บทที่ 63 การพนันเสรีดีหรือไม่?
ผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังที่อยู่ด้านข้างใบหน้าซีดเผือดไปเช่นกัน เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “สองพ่อลูกแซ่ฉินตัวดี! ฉินเฟิงหาประโยชน์ได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีตำแหน่งขุนนาง ทำตัวเป็นเด็กน้อยออกมายั่วยุผู้อื่น รอจนทุกคนถูกหลอก จากนั้นก็เรียกบิดาออกมาดุด่า ข้าอยู่ในราชสำนักมากว่าสิบปี คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะตกหลุมพลางอุบายไร้ยางอายเช่นนี้!”
ขุนนางทุกคนมีสติขึ้นมาแล้ว พวกเขาอยากจะฉีกทึ้งฉินเฟิงทั้งเป็นทันที
แม้ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะตรัสไว้ว่าวันนี้อนุญาตให้เล่นพนัน แต่ในฐานะขุนนางพวกเขาควรไตร่ตรองได้ตัวเองว่าอะไรควรไม่ควร ตอนนี้ขุนนางระดับสูงในราชสำนักต่างก็ลงพนันทั้งสิ้น ไอ้เรื่องอับอายและไม่เหมาะสมน่ะมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่น่ากลัวคือ ป่านนี้ฝ่าบาทคงจดชื่อพวกเขาลงสมุดเล่มเล็กรอวันคิดบัญชีแล้วกระมัง? ขุนนางในวันนี้คงไม่มีใครหนีความผิดพ้น
ทุกคนหันไปมองฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง พลันก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา เมื่อครู่ฝ่าบาทยังแย้มพระสรวลราวสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ไยยามนี้กลับดูมืดมนยิ่ง
คนอื่นอาจไม่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฉินเฟิง แต่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะเมินเฉยได้อย่างไร ตั้งแต่ฉินเฟิงโบกมือให้ฉินเทียนหู่ พระองค์ก็ตระหนักได้แล้วว่านายน้อยฉินกำลังจะทำเรื่องใหญ่ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตั้งใจจะใช้แผนของฉินเฟิงดูว่า ในบรรดาขุนนางระดับสูงในราชสำนัก มีใครใส่ใจความรุ่งเรือง หรือภัยของแคว้นต้าเหลียงอยู่บ้าง
แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขาผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าสุรเสียงของฮ่องเต้จะยังคงผ่อนคลาย ไม่มีนัยตำหนิ แต่พระพักตร์และพระเนตรกลับทำให้ขุนนางในบริเวณนั้นสั่นสะท้าน “ใต้เท้าฉิน เจิ้นบอกแล้วว่าวันนี้เป็นกรณีพิเศษ ไม่มีข้อห้าม เจ้าวางเดิมพันให้กับฉินเฟิงเถิด เจิ้นไม่โทษเจ้าหรอก”
ฉินเทียนหู่คุกเข่า น้ำตาแทบจะไหลออกมา “กระหม่อมเป็นขุนนางมายี่สิบกว่าปีแล้ว ไม่กล้าฝ่าฝืนเจตจำนงของฝ่าบาท แต่วันนี้แม้กระหม่อมต้องตายก็จะไม่เข้าร่วมการพนัน ในฐานะขุนนางเรื่องนี้เกินขีดจำกัดของกระหม่อม กรณีพิเศษในวันนี้อาจไม่ใช่เรื่องต้องห้ามสำหรับขุนนางคนอื่น ๆ แต่สำหรับกระหม่อมแล้วมิกล้าหละหลวมแม้เพียงนิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตะคอกอย่างเย็นชา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “ในเมื่อใต้เท้าฉินไม่เต็มใจจะทำตามประสงค์ของเจิ้น เจิ้นก็จะไม่บังคับเจ้า เจ้าหลบไปเสีย!”
หากวาจาดังกล่าวดังขึ้นก่อนหน้านี้ ทุกคนคงคิดว่าฮ่องเต้หมดความโปรดปรานในตัวฉินเทียนหู่ และกำลังจะผลักไสเขาไปยังตำหนักเย็น แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป คำพูดของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอาจดูเหมือนต้องการเอาผิด แต่นั่นเป็นการกล่าวชมเชย!
สายพระเนตรของฮ่องเต้กวาดมองขุนนางคนอื่น ๆ ทีละคน โดยเฉพาะขุนนางจากฝ่ายเสนาบดีกรมคลัง ทรงทอดพระเนตรอยู่นานที่สุด “ขุนนางทุกท่าน อย่าได้เสียอารมณ์เพราะคนบางคนเลย การพนันที่มีเจิ้นเป็นพยานในวันนี้ยังคงเป็นไปตามเดิม บางคนเป็นถึงขุนนางขั้นหนึ่ง เงินเดือนของเขาตกแสนตำลึงต่อปี ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด จึงไม่มีเหลือสักพันหรือสักแปดร้อยตำลึงเงิน!”
“แต่ดูทุกท่านสิ รู้จักประหยัดอดออม ในวันมงคลเช่นนี้ใช้เงินหลายหมื่นตำลึงเงินโดยไม่ต้องขมวดคิ้วด้วยซ้ำ แสดงว่าในวันปกติจะต้องประหยัดอย่างยิ่งเป็นแน่ ว่าราชกิจพรุ่งนี้เช้า ทุกท่านช่วยบอกวิธีอดออมให้เจิ้นฟังสักหน่อยได้หรือไม่ ว่าปกติแล้วออมเงินกันเช่นไร คนบางคนจะได้ศึกษาไว้บ้าง”
ไม่ต้องพูดถึงขุนนางขั้นสองขั้นสาม เพราะแม้แต่เสนาบดีกรมคลังและหนิงชิงเฉวียนก็ยังเหงื่อตก รู้สึกราวกับว่ากำลังนั่งอยู่บนเข็มหมุดก็ไม่ปาน
ขุนนางที่ลงพนันทุกคน ต่างก็อยากรุมทึ้งถลกหนังของฉินเฟิงออกมา
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ นายน้อยฉินก็กระโดดออกมาสุมไฟให้โหมกระพืออีกครั้ง ทำให้ขุนนางทุกคนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไปตาม ๆ กัน
ฉินเฟิงทำหน้าเฉยชา แต่แสร้งเอ่ยวาจามีน้ำใจ “ยามนี้เป่ยตี๋ประชิดประตูแล้ว แต่พระคลังกลับว่างเปล่า ถึงเวลาต้องเติมเต็ม หากวันนี้กระหม่อมชนะจะมอบเงินเดิมพันครึ่งหนึ่งแก่พระคลัง แค่นั้นก็คงเพียงพอสำหรับการเตรียมกองทหารม้าได้ครึ่งกองแล้ว หากจัดพนันกันอีกสักครั้ง เกรงว่ากองกำลังชายแดนของเราคงได้ติดอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เว้นแม้แต่ซี่ฟันเป็นแน่”
สิ้นประโยคนั้น ขุนนางที่เข้าร่วมวงพนันทั้งหลายล้วนอารมณ์เสียไปตาม ๆ กัน
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแย้มพระสรวล แต่กลับทำให้ขุนนางทุกคนรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมา “บุตรชายตระกูลฉินมีน้ำใจนัก รู้ว่าคลังว่างเปล่าจึงคิดจะใช้วิธีนี้ส่งเสริมค่าใช้จ่ายทางการทหาร หากไม่มีการประลองวันนี้ เจิ้นคงไม่รู้ว่าในเมืองหลวงเล็ก ๆ มีผู้มั่งคั่งหลบซ่อนอยู่มากมาย”
“อนุญาตให้เล่นพนันเป็นกรณีพิเศษ เพื่อขับไล่เป่ยตี๋ เพื่อประโยชน์ของต้าเหลียง ฮ่า ๆๆๆ หรือจะให้เจิ้นออกคำสั่งให้การพนันถูกกฎหมายในภายภาคหน้าดี ขุนนางทุกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร?”
เสนาบดีกรมคลังรู้สึกเหมือนถูกไฟเผา รีบลุกออกจากที่นั่ง คุกเข่าลงพร้อมตะโกนสุดเสียง “มิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท หากต้าเหลียงจมอยู่กับการพนันมากเกินไป มีแต่จะทำให้อำนาจของประเทศเสื่อมถอย”
แม้ว่าหนิงชิงเฉวียนจะเป็นคนบุ่มบ่ามมุทะลุ แต่เขาก็รู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องราวในวันนี้ จึงคุกเข่าลงกับพื้นพลางคร่ำครวญอย่างเสแสร้ง “เพื่อต้าเหลียงและราษฎร ฝ่าบาทโปรดถอนรับสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อมีเสนาบดีกรมคลังและหย่งอันโหวเป็นผู้นำ ขุนนางในงานเลี้ยงที่เหลือก็คุกเข่าและคำนับลง
“ฝ่าบาทโปรดยกเลิกรับสั่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่สั่นคลอน แม้เขาจะมองขุนนางในราชสำนักได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ดังคำที่กล่าวว่า ‘กฎหมายไม่ตำหนิคนหมู่มาก’ จึงเหลือบมองไปทางฉินเฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง แก้มของอีกฝ่ายแดงปลั่งดูเหมือนกำลังกลั้นขำอย่างหนัก
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายพระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง ฉินเฟิงก็หาที่ลงให้ตัวเอง เขาไม่กลัวว่าจะไปทำให้ใครขุ่นเคืองหรือไม่แม้แต่น้อย นายน้อยฉินตะโกนเสียงดังก้อง “ทำไมพอจะส่งกองกำลังไปทำศึกกับเป่ยตี๋ถึงบอกว่าไม่มีเงิน แต่พอเล่นพนันกลับมีเงินเล่า? แปลกจริง กระหม่อมคิดว่าแผนการของฝ่าบาทนั้นไม่เลวแท้ ๆ อย่างไรเสีย นั่นก็เป็นการทำเพื่อปกป้องชายแดนต้าเหลียง”
ฉินเฟิงเพิกเฉยต่อสายตาอาฆาตของขุนนางที่อยู่รอบตัว เขาแบมือยักไหล่ “ใครใช้ให้ต้าเหลียงของเรายากจนกันเล่า!”
เดิมทีฝ่ายต่อต้านสงครามอาศัยข้ออ้างที่ว่า ‘พระคลังว่างเปล่า’ เพื่อหยุดยั้งการจัดตั้งกองทัพอย่างเต็มที่ ใครจะไปรู้ว่าเรื่องวุ่นวายครั้งนี้จะมีอันตรายซ่อนเร้นอยู่
แม้แต่เสนาบดีกรมคลังผู้มากเล่ห์ก็ไม่ได้คาดคิดว่าฉินเฟิงจะใช้วิธีแปลกประหลาด ถือโอกาสโจมตีฝ่ายต่อต้านสงครามอย่างรุนแรง
จะแค้นเคืองตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว เสนาบดีกรมคลังได้แต่กัดฟัน แสร้งทำเป็นเศร้า แล้วเอ่ยว่า “เอาเช่นนี้เถิด ขุนนางทุกคนร่วมกันระดมค่าใช้จ่ายทางทหารเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำศึกกับเป่ยตี๋ก็แล้วกัน ทุกท่านจะได้มีส่วนร่วม”
สิ้นประโยคนั้น ขุนนางทุกคนต่างก็เห็นด้วย ทั้งจวนจี้อ๋องก้องกังวานไปด้วยเสียงตะโกนอยู่ครู่หนึ่ง
“เพื่อต้าเหลียง เพื่อฝ่าบาท กระหม่อมควรบริจาคเงินช่วยเหลือ!”
“ถูกต้องแล้ว เพราะพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พวกเราถึงมีวันนี้ได้ บัดนี้คนเถื่อนเป่ยตี๋ยึดด่านชายแดนต้าเหลียงแล้ว พวกเราควรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน!”
ทั่วทั้งลาน มีเพียงจี้อ๋องเท่านั้นที่ยังคงนั่งนิ่ง เมื่อมองดูเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊คุกเข่าสลับกับฉินเฟิงที่ยกยิ้มร้ายกาจอยู่ไม่ไกลแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ยกยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ประหลาดนัก คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าปัญหาการศึกที่ฮ่องเต้กังวลมานาน จะได้รับการแก้ไขด้วยการกลิ้งไปกลิ้งมาของฉินเฟิง”
“ตระกูลฉินมีบุตรเช่นนี้ ไยต้องกังวลว่าจะไม่เจริญรุ่งเรือง!”
สายพระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม แต่เมื่อย้ายไปทอดมองบนร่างฉินเฟิง สายพระเนตรก็เปลี่ยนเป็นชอบใจอย่างมาก
หลี่จ้านเก่งเรื่องการสังเกตสีหน้าวาจา รู้ถึงพระทัยของฮ่องเต้ เขาพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “บิดาและบุตรชายตระกูลฉินล้วนมีจิตวิญญาณเดียวกันกับฝ่าบาท แม้ว่าฉินเทียนหู่จะภักดีแต่เขาซื่อตรงเกินไป ยามนี้มีเด็กปลิ้นปล้อนอย่างฉินเฟิงคอยช่วยเหลือ ต้องสามารถคลายความกังวล และแก้ปัญหาของฝ่าบาทได้เป็นแน่ กระหม่อมแสดงความยินดีกับฝ่าบาทล่วงหน้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเหลือบมองหลี่จ้านแล้วตะคอก “ตาเฒ่า เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว!”
ชายชราตัวสั่นด้วยความตกใจ รีบก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก
บางเรื่องแม้เห็นด้วยตาก็ไม่สามารถเอ่ยออกมาด้วยปากได้
MANGA DISCUSSION