บทที่ 75 แค่ฝีปากของท่านก็พอแล้ว
ผู้ดูแลสะดุ้งโหยงราวกับว่าดาบเก้าห่วงเล่มดังกล่าวร้อนลวกมือ เขาไม่กล้าลังเล รีบส่งดาบไปใส่มือของลูกสมุนที่อยู่ข้าง ๆ แต่ลูกสมุนคนนั้นไม่กล้ารับ หลังจากนั้นฉากนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการละเล่น ‘ตีกลองส่งดอกไม้’*[1] จนกระทั่งท้ายที่สุดก็มีคนรับดาบมาและเหวี่ยงกลับเข้าไปในพรรค เพื่อตัดปัญหาเสีย
หลงป้าเทียนเตรียมตัวพูดเปิดงานอยู่ครึ่งค่อนวัน ตอนนี้ไม่เพียงไม่มีโอกาสให้พูด แต่ทันทีที่เผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เขายังหน้าดำหน้าแดงเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของฉินเฟิงอีกต่างหาก เขาอับอายจนโกรธ ชี้ไปที่ขวานในมือฉินเฟิง “มิใช่ว่าเจ้าเองก็กำลังถืออาวุธสังหารอยู่รึ? เช่นนั้น ก็ควรจะตัดมือเจ้าด้วยเช่นกัน?”
ฉินเฟิงยักไหล่ โบกขวานไปมาต่อหน้าหลงป้าเทียน “นี่คือขวานสำหรับผ่าฟืน หากขวานถือเป็นอาวุธสังหาร แล้วมีดหั่นผักกับกรรไกรมินับเป็นอาวุธสังหารด้วยหรือ? หากใช่ เกรงว่าจากนี้ไปทุกคนคงไม่ต้องทำอาหารกันแล้ว”
ใจหลงป้าเทียนมีไฟลุกโชนขึ้น แต่กลับไม่สามารถหาเรื่องจับผิดฉินเฟิงได้ จึงจำใจล้มเลิก และเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ในเมื่อมันเป็นขวานสำหรับผ่าฟืน เช่นนั้น เจ้าก็ควรจับไว้ให้มั่น ถ้าหากไปผ่าโดนใครเข้า มันก็นับเป็นอาวุธสังหารเช่นกัน!”
สำหรับ ‘คำเตือนด้วยเจตนาดี’ ของหลงป้าเทียน ฉินเฟิงย่อมยอมรับด้วยความเต็มใจ เขาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่ผ่าเจ้าแน่นอน แต่หากศีรษะของเจ้าพุ่งเข้ามาชนหัวขวานเอง เช่นนั้นก็อย่าได้มาโทษข้าเชียว “
ฉินเฟิงมีสีหน้าไร้เดียงสา แต่คำพูดคำจากลับทำให้แผ่นหลังหลงป้าเทียนเย็นวูบวาบได้
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกับหลงป้าเทียนกำลังเจรจา ไม่ได้ต่อสู้กัน ฉินเสี่ยวฝูก็รีบย้ายเก้าอี้เข้ามาอย่างมีไหวพริบ “นายน้อย ท่านนั่งลงแล้วพูดเถอะขอรับ”
ก่อนจะนั่งลง นายน้อยฉินก็ดึงเก้าอี้ไปข้างหน้า จนเข่าของเขาเกือบจะแตะกับเข่าของหลงป้าเทียน
ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันในระยะประชิด คนหนึ่งคือนายน้อยที่มือยกของไม่ได้ ไหล่หาบของไม่ไหว ส่วนอีกคนคือหัวหน้าพรรคที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยชิน เมื่อจ้องตากันได้ครู่หนึ่ง หลงป้าเทียนก็เป็นฝ่ายตื่นตระหนก และหลบเลี่ยงสายตาของฉินเฟิงไปโดยไม่รู้ตัว
ฉินเฟิงยื่นขวานให้ฉินเสี่ยวฝู แล้วหยิบลูกคิดทองคำออกมาจากในอกเสื้อ ชายหนุ่มใช้นิ้วชีแตะน้ำลายที่ปลายลิ้นเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มดีดลูกคิดเสียงดังต๊อกแต๊ก ปากพึมพำเสียงเบา “หอสุราถูกทุบทิ้ง ช่างฝีมือถูกทุบตี ค่าจ้างแรงงาน และวัสดุต่าง ๆ คิดเป็นหนึ่งแสนตำลึงเงิน…”
ก่อนที่ฉินเฟิงจะคำนวณเสร็จ หลงป้าเทียนก็ขัดจังหวะ เขาตะโกนขึ้นว่า “ฉินเฟิง ให้มันน้อย ๆ หน่อย ผู้อื่นอาจกลัวเจ้า แต่ข้าไม่กลัว! ไม่ต้องพูดถึงแสนตำลึงเงินหรอก แม้แต่หนึ่งตำลึงเงินข้าก็ไม่ให้”
เมื่อเห็นว่าหลงป้าเทียนแข็งกร้าว ฉินเฟิงก็ไม่บังคับฝืนใจ เขาวางลูกคิดลง ยิ้มกว้างแล้วมองไปที่หัวหน้าพรรคพยัคฆ์มังกร
หลงป้าเทียนโดนจ้องจนขนลุกชัน เขาทำได้เพียงกัดฟันอย่างเข่นเขี้ยว อย่างไรก็ตาม การสั่งสอนฉินเฟิงก็เป็นงานที่จ้าวฉางฟู่และเกาซงสั่งการลงมา หากทำผิดพลาด ไม่ต้องพูดถึงการมีชื่อเสียงในเมืองหลวงเลย เกรงว่าพรุ่งนี้ ตำแหน่งหัวหน้าพรรคพยัคฆ์มังกรของหลงป้าเทียนก็คงได้ถูกถอดถอนแล้ว
ไม่นานหลังจากนั้น ฉินเสี่ยวฝูก็เดินมายืนข้างกายฉินเฟิงอีกครั้ง ก่อนจะกระซิบข้างหู แม้ว่าจะเป็นท่าทีการสื่อสารแบบลับ ๆ แต่เสียงของเขากลับดังจนทุกคนในที่นี้ได้ยินโดยทั่วกัน “นายน้อย คนที่เหลือล้อมพรรคพยัคฆ์มังกรไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ อย่าว่าแต่คนจากพรรคพยัคฆ์มังกรเลย แม้แต่แมลงวันก็บินออกไปไม่ได้ขอรับ”
สิ้นประโยคนั้น หลงป้าเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจ เขาเอ่ยอย่างประหม่า “สกุลฉิน ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะกล้าทำถึงเพียงนี้! ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ ในเมืองสำคัญของฮ่องเต้ หากเจ้ากล้าก่อเหตุฆาตกรรมบนท้องถนน ต่อให้ท่านผู้พิพากษาปล่อยเจ้าไป หน่วยลาดตระเวนย่อมไม่ปล่อย แต่หากพวกเขาปล่อย กฎหมายต้าเหลียงก็จะไม่ปล่อยเจ้า!”
ประโยคเหล่านั้นร่ายออกมาเป็นชุด
เมื่อเห็นการอ้างถึงกฎหมายของหลงป้าเทียน ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ตอนที่ทุบหอสุราของข้า มิใช่ว่าเจ้าโอหังมากหรอกหรือ? ไยตอนนี้กลับมาพูดเรื่องกฎหมายแล้วเล่า?”
“ก่อเหตุฆาตกรรมกลางถนน? เหอะ ๆ อย่าเข้าใจข้าผิดไป วันนี้ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อทะเลาะวิวาท หรือใช้ความรุนแรงข่มขู่ ทว่ามาเพื่อปราบปรามอาชญากรรม และกำจัดความชั่วร้าย ข้าเป็นตัวแทนที่สวรรค์ส่งมาทวงความยุติธรรม อย่างที่เจ้าว่า สถานที่แห่งนี้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ แต่กลับถูกยึดครองโดยก๊กพรรค ถือเป็นภัยอันตรายรูปแบบหนึ่ง ในฐานะราษฎรที่ปฏิบัติตามกฎหมายของเมืองหลวง ข้าจะยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นภายใต้สายพระเนตรของฝ่าบาทได้อย่างไร?”
“เจ้ากรมเมืองและหน่วยลาดตระเวนอาจไม่สนใจพรรคพยัคฆ์มังกร แต่ข้าฉินเฟิงสนใจ! มิใช่ว่าเจ้าชอบพูดถึงกฎหมายหรอกหรือ? ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ให้เจ้ายื่นเรื่องร้องเรียน เจ้าทำเช่นนั้นเถอะ เราจะได้มาหารือเรื่องนี้กันหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท”
สีหน้าของหลงป้าเทียนซีดเผือด ท้ายที่สุด การดำรงอยู่ของพรรคพยัคฆ์มังกรก็ไม่เคยอยู่ในแสงสว่าง แม้ศาลต้าหลี่และกองลาดตระเวนจะเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่ง เพราะเห็นแก่หน้าเกาซงมาโดยตลอด แต่หากเรื่องนี้รู้ถึงพระเนตรพระกรรณฝ่าบาท ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับพรรคพยัคฆ์มังกรล้วนไม่อาจหลุดพ้น ทั้งหมดต้องติดร่างแหไปตาม ๆ กัน
หลงป้าเทียนทั้งโมโห และหวาดกลัว มากไปกว่านั้นคือเขาทำอะไรไม่ถูก
ตอนแรกกะจะเล่นเป็นนักเลงหัวไม้ แต่เมื่อมองไปยังฝูงชนมืดฟ้ามัวดินรอบกายฉินเฟิง ก็รู้แล้วว่าคงไม่อาจทำอะไรนายน้อยฉินได้ ครั้นจะอ้างกฎหมายก็ถูกฉินเฟิงดักทางจนหมดท่า
หลงป้าเทียนรู้สึกว่าประสบการณ์เหี้ยมโหดที่สั่งสมมากว่าสิบปีนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินเฟิง
ทันใดนั้น ฉินเฟิงก็แสร้งทำทีพูดคุยกับฉินเสี่ยวฝู รอยยิ้มชั่วร้ายผุดอยู่ที่มุมปาก “พรรคพยัคฆ์มังกร? ชื่อนี้ฟังดูหยิ่งยโสนัก ข้าได้ยินมาว่าในชนบทก็มีพวกโจรป่าในหุบเขาใช้ชื่อจำพวก ‘มังกร’ ไม่คิดว่าในสถานที่สำคัญอย่างเมืองหลวงจะมีคนกล้าตั้งชื่อเช่นนี้ด้วย”
“ฝ่าบาทเป็นมังกรในหมู่มนุษย์ที่ประทับอยู่ในพระราชวัง ส่วนพรรคพยัคฆ์มังกรกลับปักหลักในเมืองหลวงเพียงแต่อยู่ด้านนอกเขตพระราชวังเท่านั้น หรือพรรคนี้กำลังวางแผนที่จะ… เข้ามาแทนที่?”
หลงป้าเทียนแทบจะตกใจตายเพราะคำพูดเหล่านั้น สีหน้าเขาซีดขาวราวกับกระดาษ
ลูกน้องที่อยู่รอบ ๆ ก็ตัวสั่นเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ล้วนไม่มีใครคิดหยุมหยิมเกี่ยวกับชื่อของพรรคพยัคฆ์มังกร แต่หากเริ่มเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาแล้ว ย่อมกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
หลงป้าเทียนชี้ไปที่ฉินเฟิง และเอ่ยตะกุกตะกัก “เจ้า… เจ้ามันวายร้ายแปลงสาร!”
ฉินเฟิงผายมือออก ทำหน้าตาใสซื่อ “ข้าแค่คุยเล่นกับบ่าวรับใช้ เจ้าตื่นตระหนกกระไรกัน?”
ฉินเฟิงเมินหลงป้าเทียน กล่าวกับฉินเสี่ยวฝูต่อไปว่า “จริง ๆ ชื่อพรรคพยัคฆ์มังกรนั้นไม่นับเป็นอันใด เมื่อเทียบกับนามหลงป้าเทียน เจ้าลองคิดดูซี่ ฝ่าบาทเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์ ทั้งยังเป็นโอรสสวรรค์ แต่ชื่อหลงป้าเทียนเล่า แม้เด็กสามขวบก็ยังเข้าใจว่าความหมายคือ ‘มังกรที่สามารถครองโลก’ หากครองโลกได้… ก็ไม่ต่างอะไรจากการอยู่เหนือสวรรค์ แม้แต่ฝ่าบาทยังเป็นแค่โอรสสวรรค์ เช่นนั้นหัวหน้าพรรคของเราก็อยู่เหนือฟ้าจริง ๆ มิใช่ว่า…”
ก่อนที่ฉินเฟิงจะพูดจบ หลงป้าเทียนที่แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ก็ร้องขัดจังหวะขึ้น “เจ้าหยุดเถอะ! ข้าจะจ่ายเงินค่าทำลายหอสุราให้!”
ไม่ต้องพูดถึงเหล่าลูกน้องของพรรคพยัคฆ์มังกร แม้แต่ผู้คุ้มกันรอบกายฉินเฟิงก็ยังตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เมื่อเห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า
ปรากฏว่าในโลกนี้มี ‘ลิ้นสามนิ้วไม่พูดพล่อย’*[2] อยู่จริง ๆ ไม่น่าเชื่อว่าฉินเฟิงจะทำให้อันธพาลแห่งเมืองหลวงร้องไห้กระซิก ๆ ได้เพียงเพราะคำพูดฟั่นเฟือน
ฉินเสี่ยวฝูก้มลงหมอบกราบผู้เป็นนายด้วยความนับถืออย่างสุดซึ้ง ดวงตาเขาเป็นประกายระยิบระยับ “นายน้อย ฝีปากของท่านสุดยอดไปเลยขอรับ! เพื่อจัดการกับพรรคพยัคฆ์มังกรอะไรนี่ ท่านยังต้องพาพวกเรามาที่นี่ด้วยหรือ? แค่ฝีปากของท่านก็จัดการได้หมดแล้ว!”
[1] ตีกลองส่งดอกไม้ : เป็นการละเล่นพื้นบ้านของประเทศจีน โดยจะตีกลองเป็นจังหวะในขณะที่ส่งต่อดอกไม้
[2] ลิ้นสามนิ้วไม่พูดพล่อย :สำนวน ‘ลิ้นสามนิ้ว’ ใช้ยกย่องผู้มีความสามารถเชิงวาทศิลป์ หรือผู้ที่มีฝีปากเป็นเลิศ ดังนั้น ‘ลิ้นสามนิ้วไม่พูดพล่อย’ หมายถึง ผู้มีวาทศิลป์ย่อมไม่พูดโดยไม่ตริตรองก่อน
MANGA DISCUSSION