บทที่ 58 เริ่มการประลอง
แม้จะอดก่นด่าไม่ได้ แต่ภายในใจลึก ๆ ของหลิ่วหงเหยียนก็ยังคงอดกังวลไม่ได้เช่นกัน ถึงเจ้าเด็กเหลือขออย่างฉินเฟิงจะสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ แต่ครั้งนี้เขาอาจจะย่ามใจเกินไป อย่างไรนี่ก็เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง ที่นี่มีขุนนางระดับสูงในราชสำนักนับไม่ถ้วน แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังเสด็จเข้าร่วม ดังนั้นความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่หายนะได้
เหล่าตัวแทนสตรีในสนาม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังเบื้องหลังตระกูลต่าง ๆ พากันหัวเราะเยาะ
“ฉินเฟิงนี่นับวันยิ่งอวดดีเสียจริง เขากล้าประลองความแข็งแกร่งกับท่านโหวน้อย ไม่รู้ควรต้องบอกว่า เขาเป็นลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ หรือสมองเขามีรูกันแน่”
“ย่อมต้องเป็นอย่างหลัง! ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงตกน้ำมา จึงบ้า ๆ บอ ๆ ตลอดทั้งวันไม่ใช่หรือ พฤติกรรมโง่เง่าเช่นนี้เป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขาจริง ๆ”
“ข้าได้ยินมาว่านายน้อยฉินมีความรู้ลึกซึ้งด้านโคลงกลอนและบทกวี ไม่คิดเลยว่าวรยุทธ์ของเขาก็จะน่าทึ่งเช่นกัน”
“วรยุทธ์?”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ผู้มีพื้นเพตระกูลห้าวหาญอย่างบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหม ย่อมแข็งแกร่งโดยธรรมชาติ”
หลี่หนิงฮุ่ยซึ่งร่วมโต๊ะอยู่กับหลิ่วหงเหยียนเม้มริมฝีปากของนางแน่น
ก่อนหน้านี้หลี่หนิงฮุ่ยถูกฉินเฟิงทำให้อับอายที่หอวิจิตรศิลป์ เป็นธรรมดาที่นางจะรู้สึกไม่พอใจ เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสจะแก้แค้น ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้ว นางจะปล่อยมันไปได้อย่างไร? คุณหนูหลี่ใช้สองมือกอดอก แสดงท่าทีมีลับลมคมใน “ท่านโหวน้อยฝึกฝนวรยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้ที่หาได้ยากในหมู่บุตรหลานขุนนางแห่งเมืองหลวง”
“อายุสามปีรำดาบ เจ็ดปีอ่านตำราพิชัยสงคราม สิบหกปีจับเสือล่าหมาป่าได้ มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือทั่วทั้งเมืองหลวง กล่าวได้ว่าเขาเป็นวีรบุรุษในหมู่คนหนุ่ม ใช่ว่าใครก็สามารถท้าทายเขาได้ง่าย ๆ คนบางคนก็ประเมินตนสูงเกินไปจริง ๆ!”
สิ้นประโยคนั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นอีกระลอก
สตรีเหล่านี้ไม่สนใจว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เยาะเย้ยคนโดยไม่มีแม้แต่ความกังวล เทียบกับขุนนางระดับสูงเหล่านั้นนับว่ายังห่างชั้นนัก
แม้ว่าหลังจากได้ยินคำพูดเจ็บแสบหลิ่วหงเหยียนจะโกรธมาก แต่นางเพียงคนเดียวจะรับมือกับปากมากเรื่องของฝูงชนได้อย่างไร? คุณหนูรองตระกูลฉินไม่มีทางเลือก นอกจากต้องกล่ำกลืนความคับแค้นนี้ลงไปเงียบ ๆ
เวลานี้ความสนใจทั้งหมดของจวนจี้อ๋องรวมอยู่ที่ร่างของฉินเฟิงและหนิงหู่
หนิงหู่ยืนคันไม้คันมืออยู่ข้างหม้อสามขา เขามองฉินเฟิงที่ดูไม่จริงจังนักจากหางตา ภายในใจเหยียดหยาม ‘ไอ้สารเลวนี่แพ้แน่ หากชื่อเสียงของจวนตระกูลฉินป่นปี้เมื่อใด วันนั้นคือวันตายของมัน!’
ก่อนหน้านี้หนิงหู่เพียงแค่รังเกียจฉินเฟิง แต่ตอนนี้มันได้กลายเป็นความเจ็บแค้นที่แล่นไปทั่วร่างตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาแอบสาบานในใจว่าจะทำให้นายน้อยฉินชดใช้ด้วยเลือดให้ได้
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมีรับสั่งว่า สามารถเริ่มการประลองได้ทันทีเมื่อพร้อม
หนิงหู่แทบรอเห็นฉินเฟิงกระดิกหางร้องขอความเมตตาไม่ไหว ท่านโหวน้อยไม่ลีลารีรออีกต่อไป สองมือคว้าขอบปากหม้อทันที น้ำหนักของหม้อสามขามากเสียจนแม้แต่หนิงหู่ก็ไม่กล้าประมาท เพราะหากไม่ระวัง เกรงว่าเขาก็อาจถูกหม้อสามขาทับตายได้
ท่านโหวน้อยสูดลมหายใจเข้าไปถึงจุดตันเถียน จากนั้นก็ค่อย ๆ ออกแรงที่แขนทั้งสองข้าง เมื่อหม้อสามขาเริ่มสั่นเล็กน้อย หนิงหู่ก็ส่งแรงทั้งหมดไปยังมือที่จับปากหม้อ แล้วงัดขึ้น หม้อสามขาที่มีน้ำหนักกว่าพันชั่งถูกโยนจนลอยขึ้นไปบนอากาศทันที
จังหวะที่หม้อสามขากำลังลอยพลิกข้ามหัว หนิงหู่ก็ใช้สองมือที่เคยจับปากหม้อคว้าขาหม้อไว้ เขาแค่นเสียงเบา ๆ ออกมา ในที่สุดหม้อสามขาก็ถูกยกลอยอยู่เหนือหัวของหนิงหู่!
ดวงตาของขุนนางระดับสูงทุกคนเป็นประกาย เสียงชื่นชมทยอยดังขึ้นเรื่อย ๆ ทันที
“สมกับเป็นท่านโหวน้อย ความแข็งแกร่งของเขาไม่ด้อยไปกว่าทหารที่อยู่ในสนามรบตลอดทั้งปี!”
“ยอดเยี่ยม! ท่านโหวน้อยเกิดมาพร้อมพลังเหนือธรรมชาติโดยแท้!”
ฉินเฟิงเองก็มึนงงไปเล็กน้อย บอกตามตรง ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลยว่าหนิงหู่จะยกหม้อสามขาขึ้นมาได้!
อย่างไรเสีย มันก็เป็นหม้อที่หนักถึงพันชั่งเชียวนะ!
แม้แต่นักยกน้ำหนักที่ได้รับการฝึกฝนอย่างมืออาชีพยังไม่สามารถยกมันขึ้นอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้เลย
ฉากตรงหน้ายืนยันการคาดเดาของฉินเฟิงได้เป็นอย่างดีว่า ‘วรยุทธ์’ ในยุคนี้แตกต่างไปจากการต่อสู้ที่ฉินเฟิงรู้จัก
หนิงหู่ยกหม้อสามขาขึ้นสูง เมื่อเวลาผ่านไป เส้นเลือดสีเขียวเข้มบริเวณแขนทั้งสองข้างของท่านโหวน้อยก็ค่อย ๆ ปูดขึ้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม กว่าหม้อสามขาจะหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรง เวลาก็ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งถ้วยชา!
เชร้ดดดด! ฉินเฟิงไม่เคยตระหนี่เรื่องการชื่นชมผู้อื่น ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูก็ตาม!
หากไม่ใช่เพราะหวาดกลัวตาเฒ่าฉินเทียนหู่ที่อยู่ข้าง ๆ ฉินเฟิงคงต้องปรบมือร้องชื่นชมเขาอย่างแน่นอน!
มีพละกำลังมากมายเช่นนี้ น่าเสียดายที่ไม่ได้ไปขนอิฐในไซต์ก่อสร้าง!
หนิงหู่ถอนหายใจราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก เขาหันกลับไปมองฉินเฟิงอย่างดูถูก “ถึงตาเจ้าแล้ว!”
เสียงชื่นชมจากข้างสนามดังขึ้นไม่หยุด ใบหน้าของหนิงชิงเฉวียนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ดังคำกล่าวที่ว่า คนบางคนสมควรตาย สินค้าบางอย่างสมควรถูกโยนทิ้ง เมื่อมองไอ้ลูกมารผจญอย่างฉินเฟิง และมองไปที่บุตรชายแสนล้ำค่าของตน หนิงชิงเฉวียนก็อดที่จะภาคภูมิใจไม่ได้
พระเนตรฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเองก็เป็นประกายเช่นกัน แม้รู้ว่าหนิงหู่ยังต้องพัฒนาต่อไปอีกมาก แต่อย่างไรเขาก็อายุยังน้อย ครอบครองความแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ก็น่าทึ่งมากพอแล้ว ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม “พลังคนหนุ่มน่าเลื่อมใส หนิงหู่มีพรสวรรค์เช่นนี้ย่อมเป็นเพราะหย่งอันโหวสั่งสอนเขาได้ดี”
ใบหน้าของหนิงชิงเฉวียนแย้มยิ้มราวฤดูใบไม้ผลิ รีบทำความเคารพฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง จงใจเปล่งเสียงให้ดัง “เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
คำพูดเหล่านี้ตบลงบนใบหน้าแก่ ๆ ของฉินเทียนหู่ดังเพียะ
แม้ฉินเฟิงจะรู้แก่ใจดีว่าเขาไม่มีทางเอาชนะหนิงหู่ได้ เว้นแต่ว่าจะโกง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังใจกล้า ฉินเฟิงเผยรอยยิ้ม ยื่นมือออกไปตบไหล่ของหนิงหู่ “คนหนุ่มสาวหนอคนหนุ่มสาว ยืนหยัดได้เพียงครึ่งถ้วยชาเท่านั้นเอง? เจ้าคงมิได้ถูกนารีสูบเรี่ยวแรงไปจนหมดแล้วกระมัง?”
หนิงหู่ปัดมือของฉินเฟิงออก และเอ่ยด้วยความโกรธ “หยุดมือไม้อยู่ไม่สุขของเจ้าเสีย ข้ากับเจ้าสนิทกันหรือ? เลิกพูดเรื่องไร้สาระแล้วรีบยกหม้อขึ้นได้แล้ว ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะถูกบดขยี้อย่างไร!”
ฉินเฟิงเพียงหวังดีอยากเห็นหนิงหู่ให้ความสำคัญกับร่างกายมากขึ้น เมื่อเห็นท่าทางฉุนเฉียวของท่านโหวน้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะวางท่าอย่างผู้มีประสบการณ์ พลางเอ่ยอย่างจริงจัง “คนหนุ่มเอ๊ย อย่าใจร้อนเกินไป ไม่เช่นนั้นจะทุกข์ทรมานในอนาคต หากใช้แต่กำลังก็เป็นได้แค่บุรุษตัวโตไร้สมอง พ่อหนุ่มน้อย เจ้าจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน วันนี้ข้าจะสอนบทเรียนให้แก่เจ้า!”
ไม่ผิดไปจากที่ฉินเฟิงคาด เสียงเยาะเย้ย ดูถูกเหยียดหยามดังเกรียวกราวขึ้นมาทันที
เมื่อมองใบหน้าดูถูกเหยียดหยามของเหล่าขุนนางระดับสูงในราชสำนัก ฉินเฟิงไม่ได้รู้สึกอับอายแต่อย่างใด หากแต่ภูมิใจเสียอีก
ตรงกันข้ามกับฉินเทียนหู่ที่กำลังรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียังประทับอยู่ที่นี่ เขาอาจจะปิดหน้าวิ่งหนีไปแล้วก็ได้ ช่างน่าอับอายจริง ๆ!
ภายใต้สายตาเหยียดหยามของทุกคน ฉินเฟิงหันกลับมาและโค้งคำนับให้กับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง “กระหม่อมขอยืมทหารรักษาพระองค์สิบนายจากฝ่าบาทได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงสนอกสนใจวิธีการตอบโต้ของฉินเฟิงเป็นอย่างมาก เพราะความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงติดเบ็ดนายน้อยฉินไปแล้วเรียบร้อย จึงยอมตอบรับ “ตราบใดที่เจ้าไม่ขอให้ทหารรักษาพระองค์ยกหม้อให้เจ้า จะยืมไปก็ย่อมได้”
ฉินเฟิงยิ้มโดยไม่พูดอะไร เขาหยิบถุงกระดาษเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หลังจากคลี่ออก ปรากฏว่ามีถ่านที่ถูกเหลาจนคมสองสามก้อน จากนั้นเขาก็เริ่มขีด ๆ เขียน ๆ แบบร่างความรู้ที่เคยเรียนมาตอนมัธยมต้น
ชายหนุ่มสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ทั้งสิบนายจากกองทหารต้องห้ามนำเสาไม้และเชือกมา แล้วสั่งให้สร้างคานรับน้ำหนักธรรมดา ๆ ก่อนจะนำเสาไม้ที่ยาวที่สุดไปวางบนคาน ผูกปลายเสาไม้ด้านสั้นเข้ากับหม้อสามขา และปล่อยให้ปลายเสาไม้ด้านยาวว่างไว้
ด้วยวิธีนี้หน้าตาของอุปกรณ์ที่นายน้อยฉินสร้างขึ้นจึงไม่ต่างอะไรจากคานงัด
ในบรรดาขุนนางระดับสูงรอบสนามประลอง มีบุคลากรจากกรมโยธาอยู่จำนวนมาก
ก่อนหน้านี้ ณ หอเซียนเมามาย อู๋ยงถูกฉินเฟิงทุบตีในที่สาธารณะ ปมความแค้นระหว่างกรมกลาโหมกับกรมโยธาจึงถูกผูกไว้อย่างแนบแน่น ขุนนางกรมโยธาที่อยู่ที่นั่นเห็นการกระทำของฉินเฟิงก็อดจะรู้สึกดูถูกไม่ได้
“วุ่นวายอยู่ค่อนวัน ก็ทำได้เท่านี้เองหรือ? ช่างเป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอ!”
“ฮึ่ม! ก็แค่แผนการจะใช้กลเม็ดเด็ดพรายงัดหม้อสามขาหนัก ๆ หม้อนั่นมีน้ำหนักถึงหนึ่งพันชั่ง ด้วยพละกำลังของฉินเฟิง เขาต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะสามารถงัดหม้อสามขาขึ้นได้?”
“ข้าก็ว่าอยู่ว่าเขาไปเอาความมั่นใจมาจากไหน? ที่แท้ก็เป็นแค่ผู้วางแผนการรบบนกระดาษ”
เหล่าขุนนางที่เป็นกลางและมีความประทับใจที่ดีต่อฉินเฟิงเนื่องจากบทกวี ‘ออกด่าน’ ต่างก็อดผิดหวังไม่ได้เมื่อเห็นฉากนี้
ทุกคนรวมถึงฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงล้วนเชื่อว่าฉินเฟิงจะพ่ายแพ้การประลองอย่างแน่นอน!
MANGA DISCUSSION