บทที่ 73 ปราบอธรรมกำจัดความชั่วร้าย
เกาซงที่อยู่ด้านข้างเองก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าเช่นกัน
พรรคพยัคฆ์มังกรสามารถยืนหยัดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของโอรสสวรรค์ได้ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากภูมิหลังของเกาซง และตัวพรรคเองไม่ถูกอำนาจใด ๆ คุกคาม ด้วยจำนวนคนในพรรคเล็กน้อยเพียงสี่สิบห้าสิบคน ศาลต้าหลี่หรือหน่วยลาดตระเวนล้วนเปิดตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งได้
แต่ฉินเฟิงพาผู้คนมากมายมาในอึดใจเดียว หากคนทั้งหมดถ่มน้ำลายพร้อมกัน พรรคพยัคฆ์มังกรคงสามารถจมน้ำตายได้!
นอกจากนี้แผนของเกาซงคือการใช้ความผิดข้อหา ‘ทะเลาะวิวาท’ เพื่อขัดขานายน้อยฉิน แต่ฉินเฟิงกลับพาคนมามากมาย เช่นนี้จะยังเป็นการทะเลาะวิวาทได้อย่างไร? นี่มันการก่อกบฏชัด ๆ!
หากเรื่องนี้รู้ถึงพระกรรณฝ่าบาทจะต้องสอบสวนสาเหตุอย่างละเอียดแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นเกาซงคงจะรับผลที่ตามมาไม่ไหวเป็นแน่
เกาซงกลืนน้ำลาย ไม่กล้าชักช้า เขารีบหันไปตะโกนบอกบ่าวรับใช้ “เร็วเข้า! รีบไปแจ้งหน่วยลาดตระเวน! เจ้าสารเลวฉินเฟิงอยากได้อาหารเช้า รีบไปเร่งให้เถียตั่นโหวนำกองทัพมากำราบมัน!”
จ้าวฉางฟู่ปาดเหงื่อเย็น ๆ จากหน้าผาก หันไปมองเกาซงแล้วพูดอย่างกังวล “ข้าว่าแล้วอย่างไรเล่า? ฉินเฟิงไม่เคยออกไพ่ตามสามัญสำนึก นายน้อยเกาได้เตรียมแผนสำรองไว้หรือไม่?”
แผนสำรอง? เกาซงแทบจะหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
การจะเตรียมพร้อมสำหรับแผนสำรอง จำต้องเข้าใจความคิดของฉินเฟิงก่อนแล้วจึงจะกำหนดวิธีตอบโต้ได้
แต่เจ้าสารเลวฉินเฟิงไม่ใช่คนปกติเลย แม้แต่แผนแรกที่เตรียมไว้ก็เละเทะไม่เป็นท่าแล้ว นับประสาอะไรกับแผนสำรองเล่า?
ตอนนี้เขาทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับเถียตั่นโหวหรือจูเก๋อเซวียน ให้นำหน่วยลาดตระเวนมาปราบปรามฉินเฟิงโดยเร็วที่สุดเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเกรงว่าเรื่องนี้จะลุกลามถึงจุดที่ไม่สามารถยุติได้แล้ว
จ้าวฉางฟู่กับเกาซงร้อนรนราวกับมดบนกระทะ พวกเขานั่งรออย่างกระสับกระส่าย
ขณะเดียวกันฉินเฟิงได้นำคนหลายร้อยคนพุ่งตรงมายังพรรคพยัคฆ์มังกร
ฉินเฟิงนึกถึงภาพลักษณ์ของ ‘กู๋หว่าไจ๋’*[1] ในภาพยนตร์ขึ้นมา เขาสาวเท้าอย่างเชื่องช้า ทำท่าทำทางราวกับ ‘เมืองหลวงจะวุ่นวายหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตระกูลฉิน’ พลันเขาตะโกนอย่างไม่เกรงกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ “ทุกคนตะโกนพร้อมข้า ปราบปรามอาชญากรรม กำจัดความชั่วร้าย ปกป้องบ้านเมืองและราษฎร!”
คนหลายร้อยคนตะโกนพร้อมกัน “ปราบปรามอาชญากรรม กำจัดความชั่วร้าย ปกป้องบ้านเมืองและราษฎร!”
วลีดังกล่าวดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนให้เข้ามาร่วมสนุก ถนนที่แออัดอยู่แล้วจึงแทบจะเบียดเสียดเสียจนน้ำหยดเดียวก็ไหลผ่านไม่ได้
คนกินแตงบางกลุ่มที่ไม่รู้ความจริง อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อได้ยินวลีนี้
“หรือว่าในที่สุดหน่วยลาดตระเวนก็ตัดสินใจลงมีดกับพรรคพยัคฆ์มังกรแล้ว? ดียิ่งนัก! พรรคพยัคฆ์มังกรอาศัยความสัมพันธ์กับมหาเสนาเกาหากิน วันปกติธรรมดามักใช้อำนาจบาตรใหญ่ทั้งยังกำเริบเสิบสาน ในที่สุดวันนี้พวกมันก็ได้รับผลกรรม!”
“พรรคพยัคฆ์มังกรสมควรตาย พวกเขาเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านตาดำ ๆ น้อยเสียเมื่อไหร่? ในที่สุดวันนี้พวกมันก็จะถูกกำจัด น่าดีใจยิ่งนัก!”
“ประหลาดจริง ที่นี่คนเยอะถึงเพียงนี้ เหตุใดไม่มีคนแต่งเครื่องแบบทางการเลยเล่า? พวกเขามิใช่คนวิ่งม้าจากหน่วยลาดตระเวนหรอกหรือ?”
“เดี๋ยวก่อนนะ พวกเจ้าดูสิ! คนที่เป็นผู้นำ… ดูเหมือนจะเป็นนายน้อยตระกูลฉิน ฉินเฟิง?!”
“อะไรนะ? ฉินเฟิง? จริงด้วย! เหตุใดเจ้าหมอนี่ถึงไปพัวพันกับพรรคพยัคฆ์มังกรได้?”
“ฮ่า ๆ จะสนใจอะไรมากมายเล่า? พรรคพยัคฆ์มังกรและฉินเฟิงต่างก็เป็นหนึ่งในสี่จอมวายร้ายแห่งเมืองหลวง สุนัขกัดกันปากย่อมเต็มไปด้วยขน สิ่งที่เราต้องทำคือชมการแสดงก็เป็นพอ”
ฝูงชนที่กินแตงรวมตัวกันอยู่รอบ ๆ พวกเขาแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ บางคนสนับสนุนฉินเฟิง ในขณะที่บางคนดูถูก ท้ายที่สุดสำหรับชาวบ้านในเมืองหลวงแล้ว ชื่อเสียงนายน้อยเสเพลของฉินเฟิงก็ไม่ได้ดีไปกว่าชื่อเสียงของพรรคพยัคฆ์มังกรนัก
โชคดีที่…
ฉินเฟิงไม่สนใจคำนินทาต่อตัวเขาเลย ไม่ว่าฝูงชนที่กินแตงเหล่านี้จะมีความคิดเห็นเช่นไร ตราบใดที่พวกเขามาร่วมสนุกได้ ก็เท่ากับกลายเป็นเบี้ยของฉินเฟิงอยู่ดี เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้พรรคพยัคฆ์มังกรไม่เข้าใจสถานการณ์ก็คงตกใจตายได้อยู่ดี!
ในเวลานี้ พรรคพยัคฆ์มังกรมารวมตัวกันอย่างพร้อมเพียงแล้ว สมาชิกสี่สิบห้าสิบคนยืนเรียงกันอยู่ด้านนอกประตูพรรค บางคนถือท่อนไม้ บางคนถือสากเหล็ก แต่ละคนดูดุร้าย เพียงมองผ่านแวบหนึ่งก็รู้สึกได้ถึงพลังอันรุนแรง ด้วยท่าทางข่มขวัญถึงขีดสุด
หลงป้าเทียนอายุสามสิบปี มีศีรษะพยัคฆ์ นัยน์ตากลม และร่างกายสูงใหญ่ เขานั่งอยู่ที่ประตูพรรค มือถือมีดเก้าห่วง ดูร้ายกาจเป็นอย่างมาก
ผู้คนที่ผ่านไปมา ไม่มีความกล้าแม้แต่จะมอง บางคราที่มือปราบผ่านมาทางนี้ เมื่อเห็นหลงป้าเทียนเขาก็รีบเดินอ้อมไปเช่นกัน เนื่องจากไม่อยากยั่วยุตระกูลเกาที่อยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย
ในเมืองหลวงแห่งนี้หากโยนอิฐออกไปหนึ่งก้อน คนที่ถูกทุบตายเก้าในสิบล้วนเป็นขุนนางซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง การที่หลงป้าเทียนซึ่งเกิดในชนชั้นรากหญ้ามีผลงานอย่างในปัจจุบันได้ นับว่าเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลแล้ว สีหน้าของเขาแสดงถึงความถือดีเป็นอย่างมาก
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวประจบสอพลออย่างถูกจุดว่า “แม้กระทั่งมือปราบยังต้องเดินอ้อมเพื่อท่านหัวหน้าพรรค เห็นทีในเมืองหลวงแห่งนี้ หัวหน้าพรรคนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่โดยแท้ พวกเด็ก ๆ ทุบหอสุรากันแล้ว ผ่านมานานมากถึงเพียงนี้ ไฉนฉินเฟิงยังไม่ปรากฏตัว เกรงว่าเขาคงจะกลัวชื่อเสียงของท่านจนไม่มีความกล้ามาสร้างปัญหา”
สิ่งที่คนพื้นเพระดับรากหญ้าไม่สามารถต้านทานได้มากที่สุดคือกระสุนเคลือบน้ำตาล แม้แต่หลงป้าเทียนเองก็ไม่มีข้อแม้ เมื่อถูกชม ตัวของเขาแทบจะลอยขึ้นฟ้า เขาแสยะยิ้มและลูบเครา
“ฉินเฟิงรู้ความก็แล้วไป แต่ถ้าหากเขากล้ามาจริง ๆ หัวหน้าพรรคอย่างข้าก็จะถอดแขนมันออกหนึ่งข้าง! ถ้ามันไม่ยอมแพ้ ข้าก็จะเอาขาของมันออกอีกหนึ่งข้าง บุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมแล้วอย่างไร? ในเมืองหลวงนี้ใครบ้างไม่ได้มีเบื้องหลัง?”
สิ้นประโยคนั้น สายตาของลูกน้องที่อยู่รอบตัวเขาก็เปล่งประกายสดใส รู้สึกว่าเลือดกำลังเดือดพล่าน
ในอดีตพรรคพยัคฆ์มังกรเคยขัดแย้งกับลูกหลานขุนนางและชาวบ้านในเมืองหลวง ทว่าส่วนใหญ่อีกฝ่ายล้วนมีภูมิหลังเป็นขุนนางขั้นเล็ก ๆ แต่ฉินเฟิงแตกต่างออกไป เขาเป็นบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม พื้นเพครอบครัวมีตำแหน่งที่สูงที่สุดในชนชั้นขุนนาง
ยิ่งกว่านั้น แม้แต่หย่งอันโหวและกรมคลังล้วนต้องเสียเปรียบเจ้าหมอนั่น เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับนี้ ความกังวลใด ๆ กลับไม่ได้อยู่ในสายตาหัวหน้าพรรคเลย ลูกน้องรอบตัวจึงอดไม่ได้ที่จะมีขวัญกำลังใจขึ้นมา พวกเขาประจบเอาใจประเคนไข่มุกและมรกตไม่หยุดหย่อน
“มีหัวหน้าคอยบัญชาการ พวกข้าน้อยต่างก็รู้สึกมั่นใจ”
“พูดได้ดี! บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมแล้วอย่างไรเล่า? หัวหน้าเป็นคนสำคัญที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์ชายรองเชียวนะ!”
“คำพูดนี้ไม่ถูกต้อง! มีข่าวลือในเมืองหลวงว่าฉินเฟิงได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ในเมื่อลูกพี่ของเราไม่เห็นฉินเฟิงอยู่ในสายตา ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาก็มีฝ่าบาทสนับสนุนด้วย!”
ความคิดของลูกสมุนเหล่านี้เรียบง่ายมาก พวกเขารู้ว่าภูมิหลังของหลงป้าเทียนคือเกาซง เกาซงเป็นบุตรชายของมหาเสนาเกา มหาเสนาเกามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายรอง และเบื้องหลังองค์ชายรองคือฝ่าบาท หากพูดอ้อม ๆ ก็เท่ากับว่าหลงป้าเทียนมีเบื้องหลังเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
เมื่อฟังคำเยินยอจากลูกสมุนรอบตัว หลงป้าเทียนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาหลงเชื่อคำสอพลอโดยไม่รู้ตัว ราวกับคิดจริง ๆ ว่าเขาเป็นคนโหดเหี้ยมแห่งเมืองหลวงที่สามารถเข้าถึงสวรรค์ได้ หัวหน้าพรรคพยัคฆ์มังกรแยกเขี้ยวยิ้มกว้าง ท่าทางโอหังยิ่ง
“ทุกคนฟังข้าให้ดี เมื่อฉินเฟิงมาถึง พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า หากข้าไม่ให้ลงมือก็จงยืนอยู่เฉย ๆ จนกว่าข้าจะออกคำสั่ง รอเจ้าสารเลวฉินเฟิงเข้ามารนหาที่ตายก่อนเถอะ ข้าจะจับขังแล้วตีให้มันพิการ หากตายแล้วก็จะฝังมันเสีย ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาหัวหน้าพรรคอย่างข้าก็จะค้ำเอาไว้!”
บรรดาลูกสมุนเลือดเดือดพล่าน สายตาที่ใช้มองหลงป้าเทียนเต็มไปด้วยความชื่นชมอย่างแรงกล้า อดที่จะคันไม้คันมือและกระตือรือร้นขึ้นมาไม่ได้
ทันใดนั้น จู่ ๆ ลูกสมุนที่เฝ้าดูต้นทางก็เดินโซซัดโซเซเข้ามา “หัวหน้า ฉินเฟิงมาแล้ว!”
[1] กู๋หว่าไจ๋ : เป็นคำเรียกกลุ่มเด็กอันธพาลในภาพยนตร์สัญชาติฮ่องกงเรื่อง Young and Dangerous (古惑仔)
MANGA DISCUSSION