บทที่ 59 กฎแห่งฟิสิกส์
แม้ฉินเฟิงจะไม่ใช่นักคณิตศาสตร์และไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนักฟิสิกส์เลย แต่ในฐานะนักศึกษาดีเด่นสาขาวิศวกรรมโยธาผู้มีความรู้ความสามารถ ฉินเฟิงจะไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานที่แม้แต่ขุนนางชั้นสูงยุคโบราณเหล่านี้ยังรับรู้ได้อย่างไร?
โดยธรรมชาติแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์จะงัดหม้อสามขาขึ้นด้วยเสาไม้เพียงอย่างเดียว แต่ฉินเฟิงขอให้ทหารรักษาพระองค์นำเสาไม้มาต่อให้ยาวขึ้น ก่อนจะเชื่อมรอยต่อด้วยตะปูและเชือก ท้ายที่สุดเสาทั้งหมดจึงมีความยาวมากกว่าสามจั้ง ปลายอีกด้านหนึ่งของมันเกือบจะถึงยอดกำแพงจวนจี้อ๋อง
ฉินเฟิงหาบันไดมาปีนขึ้นไปบนกำแพงและนั่งลงบนปลายด้านหนึ่งของไม้ สองขาแยกออก ชายหนุ่มไม่ได้ออกแรงใด ๆ เขาเพียงอาศัยน้ำหนักตัวเองกดเสาไม้ลงเท่านั้น ในขณะเดียวกันหม้อที่อยู่อีกด้านก็ถูกยกขึ้นในอากาศ
ทั่วทั้งสนามประลองเงียบกริบ
แม้ขุนนางกรมโยธาจะเข้าใจหลักการของการใช้คานงัด แต่พวกเขาไม่คิดว่าฉินเฟิงจะเก่งกาจถึงขนาดสร้างเสางัดได้ยาวเพียงนี้!
ใบหน้าเขียวคล้ำของฉินเทียนหู่ผ่อนคลายลง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอดไม่ได้ที่จะสรวลออกมาเบา ๆ “เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้เล่นกลได้จริง ๆ”
ขุนนางฝ่ายกรมคลังเปลี่ยนสีหน้าไปมา
ฉินเฟิงเพียงนั่งบนเสางัดต่อไปเรื่อย ๆ มือทั้งสองข้างของเขากอดอก ชายหนุ่มแสยะยิ้มมองไปที่หนิงหู่ “ท่านโหวน้อย ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มือเพื่อเอาชนะเจ้าด้วยซ้ำ”
เดิมทีฉินเฟิงสามารถนั่งแบบนี้ไปตลอดก็ได้ แต่เกิดรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชา ชายหนุ่มจึงกระโดดลงจากเสางัด จากนั้นหม้อหนักพันชั่งก็กระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังลั่น
ทั่วทั้งสนามเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงอวดดีของฉินเฟิง “เป็นอย่างไรบ้าง? นี่เป็นการแข่งยกหม้อ คงมิได้แข่งว่าใครยกได้นานกว่ากระมัง? พอใจแล้วใช่หรือไม่? หากไม่พอใจข้าจะต่อให้เจ้าใช้สองมือสองเท้า ส่วนข้าจะเอาชนะเจ้าด้วยนิ้วเดียว ดีหรือไม่?”
เมื่อเห็นฉินเฟิงไหวไหล่พลางทำท่าทางอ้อนเท้า หนิงหู่ก็โกรธจัดจนตะโกน “นี่นับว่าเป็นการยกหม้อได้หรือ! ฉินเฟิงเจ้าล้อข้าเล่นแล้ว!”
หนิงชิงเฉวียนนั่งนิ่งไม่ได้อีกต่อไป เขารีบลุกขึ้นประท้วงต่อฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง “ฝ่าบาท เจ้าฉินเฟิงไม่ได้แค่ใช้กลวิธีมากเล่ห์ แต่เขากำลังหลอกลวงเบื้องสูงอย่างเห็นได้ชัด หากนี่คือผลลัพธ์ของการแข่งขัน เช่นนั้นใคร ๆ ก็สามารถยกหม้อสามขาขึ้นได้”
ก่อนที่ฝ่าบาทจะทันได้ตัดสินพระทัย นายน้อยฉินก็วางมือบนสะโพกและชิงตะโกนตัดหน้า “เป็นพวกแพ้ไม่เป็นใช่หรือไม่?”
“ในหมู่พวกเจ้าหากไม่ใช่ท่านโหว ก็เป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก แต่กลับรวมกลุ่มกันรังแกเด็กตัวคนเดียว อย่างข้า!” ฉินเฟิงที่เพิ่งแสดงสีหน้าราว ‘ชายชราผ่านโลกมามาก’ แสดงความน้อยใจออกมาเหมือนเด็ก ๆ ในชั่วพริบตา ความสามารถในการตีสีหน้าของเขาทำเอาฝูงชนพากันตกตะลึง
ฉินเฟิงเอ่ยอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ “ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าจะแข่งยกหม้อ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องยกแบบใด! ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็น ‘กฎแห่งฟิสิกส์’ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา เหตุใดพวกท่านกลับตีความว่าข้าใช้กลวิธีมากเล่ห์? หากบอกว่านี่คือเล่ห์กล มิใช่ว่ากรมโยธาก็เล่นกลด้วยหรือ? อีกอย่างนี่จะเป็นการหลอกลวงเบื้องสูงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของฝ่าบาท ตอนนี้พวกท่านถึงขนาดช่วยฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้วหรือ?”
“หรือว่า…” ฉินเฟิงจงใจยืดคำสุดท้ายให้ยาวขึ้น มองทุกคนอย่างมีเลศนัย “พวกท่านกำลังสั่งสอนฝ่าบาท?”
สิ้นประโยคนั้น หนิงชิงเฉวียนที่ก่อนหน้านี้เพิ่งอับอายจนโกรธ กลายเป็นมะเขือยาวที่ถูกแช่แข็งจนเหี่ยวเฉาทันที
ตัดสินพระทัยแทนฝ่าบาท? แม้ให้ความกล้าหาญแก่หนิงชิงเฉวียนมาเต็มร้อย เขาก็ยังไม่กล้ายอมรับ
แผ่นหลังของหนิงชิงเฉวียนเย็นวาบ เขาพึมพำอยู่ในใจ ‘ตัวเสนียด! ฉินเฟิงเป็นแค่นายน้อยเจ้าสำราญจริงหรือ? เหตุใดถึงชั่วร้ายเสียยิ่งกว่าขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก ตอนไม่เปิดปากน่ะไม่เท่าไหร่ แต่เปิดปากเมื่อใดก็สามารถฆ่าคนด้วยการปลิดขั้วหัวใจได้! ไอ้เด็กนี่เหมือนขุนนางเฒ่าที่โลดแล่นในราชสำนักมานานหลายสิบปีไม่มีผิด!’
เมื่อเห็นหย่งอันโหวและบุตรชายพูดไม่ออก สายตาของฉินเทียนหู่ก็เปล่งประกายขึ้นมา สายตาที่ใช้มองฉินเฟิงเปลี่ยนไปชนิดที่ว่าพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
เด็กคนนี้จะเป็นบุตรสุนัขได้อย่างไร? ความเร็วในการตอบโต้และการคิดวิเคราะห์พิถีพิถันเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่า เขาไม่ต่างจากขุนนางที่ผ่านประสบการณ์ในราชสำนักมาหลายปี
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์โดยรวมแล้ว ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงย่อมเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉินเฟิงขี้โกง แต่นั่นไม่สำคัญ
ฮ่องเต้แคว้นเหลียงไม่รีบร้อนตัดสินพระทัย เพียงแต่มองไปที่หนิงหู่และตรัสอย่างสบาย ๆ ว่า “ท่านโหวน้อยสกุลหนิงเป็นว่าที่นายพลชั้นดี เขาจะสร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้กับต้าเหลียงในอนาคตอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้แววตาอ้างว้างของสองพ่อลูกตระกูลหนิงพลันวาบแสงสดใสขึ้นอีกครั้ง
แต่หัวใจของฉินเทียนหู่กลับเต้นตึกตัก แอบกังวลขึ้นมา ‘หรือว่าฝ่าบาททรงต้องการตัดสินให้ตระกูลหนิงชนะ?’
ทันใดนั้นเอง ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เปลี่ยนเรื่อง เขาจ้องมองร่างฉินเฟิง แววตาแสดงถึงความโปรดปรานอย่างไม่ปิดบัง “ดังคำกล่าวที่ว่า พิชิตใต้หล้านั้นง่าย ปกป้องใต้หล้านั้นยาก การทำให้แว่นแคว้นสงบสุขต้องใช้สติปัญญา แม้ว่าฉินเฟิงจะมิได้ห้าวหาญแต่ชัยชนะนั้นอยู่ที่ความฉลาดเฉลียว สี่ตำลึงปาดพันชั่ง*[1] ก็นับว่าเป็นฝีมือ เราไม่ได้สนใจที่มาที่ไปของวีรบุรุษ ชัยชนะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์”
“เจิ้นขอประกาศว่าฉินเฟิงเป็นฝ่ายชนะการประลองในครั้งนี้”
บรรยากาศรอบสนามประลองซับซ้อนขึ้นทันที สีหน้าของพ่อลูกตระกูลหนิงเขียวคล้ำ แต่พวกเขาทำได้เพียงกลืนความชอกช้ำนี้ลงไปเงียบ ๆ ฝ่ายกรมคลัง พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ทันทีจึงหยุดแทรกแซง ท้ายที่สุด วันนี้ตระกูลหนิงกลายเป็นตัวเอกของงาน นี่ไม่ใช่เวลาที่กรมคลังควรออกโรง
เมื่อเห็นว่าผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังกำลังจะเคลื่อนไหว เสนาบดีกรมคลังก็รีบกดมือเขาทันที ก่อนจะส่งสัญญาณให้สงบ ไม่ต้องใจร้อน “ที่ผ่านมาท้องเจ้าฉินเฟิงเต็มไปด้วยลูกไม้มากมาย เขาไม่ได้ใช้ไพ่ในมืออย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีประโยชน์ที่จะใช้กลเม็ดในราชสำนักกับเขา หากทำพลาดหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ข้าเกรงว่าจะลุกลามมาถึงตัวเราได้”
แม้แต่เสนาบดีกรมคลังยังพูดเช่นนั้น ผู้ช่วยเสนาบดีกรมคลังจึงไร้ทางเลือกอื่นนอกจากต้องล่าถอยด้วยความคับแค้น
ขุนนางเหล่านั้นแต่เดิมอยู่ข้างสนาม เมื่อได้ยินคำพูดของฝ่าบาทที่ชื่นชมฉินเฟิง ย่อมไม่มีใครไม่เปลี่ยนไปตามทิศทางลม ทุกคนทยอยลุกขึ้นเพื่อแสดงความยินดีกับฉินเทียนหู่
“ใต้เท้าฉิน บิดาพยัคฆ์ไร้บุตรสุนัขจริง ๆ!”
“นายน้อยตระกูลฉินแม้ว่าจะเกิดมาเป็นบัณฑิตแต่กลับพึ่งพาสติปัญญาเอาชนะท่านโหวน้อยได้ สมกับเป็นวีรบุรุษในหมู่บุตรชายขุนนางจริง ๆ”
“บุตรชายตระกูลฉินผู้นี้มีอนาคตไร้ขีดจำกัดโดยแท้!”
ฉินเทียนหู่ที่ตอนแรกอยากมุดดินหนีใจจะขาด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินคำชื่นชมจากทุกทิศทุกทาง
ในทางตรงกันข้ามฉินเฟิงกำลังเท้าสะเอวดีใจจนเนื้อเต้น
ตอนเรียนหนังสือ บ่อยครั้งที่เขาอยากตะโกนด่าบุคคลสำคัญของโลก เมื่อนึกถึงชื่อของนักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ‘อาร์คิมีดีส’ และ ‘นิวตัน’ ตับไตฉินเฟิงก็สั่นสะท้านไปหมด ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าสองพ่อลูกตระกูลหนิง นายน้อยฉินกลับกล้าที่จะโก่งคอตะโกนว่า
“ขอแค่มีคานให้ข้า ข้าก็งัดโลกทั้งใบขึ้นมาได้!”
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง : เป็นหลักปรัชญาเต๋าโดยการอาศัยแรงน้อยกว่าเอาชนะแรงมากกว่าหรือว่าเป็นหลักอ่อนพิชิตแข็งนั่นเอง
MANGA DISCUSSION