บทที่ 82 คุมตัวสู่เรือนจำ
เถี่ยเฟยอิงทำได้เพียงกัดฟัน และทำท่าทาง ‘เชื้อเชิญ’ ให้สวีโม่ดำเนินการ
เมื่อเห็นว่าเถี่ยเฟยอิงไม่เพียงไม่ไปไหน แต่กลับกระตุ้นให้เขาจับกุมคนโดยเร็ว ใบหน้าของสวีโม่ก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจทันที เขาเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบไปซะ!”
เถี่ยเฟยอิงรู้สึกหวาดหวั่น การเร่งเร้าให้ผู้บัญชาการหน่วยลาดตระเวนจับกุมบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม เรื่องแบบนี้เขาเองก็ไม่เคยแม้แต่จะกล้าคิดมาก่อน
แต่ท่านเจ้ากรมเมืองมีคำสั่งลงมาแล้วว่า ให้พาคนกลับไปให้ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม
แม้ท่านเจ้ากรมเมืองจะไม่ได้ระบุว่าเป็นฉินเฟิง แต่ความหมายระหว่างบรรทัดก็ชัดเจนแล้ว
“ผู้บัญชาการสวีโปรดบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นกลาง และจับกุมผู้ก่อความวุ่นวายด้วยเถิดขอรับ” เถี่ยเฟยอิงยอมทุ่มสุดตัว เขาวางท่าดื้อดึงเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนในที่เกิดเหตุล้วนรู้สึกประหลาดใจกับอากัปกิริยาของเขา
โดยเฉพาะเกาซง ซึ่งเดิมทีไม่ได้คาดหวังกับหัวหน้ามือปราบตัวน้อยคนนี้มากนัก นายน้อยเกาไม่คาดคิดว่าผีรับใช้จะรับมือยากยิ่งกว่าพญายม!
ทันใดนั้น เกาซงพลันฟื้นคืนความหวัง และตะโกนอย่างรวดเร็ว
“ฉินเฟิงรวบรวมฝูงชนเพื่อก่อเหตุทะเลาะวิวาท และยุยงให้ชาวบ้านกบฏ ท่านเจ้ากรมเมืองเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว จึงส่งคนมาจับกุมผู้ก่อความวุ่นวาย ข้าน้อยชื่นชมยิ่งนัก เถี่ยเฟยอิงไยเจ้ายังไม่รีบจับกุมฉินเฟิงอีกเล่า!”
เดิมทีหากกรมเมืองและองครักษ์หน่วยลาดตระเวนดำเนินการพร้อมกัน เจ้าหน้าที่สามกองปราบควรจะช่วยเหลือองครักษ์หน่วยลาดตระเวน โดยมีหน่วยลาดตระเวนเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
ทว่าเห็นได้ชัดว่าสวีโม่ไม่มีเจตนาจะจับกุมฉินเฟิง เมื่อได้ฟังคำพูดของเกาซงแล้ว เถี่ยเฟยอิงก็เข้าใจสถานการณ์ทันที เขาออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่สามกองปราบเข้าจับกุมโดยตรง
เนื่องจากเป็นคำสั่งของท่านเจ้ากรมเมือง เจ้าหน้าที่สามกองปราบจึงไม่กล้าลังเล และเบียดเข้ามาด้านหน้าอย่างแข็งขัน
เมื่อเห็นดังนั้น ฉินเสี่ยวฝูซึ่งปกป้องอยู่ข้างกายฉินเฟิงจึงตะโกนใส่เถี่ยเฟยอิง “เจ้าคิดจะจับกุมนายน้อยของข้า เถี่ยเฟยอิง เจ้าไม่ต้องการเป็นหัวหน้ามือปราบอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”
ชูเฟิงก็อารักขาอยู่ข้างกายฉินเฟิงเช่นกัน บ่าวรับใช้ที่กำลังรื้อพรรคพยัคฆ์มังกรต่างก็พากันวิ่งกลับมา ถือไม้ไว้ในมือ และเข้าล้อมรอบปกป้องผู้เป็นนายที่อยู่ตรงกลางถึงสามชั้น ทำท่าทางราวกับจะสู้กันให้ตายไปข้างอย่างไรอย่างนั้น
เถี่ยเฟยอิงรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก
ด้านหนึ่งเป็นนายน้อยผู้สูงศักดิ์แห่งตระกูลเสนาบดีกรมกลาโหม และอีกด้านหนึ่งเป็นคำสั่งจากท่านเจ้ากรมเมือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลังจากเลือกเคราะห์ที่เบากว่า เถี่ยเฟยอิงก็ทำได้เพียงยึดมั่นในการตัดสินใจของเขาไว้ และบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นกลาง
“ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทุกคนล่าถอยไปซะ ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษเนื่องจากขัดขวางการดำเนินคดีของทางการ! เจ้าหน้าที่สามกองปราบทุกคนจงปฏิบัติตามคำสั่ง จับกุมฉินเฟิง! ใครก็ตามที่กล้าขัดขวางจะถูกลงโทษในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิด และถูกคุมขัง!”
ด้วยคำพูดนี้ เจ้าหน้าที่ทั้งสามกองปราบจึงมีความมั่นใจมากขึ้น และทยอยชักดาบของพวกเขาออกมา
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกล้าใช้อาวุธ องครักษ์ของหน่วยลาดตระเวนก็ไม่ลังเล พวกเขาต่างก็ชักดาบ และยกขึ้นเช่นกัน
สวีโม่เห็นเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนอย่างเย็นชา “เถี่ยเฟยอิง เจ้าช่างมีความสามารถนัก กล้าดีอย่างไรมาใช้อาวุธต่อหน้าข้า? ช่างกล้ามากเสียจริง!”
สวีโม่พูดพลางก็เหลือบมองมือปราบ และตะโกนด้วยความโกรธว่า “คิดจับพี่น้องของข้า? พวกเจ้าควรจะพิจารณาตัวเองเสียก่อน!”
ไม่ต้องพูดถึงมือปราบธรรมดา ๆ แม้แต่เถี่ยเฟยอิงก็ตื่นตระหนกอย่างมาก
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังนิ่งงันไป เสียงของฉินเฟิงก็ดังขึ้นอย่างนิ่งสงบก้องกังวานไปทั่ว “มิใช่ว่าแค่ต้องไปหาท่านเจ้ากรมเมืองเท่านั้นหรือ? ก็ไปสิ เหตุใดต้องชักดาบใส่กันด้วยเล่า?”
สิ้นประโยคนั้น ฉินเสี่ยวฝูกับชูเฟิงก็ห้ามปรามเขาทันที “นายน้อย ท่านอย่าเลอะเลือนหน่อยเลย!”
ฉินเสี่ยวฝูใบหน้าซีดเผือด เอ่ยขอร้องอย่างขมขื่น “นายน้อย ทันทีที่เข้าเรือนจำ แม้แต่บุตรหลานขุนนางก็ยังต้องถูกถลกผิวหนังออกชั้นหนึ่งเลยนะขอรับ”
ชูเฟิงยื่นมือออกไปคว้าแขนฉินเฟิง “นายน้อย เรือนจำทุกแห่งในเมืองหลวงไม่ว่าจะเป็นที่ใดล้วนเข้าง่ายออกยาก เห็นได้ชัดว่าเกาซงเกี่ยวข้องกับท่านเจ้ากรมเมือง ตราบใดที่ท่านเข้าไป เขาย่อมมีโอกาสมากมายลงมือกับท่าน ถึงเวลานั้นแม้แต่นายท่านก็ยังไม่สามารถพาท่านออกมาได้โดยง่ายนะเจ้าคะ”
เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้รอบตัวปกป้องเจ้านายอย่างเขา ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลื้มใจ
เขามาที่โลกนี้คนเดียวแต่กลับมีคนรอบตัวคอยห่วงใย นี่นับเป็นโชคดีแค่ไหนกัน?
แต่ฉินเฟิงมีแผนอยู่ ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว ส่งสัญญาณให้ชูเฟิงและคนอื่น ๆ ถอยออกไป จากนั้นก็สาวเท้าก้าวไปหาเถี่ยเฟยอิงโดยตรง
ตอนที่เดินผ่านสวีโม่ สวีโม่ก็ยื่นมือออกมาหยุดเขาด้วยแววตาเคร่งขรึม “พี่ฉิน แค่หัวหน้ามือปราบตัวเล็ก ๆ โดยปกติแล้วไม่มีทางกล้าเผชิญหน้ากับหน่วยลาดตระเวน จักต้องเป็นเจ้ากรมเมืองที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้ออกคำสั่งตายเป็นแน่ เท่าที่ข้ารู้ เจ้ากรมเมืองกับมหาเสนาเกา…”
ก่อนสวีโม่จะพูดจบ ฉินเฟิงก็ขัดจังหวะด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่สวีที่เตือนข้า แต่ตัวข้ารู้ดี ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากเกินไปนัก”
เมื่อสัมผัสถึงความมั่นใจในสายตาของฉินเฟิง และนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจวนจี้อ๋องก่อนหน้านี้ แม้แต่ขุนนางบุ๋นบู๊ของราชสำนักทั้งหมดยังไม่สามารถทำอะไรฉินเฟิงได้ สวีโม่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ห้ามนายน้อยฉินอีกต่อไป พลางเขาโบกมือให้บรรดาองครักษ์ถอย
เถี่ยเฟยอิงไม่คาดคิดแม้สักนิดว่าฉินเฟิงจะยอมจำนนด้วยตนเอง เขาทั้งรู้สึกประหลาดใจและซาบซึ้ง
ปากพูดว่าคุมขัง ทว่ากลับทำท่าทางราวเชื้อเชิญอย่างเคารพนอบน้อม “ขอบคุณนายน้อยฉินยิ่งนักที่เข้าใจหลักความยุติธรรม ครานี้ท่านเจ้ากรมเมืองมีคำสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาทำได้เพียงบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นกลางเท่านั้น ขอนายน้อยฉินโปรดเอื้อเฟื้อ ไม่ทำให้หัวหน้ามือปราบตัวเล็ก ๆ อย่างข้าน้อยต้องลำบากในอนาคตด้วย”
แน่นอนว่าฉินเฟิงเข้าใจ เถี่ยเฟยอิงย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำเช่นนี้ ท้ายที่สุดอีกฝ่ายเป็นเพียงมือปราบตัวเล็ก ๆ ไร้อำนาจก็ต้องเชื่อฟังคำสั่ง
อย่างไรก็ตามที่เขาเป็นฝ่ายยอมให้ถูกจับกุมไม่ใช่เพราะเถี่ยเฟยอิง แต่เพราะทั้งสองฝ่ายอยู่ในสภาวะเข้าตาจนต่างหาก หากสิ่งต่าง ๆ ร้ายแรงขึ้นคงจบลงด้วยดีเช่นนี้ไม่ได้อีก
ขุนนางจากฝ่ายต่อต้านสงครามตั้งใจมานานแล้วว่าจะโค่นล้มตระกูลฉิน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาย่อมคว้าโอกาสกล่าวหาว่าฉินเฟิงหยิ่งยโสโอหัง อาศัยว่ามีผลงานนำเสนอกลยุทธ์จึงไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตา
ความผิดฐานรวบรวมฝูงชนบนถนนอาจเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กก็ได้ ขึ้นอยู่กับลมปากของคน ๆ หนึ่ง
นอกจากนี้ ฉินเฟิงยังมั่นใจว่าฝ่าบาทจะไม่นิ่งดูดาย
เหตุการณ์ในวันนี้วุ่ยวายใหญ่โต หูตาของของฝ่าบาทมีทั่วเมืองอาจส่งข่าวไปถึงพระราชวังแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าฝ่าบาทจะตัดสินพระทัยเช่นไร
ภายใต้การ ‘คุมตัว’ อย่างเคารพนอบน้อมของบรรดามือปราบ นายน้อยฉินหันหลังไปโบกมือให้เกาซง “นายน้อยเกา รีบหาเงินมาส่งให้ข้าด้วยเล่า ไม่เช่นนั้นหากดอกเบี้ยมากเกินไป ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่อาจจ่ายคืนได้!”
ใบหน้าของเกาซงแดงก่ำด้วยความโกรธ แต่กลับมิได้ตอบสนองฉินเฟิง เขาลอบกัดฟันกรอด แล้วพึมพำออก “หาเงิน? ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีชีวิตอยู่ทันได้ใช้น่ะสิ! หากเข้าเรือนจำของกรมเมืองเมื่อใด ความเป็นตายของเจ้าล้วนขึ้นอยู่กับคำพูดเพียงคำเดียวจากนายน้อยอย่างข้า!”
เดิมทีจ้าวฉางฟู่มิได้กอดความคาดหวังใด ๆ ไว้ แต่เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงยอมจำนน เขาก็อดไม่ได้ที่จะปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง “เยี่ยมมาก ตราบใดที่เจ้าสารเลวนี่เข้าคุก เราก็สามารถบีบเค้นเขาได้ตามที่ต้องการ การสืบสวนกับการทรมานเป็นของคู่กัน แม้เสนาบดีกรมกลาโหมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ก่อนหน้านั้นเราก็ต้องถลกผิวหนังบุตรชายเขาออกสักชั้นหนึ่งเสียก่อน นายน้อยเกา พวกเราไปร่วมสนุกกันเถอะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า แน่นอน ข้าย่อมเข้าร่วมความสนุกในครั้งนี้!” เกาซงรู้สึกราวกับได้ระบายความอัปยศ เขาสาวเท้าเดินตามไปอย่างไม่คิดรั้งรอ
ขณะเดียวกันในพระราชวัง
หลี่จ้านก้าวเข้าห้องทรงพระอักษรมาอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ขันทีคนสนิทยืนอยู่ข้างฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง และกล่าวรายงานอย่างแผ่วเบา “กราบทูลฝ่าบาท ฉินเฟิงคิดวางแผนก่อกบฏ เขาถูกกรมเมืองจับตัวไป ขณะนี้ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเหลียงซึ่งกำลังตรวจสอบสาส์นฎีกา มิได้เงยพระพัตร์ขึ้นหรือแม้แต่ขยับพระหัตถ์ แต่มุมพระโอษฐ์กลับยกโค้งอย่างนึกสนุก
“ฉินเฟิงวางแผนก่อกบฏ? ฮ่าฮ่า ทุกคนในใต้หล้านี้อาจจะวางแผนลอบก่อกบฏได้ มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่จะไม่ทำ เจ้าเด็กตัวแสบนี่ยังคาดหวังให้เจิ้นช่วยเขาหาเงิน และกลายเป็นมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยอยู่เลย”
MANGA DISCUSSION