บทที่ 8 คุกเข่าเรียกอาจารย์
บทกวีสองสามบทก่อนหน้านี้ของฉินเฟิง ทำให้เขาสามารถศึกษาในสำนักศึกษาเซิ่งหลินแห่งต้าเหลียงต่อได้ และดูเหมือนว่าจะอยู่ต่ออย่างมั่นคงมากขึ้นเสียด้วย
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เมื่อเขาร่ายบทกวีเหล่านี้ออกมา ในอนาคตจะมีแว่นแคว้นไหนกล้ารังแกต้าเหลียงของเรา และตราหน้าว่าไร้วัฒนธรรมราวคนเถื่อนอีก
สายตาของผู้คุมสอบที่มองฉินเฟิงเปลี่ยนจากรังเกียจเดียดฉันท์เป็นใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมาก ทำอย่างกับว่าเขาเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น
ฉินเฟิงผ่านการทดสอบสองรอบติดต่อกัน ฉินเฟิงที่ครั้งหนึ่งทุกคนรังเกียจราวหนูสกปรก ไม่เพียงกอบกู้ชื่อเสียงกลับมาได้ แต่ตอนนี้ยังมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้นด้วย
เดิมทีหลี่รุ่ยวางแผนที่จะจัดการฉินเฟิงโดยอาศัยการสอบชุมนุมกวีครั้งนี้ เขาไม่คิดเลยว่าจะยกก้อนหินทุบเท้าตัวเองเสียได้
ท่าทางอันสูงส่งในตอนที่ปรากฏตัวครั้งแรกหายไปนานแล้ว เขากำลังจะเดินออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่กลับได้ยินเสียงของฉินเฟิงดังขึ้นอีกครั้ง
“นายน้อยเฉิง ทำไมเจ้ายังยืนเฉยอยู่ตรงนั้นอีก เจ้ายังไม่ได้ทำความเคารพข้าและเรียกว่าท่านอาจารย์เลย!”
ฉินเฟิงนึกถึงท่าทางของพวกนักปราชญ์ในหนัง เขาเอามือไพล่หลัง ส่ายหัวไปมา ทำเอาหลิ่วหงเหยียนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เจ้าน้องคนนี้ ร้ายจริง ๆ!
หลี่รุ่ยจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าฉินเฟิงจงใจเอ่ยล้อเลียนเขา
ในใจยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ใบหน้าของเฉิงฟาแดงราวสีโลหิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้ยินเสียงซุบซิบของบัณฑิตรอบตัว เขาอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียให้ได้
“ฉินเฟิง เจ้าอย่าทำเกินไปนัก!”
ฉินเฟิงรู้สึกขบขันอยู่พักหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าแพ้แล้วไม่ยอมรับ? จะมาทำตัวหน้าไม่อายกับนายน้อยอย่างข้า เกรงว่าคงไม่เคยเจอกระแสสังคมรุมประณามกระมัง!
ฉินเฟิงหันศีรษะมองไปยังอาจารย์ของสำนักศึกษาเซิ่งหลินที่เบียดเสียดอยู่ในฝูงชน
ทันใดนั้น เขาก็ไอแห้ง ๆ สองครั้ง เลียนแบบท่าทางของอีกฝ่าย ทำหน้าทำตาราวกับเบื่อหน่ายโลก เพราะตนเองถูกคนอื่นโกง
“สารเลว เจ้ากล้าล้อเลียนอาจารย์ ไม่รู้กฎเกณฑ์เอาเสียเลย!”
“ข้าอยากจะถามบิดาของเจ้านัก การไม่เคารพอาจารย์ ไปเที่ยวเรือสำราญ ไม่จ่ายเงินนางโลม แพ้แล้วไม่ยอมรับ เป็นสิ่งที่บัณฑิตควรจะกระทำหรือ”
“มีอย่างที่ไหนกัน ข้าละโมโหจริง ๆ”
บัณฑิตรอบ ๆ มีหรือจะมองไม่ออกว่าฉินเฟิงกำลังเลียนแบบท่าทางของอาจารย์ พวกเขาต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
อาจารย์เหล่านั้นโกรธจนหน้าแดง พวกเขาสะบัดแขนเสื้อจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นท่าทางไร้ยางอายของฉินเฟิง เฉิงฟาตัวสั่นด้วยความโกรธ แต่ตระกูลของเขาเข้มงวดนัก หากท่านพ่อรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องถูกถลกหนังเป็นแน่
เฉิงฟาอับอายและโกรธมาก แต่เขาไม่กล้าที่จะต่อต้านจึงทำได้เพียงยกมือคำนับ “คารวะอาจารย์”
“มักง่าย!” ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น ไม่พอใจอย่างมาก “มีอย่างที่ไหน คารวะอาจารย์แล้วไม่คุกเข่า?!”
“เจ้า!”
เฉิงฟาสูดลมหายใจลึก บังคับตัวเองให้คุกเข่าลงบนพื้น เขาก้มตัว ยกมือขึ้นเหนือหัว สีหน้าราวกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ศิษย์เฉิงฟา คารวะท่านอาจารย์”
บัณฑิตที่อยู่รอบ ๆ ไม่สามารถหยุดหัวเราะเยาะได้ ส่วนบัณฑิตหญิงที่เคยชอบเฉิงฟาก็แสดงความรังเกียจออกมาเช่นกัน
ใบหน้าของหลี่รุ่ยเขียวคล้ำ ผู้ใดเล่าไม่รู้ว่าเฉิงฟาเป็นคนของเขา?
ไอ้ฉินเฟิงสารเลวทำให้เฉิงฟาอับอายอย่างนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตั้งใจตบหน้าเขาต่อหน้าธารกำนัล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฉินเฟิงต้องการก็มีแค่นี้ เขาแค่ต้องการให้หลี่รุ่ยเข้าใจว่าถ้าเล่นตุกติกกับเขา เจ้าต่างหากคือคนที่เสียเปรียบ!
ขณะที่หลี่รุ่ยจ้องมองมาที่เขาพร้อมกัดฟันแน่น ฉินเฟิงกลับยิ้มระรื่น เอื้อมมือไปแตะหัวของเฉิงฟา สายตาเต็มไปด้วยความเมตตาราวบิดามองบุตร
“เด็กดี เช่นนั้นอย่าลืมส่งหนึ่งแสนตำลึงเงินไปที่บ้านอาจารย์ของเจ้าด้วยเล่า”
“ไม่อย่างนั้น ข้าจะเป็นอาจารย์หนึ่งวันแต่เป็นดั่งบิดาเจ้าตลอดชีวิต ข้าจะจัดการเจ้าให้สาสม”
ทันทีที่พูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกครั้ง
หลิ่วหงเหยียนปิดปากของนาง หน้าแดงระเรื่อ นางมองฉินเฟิงด้วยความโกรธ “เจ้าน้องคนนี้ เจ้ายังเด็กนัก ยังจะมาแสร้งทำเป็นผู้แก่เรียนอีก”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นตกใจและพูดอย่างไร้ยางอาย “พี่หญิงรองมองว่าเสแสร้งหรือ? นี่เป็นสิ่งที่ข้ามีมาแต่กำเนิดนะ”
“ถุย! ไร้ยางอาย” หลิ่วหงเหยียนเบ้ริมฝีปาก แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับแจ่มชัด
วันนี้ฉินเฟิงได้รับความสนใจและกอบกู้ชื่อเสียงให้กับตระกูลฉินได้ หลิ่วหงเหยียนย่อมมีความสุข
เพียงแต่พอคิดถึงรอบตัดสินของการสอบชุมนุมกวีในอีกสามวันข้างหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้สนใจรอบสุดท้ายของการสอบชุมนุมกวีเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มออกจะเบื่อหน่าย ถ้าเขามีเวลาว่าง สู้เอาไปใช้หาเงินไม่ดีกว่าหรือ
เมื่อมองไปที่เฉิงฟาที่ตอนนี้หน้าตาห่อเหี่ยว ฉินเฟิงก็ละความสนใจและลงมือเปิดกิจการใหม่ทันที
เขาประกาศเสียงดังต่อหน้าทุกคน “หากใครต้องการเฉิดฉายในการสอบชุมนุมกวีรอบสุดท้ายในอีกสามวันข้างหน้า ”
“ข้ามีบทกวีอยู่ เห็นแก่มิตรภาพระหว่างสหายร่วมศึกษา รับรองว่าราคายุติธรรมอย่างยิ่ง ไม่มีการหลอกลวง”
“ห้าหมื่นตำลึงเงินสำหรับบทกวี หากซื้อมากลดได้อีก”
“บ้านของพวกเจ้าคงไม่ขาดแคลนเงินเท่านี้กระมัง แน่นอนว่าห้าหมื่นตำลึงเงินนั้นไม่น้อย แต่วางใจเถอะ มันคุ้มค่ายิ่ง!”
“ใช้ห้าหมื่นตำลึงเงินนี้ ซื้อบทกวีกลับไปให้บิดามารดาของพวกเจ้าดูเสีย แสดงให้พวกเขาเห็นว่า เจ้าก็สามารถเขียนบทกวีเลื่องชื่อที่จะสืบทอดต่อไปอีกพันปีได้
ทันทีที่ฉินเฟิงประกาศออกมา ทั้งห้องโถงพลันวุ่นวาย เหล่าบัณฑิตเคยเห็นการซื้อขายบทกวีตอนกลางวันแสก ๆ เสียที่ไหน? พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ผู้คุมสอบที่เหลืออยู่ไม่กี่คน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าที่แก่ชราก็ย่ำแย่ลง
พวกเขามองฉินเฟิงผู้นี้ผิดไปจริง ๆ คนผู้นี้เก็บงำความฉลาดไว้ อย่างไรก็ตาม การร่ายบทกวีหรือแต่งบทกวีล้วนแต่เป็นสิ่งที่สวยงาม แต่ไยเวลามันออกมาจากปากของฉินเฟิงถึงไม่ค่อยน่าฟังเล่า!
ในขณะที่ผู้คุมสอบกำลังจะตำหนิฉินเฟิง เขาพบว่ามีบัณฑิตบางคนเข้าไปหานายน้อยตระกูลฉินแล้วเลียบเคียงสอบถามรายละเอียด
หากเรื่องนี้ใหญ่โตขึ้นมา สำนักศึกษาเซิ่งหลินต้องโดนผู้คนหัวเราะเยาะเป็นแน่ ผู้คุมสอบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งใด และจากไปพร้อมอารมณ์ขุ่นมัว
เมื่อเผชิญหน้ากับบัณฑิตที่กระตือรือร้นที่จะจองบทกวี ฉินเฟิงเห็นว่าผลตอบรับของกิจการนี้ค่อนข้างดีมาก จึงเริ่มตั้งราคา โดยเริ่มต้นจากห้าหมื่นไปจนถึงหกหมื่นตำลึงเงิน ในที่สุดเขาก็ยกมือลูบท้ายทอย ก่อนจะเพิ่มราคาเป็นแปดหมื่นตำลึงเงิน เปิดตัวว่าเป็นพ่อค้าหน้าเลือดอย่างไม่คิดปิดบัง
ตอนนี้ฉินเฟิงอาศัยโอกาสในสำนักศึกษาทำการทุจริต เหล่าบัณฑิตต่างก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
การจ่ายเบี้ยหวัดเพียงเจ็ดถึงแปดหมื่นตำลึงเงิน ไม่นับว่าเป็นกระไร ถ้ามันจะช่วยให้พวกเขาอวดเบ่งในการสอบชุมนุมกวีได้ ไม่เพียงหน้าตาของเราเท่านั้นที่จะเจิดจรัส แต่มันจะเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษด้วย
“อย่าเบียดกัน ได้ทุกคน!” ฉินเฟิงมองไปที่ฝูงชนรอบ ๆ ด้วยรอยยิ้ม ความรู้สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนผู้หนึ่งได้ อาจารย์หาได้หลอกลวงข้าไม่
เมื่อเห็นคนที่เคยถูกรังเกียจ กลายเป็นจุดสนใจของสำนักศึกษาภายในพริบตาเดียว หลี่รุ่ยพยายามอดกลั้น ทว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาเหลือบมองไปที่เฉิงฟาและเอ่ยอย่างเย็นชา “เตรียมการพร้อมแล้วหรือยัง”
วันนี้เฉิงฟาได้รับความอัปยศอดสูอย่างมาก ชื่อเสียงเขาป่นปี้ไปหมด แน่นอนว่า นั่นทำให้เขายิ่งเกลียดฉินเฟิงเข้ากระดูก เจ้าตัวกัดฟันพูดอย่างชั่วร้าย “อย่ากังวล! มันจะไม่มีทางเห็นตะวันของวันพรุ่ง”
ขณะเดียวกันฉินเฟิงก็ถูกหลิ่วหงเหยียนลากออกมาจากฝูงชน แม้ว่าเขาจะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจไปไม่น้อย แต่ฉินเฟิงที่ขายบทกวีได้มากกว่าโหลในคราวเดียวก็ยังคงมีความสุข เขาฮัมเพลงเบา ๆ ท่าทางกระฉับกระเฉงราวกับเป็นพ่อค้าใหม่แห่งต้าเหลียง เรียกได้ว่ามีชีวิตชีวาสุด ๆ
จนกระทั่งถูกหลิ่วหงเหยียนยัดเข้าไปในรถม้า เขาจึงตื่นขึ้นจากฝัน
หลิ่วหงเหยียนพิงพนักพิงของรถม้า นางจ้องตรงเข้าไปในดวงตาของฉินเฟิงราวกับว่าจะกินเขาเข้าไป “บอกมาตามตรง เกิดอะไรขึ้นกันแน่!”
เมื่อเห็นหลิ่วหงเหยียนที่มีท่าทางราวแม่เสืออยู่ใกล้แค่เอื้อม ความเย่อหยิ่งของฉินเฟิงก็หายไปทันที เขาเปลี่ยนมาดเป็นน้องชายผู้อ่อนแอและไร้เดียงสา แสร้งทำเป็นโง่เขลา “อะไร… เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ยังมาเสแสร้งแกล้งทำอีก!” หลิ่วหงเหยียนวางมือข้างหนึ่งลงบนพื้น ส่วนอีกข้างจับหูของฉินเฟิงและเอ่ยขู่
“เจ้าเขียนบทกวีเหล่านั้นจริงหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? แม้แต่นักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในต้าเหลียงก็ยังไม่มีพรสวรรค์เช่นนี้กระมัง? หากเจ้าไม่บอกความจริงกับข้า ข้าจะบิดหูเจ้าออกมาชงชาเสีย!”
MANGA DISCUSSION