นความโกรธเกลียดในที่สุด เขาตะโกนอย่างกราดเกรี้ยว “ฉินเฟิง! อย่าคิดว่าพ่อของเจ้าเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม แล้วจะไม่ยี่หระหรือเอ่ยวาจาไร้สาระได้ นักโทษที่ปลิ้นปล้อนกว่าเจ้าร้อยเท่าข้าก็เคยไต่สวนมาแล้ว ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดต่อต้านโดยการนิ่งเฉยเสีย เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเนื้อหนังของเจ้าเอง!”
แม้แต่เจ้ากรมเมืองตัวเล็ก ๆ ยังกล้าที่จะไม่เห็นเสนาบดีกรมกลาโหมอยู่ในสายตา หากไม่มีใครอยู่เบื้องหลังก็ประหลาดแล้ว!
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงตระหนักดีถึงหลักการ ‘มังกรแกร่งไม่กล้าล่วงเกินงูเจ้าถิ่น’ เขาจึงขมวดคิ้ว และมีท่าทีอ่อนลง “ใต้เท้ายังไม่ได้สอบสวนข้าเลยนะขอรับ เหตุใดถึงตัดสินให้ข้าเป็นนักโทษแล้วเล่า?”
คำพูดของฉินเฟิงทำให้ฉีเชิ่งพูดไม่ออก พลอยหน้าแดงหูแดงขึ้นมาในทันที ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ลอบกัดฟัน และเอ่ยว่า “ภัยมาถึงตัวแล้วเจ้ายังกล้าเล่นลูกไม้ วันนี้ข้าจะสอบปากคำเจ้าให้หนัก!”
ฉีเชิ่งหมายหัวฉินเฟิงเสร็จ ก็หันไปหาเกาซง “นายน้อยเกา เจ้ามีหลักฐานใด ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าฉินเฟิงปลุกปั่นให้ชาวเมืองหลวงก่อกบฏหรือไม่?”
เกาซงเพียงแค่อยากจะจับฉินเฟิงเข้าคุกโดยเร็วที่สุด และเก็บกวาดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดเสีย อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงคำสั่งศาลในอนาคต สิ่งจำเป็นอย่าง ‘ละครตบตา’ จึงขาดไปไม่ได้
เกาซงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทน เขาโพล่งออกมา “ชาวบ้านนอกจวนล้วนเป็นหลักฐาน!”
ประตูศาลาว่าการเจ้ากรมเมืองเต็มไปด้วยผู้คน สำหรับชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบ ๆ การมาดูการพิจารณาคดีถือเป็นงานอดิเรกหลักอย่างหนึ่งหลังอาหารเย็นทีเดียว
นอกจากฝูงชนกินแตงอย่างบริสุทธิ์แล้ว ก็ยังมีตัวประกอบไม่น้อยปะปนอยู่ในฝูงชน
แม้ว่าพวกเขาจะแต่งตัวเหมือนคนธรรมดา แต่ใบหน้ากลับแสดงความเย่อหยิ่งหาใดเปรียบ
เห็นได้ชัดว่าตัวประกอบเหล่านี้ล้วนแต่เป็นบ่าวรับใช้ของจวนตระกูลเกาที่ปลอมตัวมา
ฉับพลันมีเสียงหนึ่งตะโกนจากฝูงชนดังขึ้น
“ใต้เท้า ฉินเฟิงคือผู้ยุยงพวกข้าให้ปิดล้อมพรรคพยัคฆ์มังกร!”
“ไม่เพียงเท่านั้น ฉินเฟิงยังพูดด้วยว่าผู้ที่เต็มใจจะไปพรรคพยัคฆ์มังกรกับเขาจะได้รับรางวัลหนึ่งตำลึงเงิน และผู้ที่เต็มใจเข้าไปสอดมือจะได้รับรางวัลสิบตำลึงเงิน”
“พวกข้าต่างก็ถูกลาภยศครอบงำจนหน้ามืดตามัวไปชั่วครู่จึงถูกฉินเฟิงหลอกเอาขอรับ”
เพียงคำพูดเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว ฉีเชิ่งทุบค้อนไม้ และคำรามเสียงต่ำ “หลักฐานที่ได้รับการรับรองทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว จับฉินเฟิงขังในเรือนจำ และตรวจสอบให้ละเอียดว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่น ๆ อีกหรือไม่!”
“เดี๋ยวก่อน!” นายน้อยฉินก็กระโดดขึ้นจากพื้น เขาเพิกเฉยต่อการขยิบตาอย่างบ้าคลั่งจากมือปราบที่อยู่รอบข้าง ปัดกวาดความคับข้องใจบนใบหน้า พลางยิ้มร่า “ใต้เท้าขอรับ ท่านสอบปากคำเช่นนี้ไม่ดูกำปั้นทุบดินเกินไปหรือ? หากข้าเป็นจำเลยก็ต้องให้โอกาสข้าเชิญหมอความกระมัง? ในฐานะเจ้ากรมเมืองผู้แบกรับภาระอันหนักหน่วงอย่างการทำให้ชาวประชาปลอดภัย หากการดำเนินคดีด้วยวิธีการลวก ๆ เช่นนี้ของท่านเลื่องลือออกไป จะปลอบขวัญประชาชนได้อย่างไร?”
ก่อนที่ฉีเชิ่งจะตอบกลับ จ้าวฉางฟู่ก็ตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด “เจ้าหนูฉินเฟิง ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดดิ้นรน และยอมรับผิดโดยเร็วที่สุดเสีย พวกเราทุกคนจะได้ไม่ต้องยุ่งยาก!”
เกาซงแค่นเสียงเย็น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ “หลังจากเข้าสู่ศาลาว่าการกรมเมือง ไม่ว่าเจ้าจะมีวาทศิลป์สักแค่ไหนก็ไม่สามารถพูดอะไรดี ๆ ได้! หากเจ้ายอมรับผิดอย่างว่านอนสอนง่าย หลังถูกคุมขัง เจ้าจะได้ทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดทางกายน้อยลงไม่ดีรึ”
เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามจากทั้งสอง ฉินเฟิงไม่เพียงแต่ไม่กังวล ทว่ากลับยิ้มแป้นเสียอีก นายน้อยฉินหันไปมองชาวบ้านที่มารวมตัวกันหน้าประตู แล้วผายมือออก “พวกเจ้าทุกคนได้ยินแล้วใช่หรือไม่ นี่คือวิธีที่เจ้ากรมเมืองใช้พิจารณาคดี ถูกหรือผิดไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานอีกแล้ว แต่อาศัยเพียงคำพูดประโยคเดียวของลูกหลานขุนนางระดับสูงเท่านั้น นับจากนี้ไปทุกคนควรอยู่ห่าง ๆ และอย่าให้เจ้ากรมเมืองจับกุมเอาได้ มิเช่นนั้นผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร พวกเจ้าทุกคนล้วนได้เห็นแล้ว!”
สิ้นประโยคนั้น ผู้คนที่มารวมตัวกันในที่เกิดเหตุก็ถกเถียงกันอย่างดุเดือดทันที
“แม้ว่าเจ้าฉินเฟิงจะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ แต่สิ่งที่เขาพูดก็สมเหตุสมผลอยู่หลายส่วน หากเจ้ากรมเมืองปฏิบัติต่อฉินเฟิงบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมเช่นนี้ได้ เขาจะปฏิบัติต่อพวกเราคนธรรมดาทั่วไปดีได้อย่างไร”
“นี่คือนายอำเภอที่อยู่ภายใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์จริงหรือ? เหอะ ๆ!”
เมื่อได้ยินการสนทนานอกประตู ใบหน้าของฉีเชิ่งก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เขารีบส่งสัญญาณให้เกาซงกับจ้าวฉางฟู่สงบสติอารมณ์อย่าได้บุ่มบ่าม คนใจร้อนไม่อาจกินเต้าหู้ร้อน
พวกเขาทั้งคู่ต่างเข้าใจ แม้จะเป็นการเล่นละครตบตา ทว่ากระบวนการต่าง ๆ ก็ไม่อาจยกเว้น ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่สามารถหลุดพ้นจากความผิดได้ในภายหลัง เมื่อเวลานั้นมาถึงฉินเทียนหู่ย่อมคว้าช่องโหว่ในกระบวนการจัดการ และไปที่ศาลต้าหลี่เพื่อฟ้องร้องเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเรื่องนี้เกรงว่าคงยากที่จะจบลงด้วยดีแล้ว
เมื่อต้องการจัดการกับฉินเฟิง ก็ต้องทำจนถึงที่สุด ต้องทุบตีเขาให้ตาย เพื่อไม่ปล่อยให้ตระกูลฉินมีโอกาสพลิกคดีได้อีก!
ฉีเชิ่งกระแอมในลำคอ แสร้งทำเป็นสงบ และทุบค้อนไม้อีกครั้ง “เงียบ! ฉินเฟิงเจ้าต้องการเชิญหมอความใช่หรือไม่? มิใช่ว่าไม่ได้ แต่เกรงว่าในเวลาสั้น ๆ เช่นนี้ เจ้าจะไม่สามารถหาหมอความได้กระมัง ดังนั้นข้าจะมอบหมอความให้เจ้าเอง”
นายน้อยฉินก้าวถอยหลังด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ไม่รบกวนใต้เท้าหรอกขอรับ ข้าจะแก้ต่างให้ตัวข้าเอง ท่านเพิ่งกล่าวว่ามีพยานและหลักฐานรวบรวมไว้แล้ว? พยานมีแล้วก็จริง แต่หลักฐานเล่า?”
สิ้นประโยคนั้น มือปราบก็นำตัวตัวประกอบที่ปลอมตัวเป็นคนธรรมดาเข้ามา โดยแต่ละคนต่างถือเงินสิบตำลึงเงินอยู่ในมือ
ทั้งสองแสร้งทำเป็นคุกเข่าลงกับพื้น และคร่ำครวญเสียงดัง
“เงินสิบตำลึงเงินนี้เป็นเงินสกปรกที่ฉินเฟิงให้มาขอรับ ใต้เท้าโปรดให้ความยุติธรรมด้วย”
ฉีเชิ่งไม่ทันได้ตอบ ฉินเฟิงก็ชิงเปิดปากก่อนด้วยสีหน้ารังเกียจ “สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นหลักฐานหรือ? ชื่อของข้าก็ไม่ได้เขียนไว้บนแท่งเงินทั้งสองเสียหน่อย เงินมันพูดได้หรือ? จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่านั่นเป็นเงินของข้า?”
เกาซงทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาสะบัดแขนเสื้อ พูดโพล่งขึ้นด้วยความโมโห “ใต้เท้าขอรับ ฉินเฟิงกำลังหาข้อแก้ตัวชัด ๆ!”
ฉินเฟิงยักไหล่ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เช่นนั้นก็ได้ สมมติว่าเงินเป็นของข้าจริง แต่ปัญหาก็คือสองคนนี้มีเงินสิบตำลึงเงินอยู่ในมือ นั่นหมายความว่าพวกเขามีส่วนร่วมในการปิดล้อมพรรคพยัคฆ์มังกรด้วย มิใช่สมควรให้ใต้เท้าควบคุมตัวพวกเขาไปหรอกหรือ?”
ฉินเฟิงเหลือบมองเหล่าตัวประกอบที่อยู่นอกประตู พลางแสดงสีหน้าระอาในทักษะการแสดงของพวกเขา เอ่ยต่ออย่างจริงจังว่า “แปลกยิ่งนัก พยานทั้งหมดที่สามารถพิสูจน์ความผิดของข้าได้ล้วนเป็นนักโทษที่มีส่วนร่วมในการก่อกบฏ เพราะเหตุใดจึงมีเพียงข้าเท่านั้นที่ยืนอยู่คนเดียวในห้องโถง ขณะที่คนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นเล่า?”
เมื่อได้ยินดังนั้น กลุ่มตัวประกอบทั้งหมดก็หันศีรษะไปมาอย่างคนกินปูนร้อนท้อง ไม่กล้าสบตากับฉินเฟิงโดยตรง
ฉีเชิ่งรู้มานานแล้วว่าฉินเฟิงเก่งเรื่องการโต้เถียง แต่ไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการการพิจารณาคดีในศาลด้วยเช่นกัน ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่มีนี้เขาไม่สามารถจัดการกับบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมได้เลย
ฉินเฟิงเยาะเย้ยอยู่ในใจ ในฐานะพ่อค้า การทำความเข้าใจกฎหมายท้องถิ่นเป็นเบสิกพื้นฐาน เขาท่องจำ ‘กฎหมายต้าเหลียง’ ได้ขึ้นใจ อย่างน้อยชายหนุ่มก็สามารถสอบเป็นข้าราชการชั้นต้นในกรมยุติธรรมได้แบบสบายบรื๋อ
นายน้อยฉินไม่ให้โอกาสฉีเชิ่งและคนอื่น ๆ โต้แย้ง เขารีบโจมตีตอนเหล็กยังร้อน โดยชี้ไปที่ตัวประกอบคนหนึ่ง และแสร้งทำเป็นแปลกใจ “เดี๋ยวก่อน เหตุใดเจ้าจึงดูคุ้นหน้าคุ้นตาถึงเพียงนี้? เจ้ามิใช่บ่าวรับใช้ของตระกูลเกาหรอกหรือ?”
ชายคนนั้นตื่นตระหนกทันที จึงรีบขึ้นเสียงเพื่อปกปิดความผิดตน “เจ้า… เจ้าใส่ความข้า! ข้าเป็นชาวบ้านธรรมดาในเมืองหลวง หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนตระกูลเกา!”
“อ้อ”
ฉินเฟิงจงใจลากเสียงยาว ไม่ต้องพูดถึงเหล่าตัวประกอบในที่เกิดเหตุเลย เพราะแม้แต่เกาซงกับจ้าวฉางฟู่ กระทั่งฉีเชิ่งซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะต่างก็หน้าแดงเถือกไปตาม ๆ กัน
ฉีเชิ่งเริ่มกลัวว่า หากการพิจารณาคดีดำเนินต่อไป จะทำให้ ‘ชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่’ ของเขาถูกทำลายแล้ว จึงทุบค้อนไม้เสียงดัง และคำรามเสียงต่ำ “เด็ก ๆ จับกุมทุกคนที่มีส่วนร่วมกับการก่อกบฏมาเสีย!”
MANGA DISCUSSION