บทที่ 65 เซียนเหาะขึ้นฟ้า
ฉินเฟิงแซงหน้าหนิงหู่ได้ในชั่วพริบตา เสียงตะโกนของเขากังวานทั่วทั้งจวนจี้อ๋อง “เซียนเหาะขึ้นฟ้า!”
ขุนนางทุกคนที่มีความเกี่ยวข้องกับฝ่าย ‘ต่อต้านสงคราม’ สีหน้าย่ำแย่ไปตาม ๆ กัน …อีกครั้ง
หนิงหู่มองดูฉินเฟิงกำลัง ‘บิน’ ผ่านไปด้วยสายตาที่ทั้งกลัวทั้งโกรธ หลังจากรอให้บุตรชายปีนขึ้นไปบนยอดหอคอย เสนาบดีกรมกลาโหมก็เห็นฉินเฟิงยืนอยู่บนยอดหอคอยด้วยเท้าข้างเดียว ส่วนเท้าอีกข้างกลับยกค้างอยู่กลางอากาศ เห็นได้ชัดว่าจงใจยืดเวลา พอเห็นร่างของหนิงหู่ถึงยอดหอคอยแล้วครึ่งหนึ่ง นายน้อยฉินถึงค่อย ๆ วางเท้าซ้ายลงแล้วยกธงขึ้น
ชายหนุ่มให้ความหวังที่ไม่มีทางเป็นจริงแก่ท่านโหวน้อย จากนั้นก็ขยี้เขาให้ตายทันที!
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เคยเห็นคนเลว แต่ไม่เคยเห็นใครเลวร้ายชั่วช้าเท่าฉินเฟิงมาก่อน นางสับสนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าจะควรโกรธ รังเกียจ หรือกลัวดี…
หนิงหู่มองไปยังธงที่ฉินเฟิงจับไว้แน่นในมือ ดวงตาของเขามึนงงอยู่สักพัก นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเขาที่จะล้มฉินเฟิงได้ แต่ชัยชนะที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมกลับถูกอีกฝ่ายแย่งไปอย่างง่ายดาย ความไม่เต็มใจในอกหนิงหู่เปลี่ยนเป็นความโกรธแค้น ท่านโหวน้อยเหลือบมองไปยังด้านล่างของหอคอย พลันดวงตาฉายแววดุร้ายอย่างปิดไม่มิด
“ฉินเฟิง ข้าจะฆ่าเจ้า! คนนอกคอกเช่นเจ้าไม่ควรอยู่ในเมืองหลวง ข้าจะกำจัดภัยอันตรายให้กับบุตรหลานขุนนางในเมืองหลวงเอง!”
เมื่อมองดูท่าทางเหมือนคนบ้าและสีหน้าบิดเบี้ยวของหนิงหู่ นายน้อยฉินไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแค่ขู่เล่น ๆ ถ้าผู้ชายคนนี้เอาจริงขึ้นมา แค่กระชากเชือกบนตัวเขาออก แล้วผลักให้ตกลงไปง่าย ๆ ฉินเฟิงก็ตายโดยไม่ทันจะอ้าปากพูดแล้ว!
เมื่อเผชิญหน้ากับท่านโหวน้อยที่โกรธจนแทบไร้สติ ฉินเฟิงก็แสร้งทำเป็นสงบแล้วฝืนยิ้ม “จะฆ่ากันต่อหน้าฮ่องเต้และขุนนางบุ๋นบู๊เชียวหรือ? ตระกูลหนิงมีศีรษะให้ตัดกี่ศีรษะเล่า ท่านโหวน้อยข้าขอแนะนำท่านสักหนึ่งประโยค ความหุนหันพลันแล่นเป็นมารร้าย หนุ่มสาวไม่ควรก้าวเท้ายาวเกินไป*[1] ไม่เช่นนั้น เดี๋ยวขาจะฉีกเอาได้”
หนิงหู่กำหมัดแน่น ตอนนี้เพียงพุ่งไปข้างหน้าเขาก็สามารถสังหารนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้ได้แล้ว แต่ท้ายที่สุดเหตุผลก็อยู่เหนือกว่าอารมณ์ เป็นจริงดังที่ฉินเฟิงกล่าว หากเขาลงมือกับอีกฝ่ายที่นี่ ทั้งตระกูลหนิงต้องถูกฝังไปพร้อมกับฉินเฟิงเป็นแน่ ย่อมไม่คุ้มที่จะแลก!
ดวงตาเคร่งขรึมของฉินเฟิงวูบวาบ ก่อนจะเปลี่ยนท่าทางเป็นมั่นหน้าและภาคภูมิใจ ฉินเฟิงชอบท่าทางอัดอั้นตันใจของหนิงหู่ ที่กำลังรู้ขัดหูขัดตาแต่กลับไม่อาจทำอะไรเขาได้จริง ๆ
การประลองสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว แต่บรรยากาศในจวนจี้อ๋องกลับตึงเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายต่อต้านสงครามพลาดโอกาสทองที่จะโค่นฉินเฟิง สีหน้าของพวกเขาหดหู่อย่างเห็นได้ชัด
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังยังคงไม่ยอมแพ้ กดเสียงลง “ใต้เท้าหลี่ พวกเรายังมีโอกาส! ครั้งนี้ฉินเฟิงยังคงเล่นตุกติก ตราบใดที่…”
ก่อนที่ผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังจะพูดจบ เสนาบดีกรมคลังก็โบกมือขัดจังหวะ และฝืนยกยิ้ม “ถ้าเรายังพัวพันกับเรื่องนี้ต่อไป เกรงว่าพวกจะไม่ได้มีปัญหากับฉินเฟิง แต่เป็นฮ่องเต้แล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าขุนนางกรมคลังที่อยู่รอบ ๆ ก็เงียบเสียงลง
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเกษมสำราญเป็นอย่างยิ่ง ชัยชนะของฉินเฟิง หมายถึงการยืนยันเรื่องการทำศึกกับเป่ยตี๋ คิดไม่ถึงว่าเรื่องยุ่งยากที่หารือมาอย่างยาวนานในราชสำนักจะได้รับการแก้ไขโดยนายน้อยฉินด้วยวิธีนี้
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเหลือบมองบรรดาขุนนาง “การประลองจบแล้ว ฉินเฟิงเป็นผู้ชนะ พวกเจ้ามีข้อโต้แย้งใดหรือไม่?”
เหล่าขุนนางมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง แม้แต่กรมคลังก็ยังนิ่งเงียบ ดังนั้นขุนนางคนอื่น ๆ ย่อมไม่อยากออกหน้า ขณะที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังจะประกาศผลการประลองอย่างเป็นทางการ เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้น
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมไม่ยอม!”
ทุกสายตาจับจ้องไปบนร่างของหนิงชิงเฉวียนทันที
ความไม่พอใจฉายชัดในสายพระเนตรฮ่องเต้ อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาทไม่ใช่คนไร้เหตุผล ในเมื่อมีคนคัดค้าน ก็ต้องเจรจาหารือ “ฉินเฟิงเป็นคนแรกที่ขึ้นไปถึงยอดหอคอยและยึดธง หากมีตาย่อมมองเห็น หย่งอันโหวมีข้อโต้แย้งอะไรหรือ?”
หนิงชิงเฉวียนไม่เพียงแต่เป็นผู้นำฝ่ายต่อต้านสงครามที่เสียหน้าเท่านั้น แต่วันนี้ตระกูลของเขายังได้รับความอับอายเหลือล้น หากก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ อย่าว่าแต่อนาคตของหย่งอันโหวที่จะดิ่งลงเหวเลย หนิงหู่เองก็ไม่รู้ว่าจะสืบทอดฐานะของบิดาได้หรือไม่ ก็เป็นปัญหา!
เพื่อประโยชน์ของตระกูลหนิง หนิงชิงเฉวียนเสี่ยงชีวิตพูดออกไปอย่างยากลำบาก “ฉินเฟิงแค่เก่งเรื่องการฉวยโอกาสเท่านั้น ด้วยวิธีการของเขา ต่อให้เอาเด็กอายุสามขวบมาแข่งก็ชนะได้!”
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ขุนนางฝ่ายกรมคลังก็เริ่มเอ่ยวิพากษ์วิจารณ์
“ฉินเฟิงชนะแล้ว แต่เรื่องที่ว่าเขาฉวยโอกาสก็เป็นความจริงเช่นกัน หากให้นายน้อยฉินชนะก็ไม่ต่างอะไรกับการช่วยเขาหาผลประโยชน์ ภายภาคหน้าหากใคร ๆ ก็ทำเช่นนี้ จะมีใครตั้งใจกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยใจจริงอีกเล่า?”
“คำกล่าวนี้ไม่ผิด! ผู้ที่ทุ่มเทพ่ายแพ้ แต่ผู้ฉวยโอกาสกลับเป็นผู้ชนะ ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ทั่วใต้หล้าจะไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่างหรอกหรือ!”
ขณะที่บรรดาขุนนางกรมคลังกล่าววาจาเกินจริง เสียงวิพากษ์วิจารณ์รอบ ๆ ก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ เป็นผลให้ แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ไม่สามารถแทรกแซงได้
ขณะเดียวกันฉินเทียนหู่ก็ตะโกนขึ้นอย่างเย็นชา “พวกท่านแพ้แล้วไม่ยอมรับงั้นหรือ? ต่อให้บุตรชายข้าฉวยโอกาสหาประโยชน์เข้าตัวเองแล้วจะทำไม? ก่อนการประลอง ทุกท่านต่างก็รู้ดีว่าฉินเฟิงใช้ปัญญาแข่งขันกับหนิงหู่แต่กลับไม่เอ่ยคัดค้าน พอการประลองสิ้นสุดลงก็มากล่าวหากัน ทั้งหมดเป็นเพราะพวกท่านไม่อยากเสียพนัน หรือว่ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงกันเล่า?”
การปรากฏตัวของฉินเทียนหู่ทำให้อารมณ์คุกรุ่นในที่เกิดเหตุรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขุนนางที่สนับสนุนเสนาบดีกรมกลาโหมต่างก็ยืนขึ้นตะโกนเสียงดัง
“พนันแพ้แล้วไม่ยอมรับผลรึ? ช่างเป็นขุนนางผู้ประเสริฐจริง ๆ นี่น่ะหรือเสาหลักของแคว้น พวกท่านไม่กลัวทั้งใต้หล้าหัวเราะเยาะหรือ”
ขุนนางสองขั้วทะเลาะกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมถอย การประลองเพื่อความสนุกสนานกลายเป็นการต่อสู้ของขุนนางในราชสำนักไปโดยปริยาย
เมื่อเห็นบรรดาขุนนางใหญ่ทะเลาะกันจนใบหน้าแดงก่ำ บางคนถึงขนาดตะโกนใส่กัน ดวงตาของฉินเฟิงก็สว่างขึ้น ฉากแบบนี้ไม่ได้เห็นได้บ่อยนัก เขาจึงรีบขยับม้านั่งตัวเล็กแล้วเอื้อมมือคว้าเมล็ดทานตะวันมาหนึ่งกำ แกะกินพลางรับชมเรื่องสนุกอย่างออกรส
ในตอนที่ไม่มีใครยอมใครนั้นเอง เสียงตะโกนของหนิงชิงเฉวียนก็ดังไปทั่วลาน “ทะเลาะกันต่อไปก็ไร้ความหมาย! ไม่สู้ให้จี้อ๋องเป็นผู้ตัดสินดีกว่า”
ขุนนางกรมคลังสนับสนุนข้อเสนอของหนิงชิงเฉวียนอย่างเต็มที่
เพราะอย่างไรวันนี้ก็เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง แต่ฉินเฟิงกลับทำให้วันนี้วุ่นวายไปหมด เกรงว่าตอนนี้จี้อ๋องคงเกลียดนายน้อยฉินเข้ากระดูกไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจี้อ๋องจะไม่เอาความฉินเฟิง แต่ก็คงจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยกชามให้เท่ากัน ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เช่นนี้ โอกาสของหนิงหู่และฉินเฟิงก็จะอยู่ที่คนละครึ่ง ข้อได้เปรียบที่ว่าชายผู้เป็นคนโปรดของฮ่องเต้ก็จะถูกกำจัดไป!
ฉินเทียนหู่จะไม่รู้กลอุบายของหนิงชิงเฉวียนและคนอื่น ๆ ได้อย่างไร แต่หากยังฝืนทะเลาะกันต่อไป ก็เกรงว่าจะถกเถียงอย่างไม่มีสิ้นสุด เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ “ถ้าเช่นนั้นขอท่านอ๋องเฒ่าเห็นแก่สถานการณ์โดยรวมด้วย!”
จี้อ๋องที่วางตนอยู่นอกเรื่องไม่คิดมาก่อนว่า คนพวกนี้จะโยนกองไฟมาให้เขา ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ แต่ภายนอกทำได้เพียงฝืนยิ้ม “ในเมื่อทุกท่านเสนอให้อ๋องอย่างข้าตัดสิน ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ”
จี้อ๋องเดินไปหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ยกมือคำนับแล้วกล่าวอย่างไม่ถือตัว “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมออกจากราชสำนักมานานแล้ว ไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ เพียงแต่ต้องการความยุติธรรมถือถ้วยน้ำให้เท่ากันเท่านั้น”
อย่างไรเสีย จี้อ๋องก็เป็นผู้อาวุโสของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง พระองค์จึงตรัสตอบอย่างสุภาพเช่นกัน “เสด็จลุงโปรดตัดสิน”
ชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของทุกคนในที่เกิดเหตุแทบจะกระเด้งออกมาจากอก
MANGA DISCUSSION