บทที่ 83 วิถีแห่งการรับมือกับคน
หลี่จ้านรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทรงโปรดปรานฉินเฟิง แต่การรวบรวมผู้คนเพื่อก่อเหตุทะเลาะวิวาทกลางเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องเล็ก เพื่อความไม่ประมาทชายชราจึงเตือนขึ้นเสียงเบาหนึ่งประโยค
“ในเมืองหลวงมีคำกล่าวที่ว่า หากถูกเรียกเข้าประตูคุกที่เสมือนทะเลลึกหนึ่งครั้ง ยามกลับสู่โลกมนุษย์อีกคราเกสาหงอกขาว”
“เรือนจำใด ๆ ที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของเมืองหลวง แม้แต่เรือนจำของเจ้ากรมเมืองที่มีระดับต่ำที่สุด ก็ไม่ใช่สถานที่ที่สามารถล้อเล่นได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงคนธรรมดา แม้จะเป็นถึงบุตรหลานของขุนนางคนสำคัญในเมืองหลวงต่างก็ต้องถูกถลกเนื้อเถือหนังนะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก้มพระพักตร์จับพู่กัน ราวกับกำลังครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ถามขึ้น “เจ้าคิดว่าฉินเฟิงจะรอดมาได้หรือไม่?”
ภายในห้องทรงพระอักษรนี้ไม่มีบุคคลภายนอก หลี่จ้านในฐานะบ่าวรับใช้เก่าแก่ หน้าแดงแล้วเอ่ย “แม้ว่าฉินเฟิงจะอาเจียนเป็นดอกบัว*[1] และสามารถกลับดำเป็นขาวได้ ทว่าตราบใดที่เขาเข้าไปในศาลกรมเมือง ไม่ว่าจะด้วยชอบธรรมหรือไม่ เขาจักต้องถูกโบยด้วยไม้ลงทัณฑ์สิบไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกตั้งข้อหาว่ามีเจตนา ‘ก่อกบฏ’ เกรงว่าเจ้าเด็กนั่นจะตายก่อนได้พิจารณาคดีพ่ะย่ะค่ะ ปัญญาชนที่มีร่างกายผอมบางเยี่ยงฉินเฟิงจะทนต่อไม้โบยอันโหดเหี้ยมได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงส่งเสียง “โอ้” แผ่วเบา เขาไม่ได้รีบร้อนตอบ ทว่าวางพู่กันลงแล้วมองหลี่จ้านด้วยรอยยิ้ม “ขันทีหลี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจิ้นจึงให้ท้ายฉินเฟิง?”
หลี่จ้านตระหนักดีว่าสำหรับพฤติกรรมที่ฉินเฟิงทำ หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่น ต่อให้มีหลายร้อยศีรษะก็คงไม่เพียงพอให้ตัดแล้ว
นายน้อยฉินสามารถกระโดดโลดเต้นได้อย่างยาวนานเยี่ยงนี้ ภายนอกอาจดูเหมือนปาฏิหาริย์ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นผลมาจากการไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง
หลี่จ้านไม่กล้าลังเล เขารีบก้มศีรษะลง และตอบอย่างรวดเร็ว “ฉินเฟิงไม่ข้องแวะกับผู้ใด สำหรับเขาแล้วทุกคนที่อยู่ใต้ฝ่าบาทล้วนเป็นเพียงเมฆที่ลอยอยู่บนอากาศ”
“เมื่อเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขาก็แสดงความเคารพอย่างให้เกียรติ เพียงเพราะฝ่าบาทสามารถตัดสินความเป็นตายของเขาได้”
“แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่น กระทั่งบุตรชายของมหาเสนาเกาหนึ่งในสามมหาเสนาก็ยังไม่อยู่ในสายตา คนอวดดีทว่ามีจุดยืนของตนเองเช่นเขา พบเจอได้น้อยนักพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดถูก ฉินเฟิงเป็นเสมือนหนามที่ตั้งอยู่บนตั่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่นั่งลงไปล้วนถูกแทงจนได้เลือด ต้องมึนงงและร้องเจ็บปวดอย่างไม่รู้จบ แต่คมหนามนั้นมิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทอดพระเนตรออกไปนอกประตูห้องทรงอักษร จากนั้นก็ทอดถอนพระทัย ตรัสขึ้นอย่างจริงจังว่า “หากฝักใฝ่สงครามจักย่อยยับ แต่หากลืมที่จะต่อสู้จักมีภัย แคว้นต้าเหลียงอยู่อย่างสงบสุขมายาวนาน ความทะเยอทะยานของขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักก็เหือดหาย พวกขุนนางคิดแต่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจและหาเงินเข้าตัวอยู่ตลอด ทุกวันนี้ท้องพระคลังว่างเปล่า และไม่สามารถรองรับสงครามภายนอกได้ ว่ากันว่ากองทหารชายแดนห่างไกลบางกลุ่มต้องกินแกลบเพื่อบรรเทาความหิวโหย ในขณะที่ลูกหลานแห่งเมืองหลวงกลับใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายหลายแสนตำลึงเงิน โดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วกะพริบตา…”
“เฮ้อ คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุตรหลานของขุนนางผู้มีคุณูปการเป็นเสาหลักของแว่นแคว้นในอดีต แม้ว่าเจิ้นจะมีโทสะอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อาจลงมือกับพวกเขาได้ ในฐานะผู้ปกครอง ฮ่องเต้เช่นข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน”
เมื่อตรัสมาถึงตรงนี้ จู่ ๆ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา แววตาเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ บารมีแห่งราชาแผ่ออกมาอย่างเข้มข้น “ถ้าฉินเฟิงทำให้พวกเขาไม่มีความสุข เจิ้นก็จะมีความสุข! ในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง ท่าทางของขุนนางสำคัญที่เงียบกริบเหมือนจักจั่นเพราะการเดิมพันเล็ก ๆ นั่นช่างน่าโมโหและน่าขันจริง ๆ! เหตุการณ์เหล่านี้คงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต เจิ้นชอบที่จะได้เห็นนัก!”
หลี่จ้านปาดเหงื่อเย็น ๆ จากหน้าผาก แม้ว่าเขาจะรับใช้ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอยู่ตลอดทุกวัน แต่ชายชราก็ยังรู้สึกหวาดกลัว เขารู้ว่าการอยู่กับราชาก็เหมือนกับการอยู่กับพยัคฆ์
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ความดุร้ายในดวงเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็จางหายไป และกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “บางคนไม่ชอบไม้หนามที่เจิ้นปลูกไว้ต้นนี้ พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อโค่นมัน หึหึ ไม่เพียงแต่เจิ้นจะไม่ยอมให้หนามนี้ถูกหัก แต่คงต้องปล่อยให้มันแหลมคมยิ่งขึ้น หลี่จ้านลำบากเจ้าไปที่ศาลกรมเมืองสักเที่ยวแล้ว”
หลี่จ้านคุกเข่าลงทันที เมื่อได้ยินเช่นนี้ “บ่าวชราผู้นี้ขอประทานอภัยที่ไม่สามารถแบกรับคำว่า ‘ลำบาก’ ได้ นี่เป็นหน้าที่ของบ่าวชราที่จะต้องแก้ไขปัญหาให้ฝ่าบาท แม้ว่าจะต้องข้ามภูเขากระบี่ทะเลเพลิงบ่าวชราก็ไม่หวั่นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมองดูหลี่จ้านด้วยความสนใจ “เจ้าตื่นตระหนกอะไรกัน? เจิ้นยังไม่เคยโทษเจ้าที่ก่อนหน้านี้รับเงินจากฉินเฟิงมาเลย อย่างไรเจ้าก็เป็นคนเก่าคนแก่ถึงสามราชวงศ์”
เดิมทีหลี่จ้านก็อายุมากแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขาก็เกือบตายเพราะความตกใจทันที
หูตาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง กระทั่งคนเก่าแก่สามราชวงศ์เช่นหลี่จ้านก็ยังไม่อาจหลบพ้น
หลี่จ้านคุกเข่าลงบนพื้น และโขกศีรษะลงตัวสั่นเทา “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวชราจะไปพาฉินเฟิงออกมาเดี๋ยวนี้”
“ฮ่าฮ่า” ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงสรวลอย่างสบายพระทัย จนเสียงก้องกังวาน
แต่ทั่วทั้งห้องทรงพระอักษรรวมถึงหลี่จ้านที่กำลังคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเขา ล้วนไม่สามารถตรวจจับความเหยียดหยามในดวงตา และความเยือกเย็นบนใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงได้เลย
เมื่อเปรียบเทียบกับทาสสุนัขที่อ้างว่าภักดีต่อเจ้านาย แต่แอบเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ลับหลังเหล่านี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงชอบเจ้าเด็กหนุ่มฉินเฟิงมากเสียกว่า
แม้ว่าเขาจะโลภ อวดดี และบ้าคลั่ง แต่ก็เป็นคนเดียวในเมืองหลวง หรือแม้แต่คนเดียวในต้าเหลียงที่ปฏิบัติต่อฮ่องเต้ด้วยความจริงใจ
“ถ่ายทอดราชโองการ ประทานเข็มขัดทองคำให้ฉินเฟิง”
ทันทีที่ได้ยินรับสั่ง หลี่จ้านก็ตกตะลึงไปทันที
เวลาเดียวกัน ภายในศาลาว่าการเจ้ากรมเมือง
ฉินเฟิงถูกมัดไหล่หลังรั้งคอไว้กับตั่งไม้ ในขณะที่มือปราบหลายคนกำลังถือไม้ด้วยท่าทางโหดเหี้ยม จ้องมองไปที่ฉินเฟิงด้วยเจตนาร้าย
“นายน้อยฉิน ใต้เท้ามีบัญชา แม้ยังไม่ได้ปรากฏตัวในศาล แต่ความผิดฐานรวบรวมฝูงชนเพื่อสร้างความวุ่นวายนั้นแจ่มชัด ท่านจะถูกลงโทษด้วยการโบยสามสิบไม้ก่อน ท่านคิดว่าข้าน้อยกำลังบังคับใช้กฎหมายอย่างยุติธรรมหรือไม่ หรือว่า…”
ดังสุภาษิตที่ว่า ใกล้ภูเขากินภูเขา ใกล้ทะเลกินทะเล*[2] พึงมือปราบกินนักโทษ
ฉินเฟิงเข้าใจหลักการนี้ดี เขายกสองนิ้วออกมาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วเอ่ย “พูดง่าย ๆ หน่อย ตกลงหรือไม่”
มือปราบหลายคนมองหน้ากัน ยกไม้โบยขึ้นสูง แล้วกระแทกมันลงบนก้นของฉินเฟิงทันใด
แต่จริง ๆ จากมุมนั้นหัวไม้กระแทกพื้นก่อน โดยอยู่ห่างจากก้นของฉินเฟิงเพียงเล็กน้อย มีเพียงเสียงไม้กระทบกันแต่ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ เกิดขึ้น
หลังผ่านไปสามสิบไม้ ฉินเฟิงยังคงยิ้มอย่างเริงร่า ราวกับยายหลิวกำลังเยี่ยมชมอุทยานต้ากวน*[3] สองนัยน์ตาโจรมองไปรอบทิศทาง อีกทั้งยังแสดงความคิดเห็นเป็นครั้งคราวว่าเรือนจำแห่งนี้สกปรกเกินไป และตรงนั้นมีกลิ่นเหม็นเพียงใด…
มือปราบเอ่ยเตือนอย่างไม่สบอารมณ์ “นายน้อยฉิน ท่านดูไม่เหมือนคนถูกโบยสามสิบไม้เลยขอรับ โปรดอย่าทำร้ายพวกเราเลย”
ฉินเฟิงยิ้มขณะปลดเชือกบนร่างกายของเขา “วางใจเถอะ ข้าไม่กลัว แล้วเจ้าจะกลัวอะไร? รอดูให้ดีเถอะ…”
หลังจากนั้นไม่นาน หลายคนก็ ‘คุมตัว’ ฉินเฟิงกลับไปยังห้องโถง
ฉินเฟิงที่ก่อนหน้านี้ยังผ่อนคลาย พลันแผดเสียงร้องโหยหวน และล้มลงกับพื้นทันทีที่ผ่านเข้าประตู
เหงื่อหลายเม็ดผุดออกมาตามหน้าผากราวไข่มุก…
ทักษะการแสดงอันยอดเยี่ยมนี้ ทำให้แม้แต่มือปราบประสบการณ์โชกโชนทั้งหลายยังต้องตกตะลึง
พริบตาต่อมาทุกคนต่างก็ยกนิ้วโป้งให้ในใจ
นายน้อยฉินรักษาคำพูด และไม่หักหลังพวกเราจริง ๆ…
ในห้องโถงมีเจ้าหน้าที่ทั้งสามกองปราบเรียงแถวอยู่ เจ้ากรมเมืองฉีเชิ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด โดยมีเกาซงกับจ้าวฉางฟู่ยืนอยู่ข้างกาย แสร้งทำท่าทำทางเป็นฝ่ายโจทก์ก็มิปาน
ปัง!
ฉีเชิ่งทุบค้อนลงบนโต๊ะ มองไปยังฉินเฟิง และตะโกนเสียงต่ำด้วยความเกรี้ยวกราด “โจรชั่ว! บังอาจนัก เจ้าจะอธิบายความผิดในการยุยงปลุกปั่นชาวเมืองและรวบรวมฝูงชนเพื่อก่อกบฏได้อย่างไร!”
ตามความทรงจำของเจ้าของร่างเก่า ฉีเชิ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของมหาเสนาเกา ดูเผิน ๆ เหมือนเจ้ากรมเมืองนี้จะแซ่ ‘ฉี’ แต่ลึก ๆ แซ่ที่แท้จริงในกระดูกของเขาคือ ‘เกา’
แม้ว่าฉินเฟิงจะปาหลักฐานกระแทกใบหน้าของฉีเชิ่ง แต่ฉีเชิ่งก็คงจะหาวิธีเปลี่ยนขาวเป็นดำอยู่วันยังค่ำ ดังนั้นหลังจากเข้ามายังในศาลนี้ชายหนุ่มจึงไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องเหตุผลอีก
แต่ในเมื่อแสดงแล้วก็ต้องแสดงให้เต็มรูปแบบ นายน้อยฉินแสร้งทำเป็นไร้เรี่ยวแรง และเอ่ยอย่างคับข้องใจว่า “ใต้เท้าผู้รอบรู้ ผู้ใดในเมืองหลวงนี้ไม่รู้บ้างว่าข้าฉินเฟิงเป็นพลเมืองดีที่ปฏิบัติตามกฎหมาย? ความผิดโทษฐานรวบรวมฝูงชนเพื่อก่อกบฏหรือ ล้วนเป็นเรื่องใส่ร้ายของเกาซงกับจ้าวฉางฟู่อย่างเห็นได้ชัด ใต้เท้าโปรดให้ความยุติธรรมด้วย!”
[1] อาเจียนเป็นดอกบัว หมายถึง มีวาทศิลป์ในการพูด วาจาไพเราะน่าฟัง
[2] ใกล้ภูเขากินภูเขา ใกล้ทะเลกินทะเล หมายถึง นำสิ่งที่มีรอบตัวมาใช้ให้เป็นประโยชน์
[3] ยายหลิวกำลังเยี่ยมชมอุทยานต้ากวน หมายถึง คนที่เพิ่งเคยเห็นโลกกว้าง ใช้เสียดสีคนโง่เขลา
MANGA DISCUSSION