บทที่ 80 กัดกลับ
เมื่อได้ยินเกาซงพูดเช่นนี้ ชาวบ้านที่เข้ามาร่วมสนุกก็ถูกจัดให้อยู่ในหมวด ‘คนทรยศ’ ทันที เพียงชั่วพริบตาหายนะก็เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า
ชาวบ้านต้องการเอ่ยแย้ง แต่หน่วยองครักษ์ลาดตระเวนท่าทางดุร้ายน่ากลัวกำลังคุมพื้นที่นี้อยู่ พวกเขาจึงไม่กล้าหุนหันพลันแล่นเอ่ยปาก ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับฉินเฟิงเท่านั้น
ตราบใดที่นายน้อยฉินพ้นจากข้อกล่าวหาเรื่องการก่อกบฏ คนอื่น ๆ ก็ย่อมรอดพ้นตามไปด้วย
หารู้ไม่ว่า ในขณะนี้ภายในใจของฉินเฟิงเองก็กำลังตื่นตระหนก เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่โหดเหี้ยมและมีอำนาจอย่าง ‘ฆ่าก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง’ หากไม่ระวัง ศีรษะอาจจะร่วงหล่นลงพื้นเอาได้
ทว่าฉินเฟิงไม่อาจยอมรับโทษ ‘กบฏ’ เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นทั้งตระกูลฉินจะต้องถูกลากไปพัวพันด้วยเป็นแน่
ความทรงจำของเจ้าของร่างคนก่อนทำให้รู้ว่า สวีโม่ผู้นี้เป็นบุตรชายของจิ้งอันโหว สวีเว่ย
สวีเว่ยประจำการอยู่ที่ชายแดนมาเกือบครึ่งชีวิต ผ่านมาหลายร้อยสงคราม และเป็นหนึ่งในแม่ทัพคนโปรดของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง ด้วยความสัมพันธ์อันดีนี้ สวีโม่ที่มีอายุเพียงสิบแปดปีจึงได้รับตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการกองลาดตระเวน ในบรรดาลูกหลานขุนนางแห่งเมืองหลวง มีชนรุ่นหลังเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มี ‘ตำแหน่งขุนนาง’
ข้อสำคัญที่สุดคือ จิ้งอันโหวสวีเว่ยก็เป็นฝ่ายสนับสนุนสงคราม และมีความสัมพันธ์อันดีกับบิดาของฉินเฟิง
หากไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ระหว่างบิดาของพวกเขา สวีโม่คงไม่มัวพูดจาไร้สาระ และตรงเข้ามัดมือมัดเท้าฉินเฟิง เพื่อนำกลับไปเฆี่ยนตีเสียให้สิ้นเรื่องแล้ว
ภายใต้สายตาที่จ้องมองมาของทุกคน ฉินเฟิงดูมั่นคงราวกับสุนัขแก่ เขาเดินวางมาดไปทางสวีโม่ เมื่อเดินมาถึงหัวม้า ก็แสดงสีหน้าเลื่อมใสอย่างหาใดเปรียบ นายน้อยเจ้าสำราญกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สวี ไม่เจอกันนาน ท่านลุงยังร่างกายแข็งแรงดีหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวีโม่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้เขากังวลว่า ฉินเฟิงจะใช้ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาเป็นข้อแก้ตัว อย่างไรตอนนี้ก็มีสายตามากมายคอยเฝ้าดูเขา คงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดประตูหลังให้ฉินเฟิงหนีไปอย่างเปิดเผย
ปรากฏว่าไอ้เจ้านี่ทำอย่างที่เขากังวลจริง ๆ เสียนี่
สวีโม่เหลือบมองเกาซง และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์กับฉินเฟิงว่า “ขอบคุณพี่ฉินที่เป็นห่วง บิดาข้าร่างกายแข็งแรงดี กินอาหารอิ่มอร่อย เราไม่จำเป็นต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวที่นี่กระมัง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาที่จักตามมา”
หลีกเลี่ยงข้อครหา? ครหาบ้านเจ้าสิ! สายสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลดีขนาดนี้ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะใช้ประโยชน์จากมัน!
ฉินเฟิงไม่สนใจสายตาคมกริบของเกาซงที่อยู่ข้าง ๆ เขาเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เราทุกคนล้วนเป็นบุตรหลานแห่งเมืองหลวง ย่อมรู้จักมักคุ้นกันเป็นธรรมดา เหตุใดต้องแกล้งทำเป็นคนแปลกหน้าเล่า? เช่นนั้นก็หน้าซื่อใจคดเกินไปแล้ว! การที่ตระกูลฉินของข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลสวีมิใช่เรื่องน่าละอาย ใครอยากจะพูดซี้ซั้วก็เชิญพูดไปเถิด!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวีโม่ก็มองดูฉินเฟิงด้วยแววตาเป็นประกาย อย่างไรเสีย ในฐานะบุตรหลานตระกูลแม่ทัพ ลึก ๆ แล้วสวีโม่ชื่นชอบคนที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้อย่างอธิบายไม่ถูก
ถึงอย่างนั้น สวีโม่ก็ไม่ได้วางทวนของเขาลง เขาปราดตามองไปยังฝูงชนด้านหลังฉินเฟิง และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “พี่ฉิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ก่อนที่ฉินเฟิงจะตอบ เกาซงก็ชิงตะโกนขึ้นเสียงดังว่า “ฉินเฟิงตั้งใจจะก่อกบฏ โปรดจัดการอย่างเคร่งครัดด้วย ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่เพียงไปร้องเรียนกับเจ้ากรมเมือง แต่จะให้บิดาถวายฎีกาในการว่าราชการของเช้าวันพรุ่งนี้ด้วย!”
เกาซงรู้ดีว่าแม้สวีโม่จะมีความสัมพันธ์อันดีกับนายน้อยตระกูลฉิน แต่ก็ไม่กล้าที่จะปล่อยปละละเลยต่อหน้าธารกำนัล ตราบใดที่เขากดดัน อย่างน้อยที่สุดก็ยังสามารถผลักฉินเฟิงเข้าไปในคุกได้
ประตูเรือนจำเป็นดั่งทะเลลึก เข้าง่ายแต่ออกยาก!
สวีโม่ไม่ชอบเกาซงเป็นทุนเดิม และเมื่ออีกฝ่ายสร้างแรงกดดันมากเข้า สีหน้าของเขาก็พลันเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ
ต่างจากฉินเฟิงที่ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง ตราบใดที่เขาสามารถตีสนิทสวีโม่ และหลีกเลี่ยงการถูกอีกฝ่ายลงโทษกลางถนนได้ ปัญหานี้ก็จัดการได้ไม่ยาก
การคุกคามของเกาซงนั้น ฉินเฟิงไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด
คิดจะข่มขู่ใครกัน? รอให้เรื่องไปถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ก่อนเถิด ถึงเวลานั้นใครจะอยู่ใครจะตายก็ไม่แน่นักหรอก!
“รวมพลก่อกบฏหรือ? ข้อหาใหญ่เช่นนี้ หากไม่มีหลักฐาน ข้าจะฟ้องเจ้าในข้อหาพูดเท็จเสีย! ถ้าข้าถูกจำคุก ท่านพ่อของข้าย่อมได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ถึงเวลานั้น สงครามในเป่ยตี๋ก็จะได้รับความเสียหายตามไปด้วย ฝ่ายต่อต้านสงครามย่อมกลายเป็นชาวประมงที่ได้รับผลประโยชน์ หรือนี่จะเป็นความตั้งใจของมหาเสนาเกาที่จะขยายข้อพิพาทระหว่างขุนนางออกมานอกราชสำนักหรือไร?”
ใบหน้าของเกาซงขาวซีด แต่เขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยเสียงทุ้ม “ฉินเฟิง เจ้าบริภาษให้มันน้อย ๆ หน่อย! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก เรามาว่ากันตามความจริงเถิด!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเฟิงก็อดจะขบขันขึ้นมาไม่ได้
เกาซงขมวดคิ้วทันที “มีมีดมาจ่อถึงคอแล้ว กล้าดีอย่างไรมามัวหัวเราะ? ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะหัวเราะไปได้นานสักแค่ไหน!”
จ้าวฉางฟู่ซึ่งอยู่ข้างหลังเขารีบคว้าแขนเกาซง แล้วกระซิบเสียงเบา “นายน้อยเกา อย่ามัวพูดมากความกับเจ้าสารเลวนี่เลย กดดันสวีโม่ให้เอาฉินเฟิงเข้าคุกก่อนเถิด”
จ้าวฉางฟู่เป็นผู้ทำการค้า เขาย่อมมีความเจ้าเล่ห์อยู่ไม่น้อย เขาที่เคยเสียเปรียบฉินเฟิงมาแล้วคราหนึ่ง เหมือนถูกงูกัดหนึ่งครั้งแล้วกลัวเชือกฟางเป็นสิบปี*[1]
เจ้าของหอเซียนเมามายในนามรู้ดีว่า ไม่มีผู้ใดหาประโยชน์ได้จากการโต้เถียงกับฉินเฟิง
เกาซงส่งสัญญาณให้จ้าวฉางฟู่สงบลง เขาหันกลับมา และพูดกับสวีโม่ “ผู้บัญชาการสวี ท่านยังยืนนิ่งอยู่ทำไม? จับคนเร็วเข้า! หรือท่านคิดจะปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนต่อหน้าต่อตามวลชนอย่างนั้นหรือ?”
สวีโม่ไม่ทันจะเปิดปากพูด ฉินเฟิงก็ชิงก้าวออกมาเอ่ยก่อน “แม่ทัพสวีกำลังปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือนายน้อยเกากำลังยัดข้อกล่าวหาให้ผู้อื่นกันแน่เล่า? หากต้องการจับคนเจ้าต้องมีหลักฐานใช่หรือไม่?”
เดิมทีสวีโม่อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘แม่ทัพสวี’ แววตาของเขาพลันสดใสขึ้นมาทันที จึงตะโกนขึ้นว่า “ใช่แล้ว หลักฐานเล่า!”
ในฐานะบุตรหลานตระกูลแม่ทัพที่เต็มเปี่ยมด้วยกำลังวังชา และมีจิตวิญญาณวีรชน ตราบใดที่ตระกูลสวีไม่ได้ทำผิดพลาดใหญ่หลวง ในอนาคตสวีโม่ย่อมได้รับการสืบทอดตำแหน่งจิ้งอันโหว
แต่สวีโม่ไม่ต้องการหลบซ่อนอยู่ใต้รัศมีของบิดาไปตลอด เขาต้องการพึ่งพาความแข็งแกร่งของตน และรับบรรดาศักดิ์โหวด้วยความสามารถของตัวเอง คำว่า ‘แม่ทัพสวี’ ที่ฉินเฟิงเอ่ยขึ้นเมื่อครู่ จึงกระแทกใจสวีโม่เข้าเต็ม ๆ
เกาซงไม่คิดว่าสวีโม่จะลำเอียงเข้าข้างฉินเฟิงถึงเพียงนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิด
เมื่อไม่สามารถบีบบังคับฉินเฟิงให้เข้าคุกได้ เกาซงจำต้องหาหนทางอื่น เขาชี้นิ้วไปยังฝูงชนที่อยู่ตรงนั้น และตะโกนด้วยเสียงต่ำ
“ต้องการหลักฐานใช่หรือไม่? ดี! ข้าจะให้หลักฐานแก่พวกเจ้า ทุกคนที่อยู่ที่นี่ถูกฉินเฟิงนำตัวมา ผู้คนหลายร้อยชีวิตฟังคำสั่งของนายน้อยฉินเพียงคนเดียว มีอะไรจะแก้ตัวอีกหรือไม่?”
ทันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยจบ ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขาหันไปมองชาวบ้านที่ต่างก็มีสีหน้าตกตะลึง และพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “พวกเจ้าเป็นคนของข้าหรือ? จริงหรือ?”
ชาวบ้านในที่เกิดเหตุแทบจะอดรนทนรอจังหวะถอนตัวเช่นนี้ไม่ไหว เมื่อได้ยินคำพูดของนายน้อยฉิน พวกเขาก็พากันตะโกนขึ้นทันที
“พวกข้าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาในเมืองหลวง มาที่นี่เพื่อร่วมสนุกเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนตระกูลฉินเลยแม้แต่น้อยขอรับ”
“ถูกต้อง! พวกเราแค่มาดู และไม่ได้สอดมือเข้าไปเลยสักนิด”
“ผู้บัญชาการสวีไม่เชื่อก็ลองสอบสวนดูเถิด เราทุกคนมีทะเบียนบ้านในเมืองหลวงให้ตรวจสอบชัดเจน”
ฉินเฟิงผายมือออก ยักไหล่ ทำหน้าซื่อตาใส “นายน้อยเกา เจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงคนธรรมด๊าธรรมดาที่มาร่วมสนุก พวกเขาเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฉินของข้ากันเล่า? คนตระกูลฉินที่ข้าพามามีเพียงห้าสิบคนเท่านั้น อย่างมากก็เป็นการรวมพลเพื่อก่อจลาจลสร้างความวุ่นวาย ยังห่างไกลมากกับคำว่ากบฏนะนี่”
“สงบปากสงบคำหน่อย ขวานที่ข้าถือมาหรือก็เป็นเครื่องมือช่าง หากไม่เชื่อแล้ว ข้าสามารถเอามีดจากพรรคพยัคฆ์มังกรไปที่กรมกลาโหมเพื่อตรวจสอบดูให้ได้ว่า ระหว่างขวานกับมีดนั่นอันไหนเรียกว่าอาวุธสังหารกันแน่หนอ”
แก้มของเกาซงเห่อแดง พูดไม่ออกอยู่เป็นเวลานาน
กรมกลาโหมทั้งหมดอยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลฉิน ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ผลลัพธ์ได้แล้ว
เกาซงไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่า ฝูงชนที่แยกเขี้ยวกางกรงเล็บหลายร้อยคน ณ ที่นี้ แท้จริงล้วนเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาสามัญในเมืองหลวง…
[1] ถูกงูกัดหนึ่งครั้งแล้วกลัวเชือกฟางเป็นสิบปี : หมายถึงอับอายและหวาดกลัวเมื่อประสบกับความพ่ายแพ้
MANGA DISCUSSION