บทที่ 55 ท้าทาย
ใบหน้าของหลี่รุ่ยเปลี่ยนไปทันที
เรื่องนี้หากได้รับการดูแลโดยศาลต้าหลี่ก็ยังพอไกล่เกลี่ยได้ ด้วยสถานะและสายสัมพันธ์ของหลี่รุ่ยกับท่านผู้พิพากษา เพียงเขาเอ่ยออกมาประโยคเดียว คดีนี้จะถูกทิ้งให้คลุมเครือต่อไปเรื่อย ๆ แต่หากฮ่องเต้ออกพระราชโองการด้วยพระองค์เอง สถานการณ์จะต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ต่อให้ผู้พิพากษากล้าปิดบังความจริง แต่ในเมืองหลวงแห่งนี้มีสายสืบของฝ่าบาทอยู่เต็มไปหมด ความประมาทเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ บางทีอาจเข้าขั้นหายนะ
เขารู้ว่าไอ้นายน้อยเจ้าสำราญนี่จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีโหดร้ายเช่นนี้!
หัวใจของหลี่รุ่ยสั่นไหว หากความจริงเปิดเผยก็เท่ากับว่า คนที่หลอกลวงฮ่องเต้คือเขาเอง ดังนั้นนายน้อยหลี่ย่อมไม่ปล่อยให้ฉินเฟิงทำสำเร็จได้โดยง่าย เขารีบคุกเข่าคำนับ “ฝ่าบาทโปรดพิจารณาด้วย ตอนนี้ที่เป่ยตี๋ตั้งด่านเต็มไปหมด ต่อหน้าศัตรูสิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจที่มั่นคงของผู้คน ตระกูลหลี่แต่ไหนแต่ไรก็ใสซื่อมือสะอาด จะมีเงินมาสนับสนุนการสืบสวนครั้งนี้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่รุ่ย นายน้อยตระกูลฉินก็แทบจะระเบิดหัวเราะออกมา
เดิมทีคิดว่าตัวเองหน้าหนาพอแล้ว คิดไม่ถึงว่าหลี่รุ่ยผู้นี้ก็ไม่เบา เขาใช้จ่ายหลายหมื่นตำลึงเงินโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา ตอนนี้มากล่าวว่าตระกูลหลี่ใสซื่อมือสะอาดอย่างนั้นรึ?
เรื่องการใส่ร้ายคุณหนูเซี่ย ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงรู้ชัดเกี่ยวกับความเป็นมาที่แท้จริง แต่ในฐานะฮ่องเต้ การเข้าแทรกแซงทุกเรื่องไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกำลังทำสงครามน้ำลายกับหลี่รุ่ยและคนอื่น ๆ เขาก็เข้าใจสถานการณ์โดยรวมได้อย่างชัดเจน ใบหน้าของหลี่รุ่ยซีดเซียว อีกฝ่ายดูหวาดกลัวมากเหลือเกิน
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ในราชสำนักตระกูลฉินกับตระกูลหลี่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด นอกราชสำนักทายาทของพวกเขาก็ไม่ลงรอยกัน แต่ดูท่าแล้ว หลี่รุ่ยผู้นี้หาใช่คู่ต่อสู้ของฉินเฟิงไม่ พูดง่าย ๆ คือ อย่างไรเสีย นายน้อยตระกูลหลี่ก็คงจะต้องเสียท่าให้กับนายน้อยตระกูลฉิน แต่คิดไปคิดมาก็โล่งใจอยู่เหมือนกัน เพราะหากฉินเฟิงเป็นคนไร้ความสามารถจริง ๆ ไม่รู้ว่าต้องตัดหัวกี่หัวจึงจะชดใช้ความผิดที่ล่วงเกินเบื้องสูงได้
เรื่องนี้ไม่ควรสืบสาวราวเรื่องต่อ ขณะที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกำลังจะขับไล่บุตรหลานขุนนางที่ไม่เคารพกฎเหล่านี้ออกไป ก็มีเสียงตะโกนทุ้มต่ำดังขึ้นเสียก่อน
“ฉินเฟิง เจ้าคนต่ำช้า กล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ จะมัวพล่ามอยู่ทำไมมากมาย? สุดท้ายก็แค่ต้องการทำให้ตัวเองพ้นผิด คนไร้ยางอายเช่นเจ้าไม่คู่ควรกับเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์!”
ใบหน้าของหนิงหู่เขียวคล้ำ เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ในเมื่องฉินเฟิงกล้าโจมตีเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ ก็เท่ากับเป็นศัตรูตัวฉกาจของเขา
ท่านโหวน้อยหยัดกายลุกขึ้นทันที เขากล่าวคำนับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง “ฝ่าบาทโปรดเป็นพยาน กระหม่อมจะส่งสาส์นท้าประลองฉินเฟิง!”
เดิมทีฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ได้ใส่ใจ ‘เรื่องเล็กน้อย’ เหล่านี้เลย แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงหู่ เขาก็เริ่มสนใจขึ้นมา “ส่งสาส์นท้าประลองหรือ?”
ท่าทางของหนิงหู่แน่วแน่ ดวงตาดุร้ายคู่นั้นแทบลุกเป็นไฟ “ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมต้องการท้าประลองกับฉินเฟิง! หากเขาแพ้ เขาต้องยอมรับเรื่องที่เป็นตัวการปล่อยข่าวลือทำลายชื่อเสียงของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ อย่าได้กล่าวความเท็จอีก! แต่ถ้ากระหม่อมแพ้ ฝ่าบาทจะลงโทษอย่างไรก็ตามแต่มีบัญชา”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ท่านโหวน้อยก็สะบัดหน้ากลับมา สายตาอันเฉียบคมของเขาพุ่งตรงไปยังฉินเฟิง “คนแซ่ฉิน อย่าบอกนะว่าเจ้ามิกล้า!”
เมื่อเผชิญหน้ากับหนิงหู่ที่กำลังโกรธแค้น ฉินเฟิงก็เกาบั้นท้ายพลางพูดออกมาด้วยหน้าตาใสซื่อ “ข้าก็ไม่กล้าจริง ๆ นั่นแหละ แล้วเจ้ามีปัญหาอะไรไม่ทราบ?”
หนิงหู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ “คนต่ำช้าก็คือคนต่ำช้า ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ากล้าทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น”
หนิงหู่รู้ว่าฉินเฟิงเป็นจอมเสเพล การยั่วยุไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสะทกสะท้าน ท่าวโหวน้อยจึงหันกลับมาหมอบคำนับลงกับพื้น “ฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้ให้ฉินเฟิงสู้กับกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ผู้ใดแพ้ห้ามมาเจอเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์อีก!”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเบื่อหน่ายกับข้อตกลงระหว่างฮ่องเต้และขุนนางมานานแล้ว แต่พระองค์กลับสนใจข้อเสนอของหนิงหู่เป็นพิเศษ ดั่งคำกล่าวที่ว่า บุรุษควรใช้วิธีของบุรุษในการแก้ปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตระหนักดีถึงวิชาหมัดมวยของท่านโหวน้อยผู้นี้ ในหมู่ลูกหลานขุนนางทั่วทั้งเมืองหลวง มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสู้กับเขาได้ เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของฉินเฟิง ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงพยักหน้าอย่างหนักแน่นและตอบรับ “ทำตามที่เจ้าพูดเถิด รีบสู้รีบจบ หลังจากวันนี้ เรื่องนี้จะได้ไม่ถูกหยิบยกมาถกเถียงกันอีก”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเหลือบมองนายน้อยฉินนิ่ง ๆ “ดีหรือไม่?”
ฉินเฟิงสาปแช่งในใจ ‘ดีหรือไม หมายความว่าอะไร? ฝ่าบาทกำลังคุยกับตัวเองเหรอ? เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ใครอยากแข่งก็แข่งไปแต่ข้าไม่สน!’
แน่นอน คำพูดเหล่านี้ทำได้เพียงบ่นอยู่ในใจเท่านั้น ต่อให้มีความกล้าเพิ่มขึ้นมาอีกสักสิบเท่า นายน้อยฉินก็ไม่กล้าปฏิเสธโอรสสวรรค์ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ การปฏิเสธฮ่องเต้เท่ากับการขัดรับสั่ง โทษสถานเบาคือถูกจำคุก ส่วนโทษสถานหนักคือถูกตัดศีรษะ!
ฉินเฟิงทักทายบรรพบุรุษฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงในใจพลางฉีกยิ้มกว้าง “ในเมื่อเป็นรับสั่งของฝ่าบาท กระหม่อมจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของหนิงหู่ก็เป็นประกาย ในใจยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงฉินเฟิงรับคำท้า หนิงหู่ก็มั่นใจว่าเขาสามารถจัดการอีกฝ่ายให้ปัสสาวะราด หรือพิกลพิการไปเลยก็ยังได้ อีกทั้งครั้งนี้ยังมีฮ่องเต้เป็นพยาน หนิงหู่ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ แม้เสนาบดีกรมกลาโหมจะเอาความ เขาก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ
หลี่รุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือหวาดกลัวดี
ใบหน้าของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ไม่รู้ว่าอายหรือโกรธ หลังเหตุการณ์นี้จบลง มันไม่สำคัญแล้วว่าคนที่ใส่ร้ายนางคือใคร ทั้งหนิงหู่และฉินเฟิงต่างทำให้นางรู้สึกรังเกียจทั้งคู่ โดยเฉพาะหนิงหู่ เป็นอย่างฉินเฟิงกล่าว ท่านโหวน้อยผู้นี้ใช้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เป็นหมากต่อรอง เป็นสิ่งของแลกเปลี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ จู่ ๆ ฉินเฟิงก็พูดว่า “ในฐานะบัณฑิตที่มีการศึกษา หากว่าด้วยเรื่องการใช้กำลังแล้ว ข้าย่อมสู้ท่านโหวน้อยไม่ได้ ท่านโหวน้อยคงไม่คิดรังแกคนรู้แต่หนังสือกระมัง? เพราะหากเรื่องนี้เล่าลือออกไป มันไม่เพียงทำให้ศักดิ์ศรีของท่านในฐานะผู้ฝึกวรยุทธ์เสื่อมเสียเท่านั้น แต่ยังเป็นการย่ำยีเหล่าบัณฑิตอีกด้วย”
หนิงหู่ส่งเสียงหึเบา ๆ ความมั่นใจและความเย่อหยิ่งของเขาปรากฏชัดบนใบหน้า “อยากแข่งอะไร เจ้าเลือกเลย!”
สิ่งที่นายน้อยฉินรอคอยคือประโยคนี้ อย่างไรการแข่งขันครั้งนี้ก็เกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและชีวิตของเขา ดังนั้นชายหนุ่มย่อมไม่เกรงใจ “นอกจากการต่อสู้ระยะประชิด ที่เหลือข้าไม่ปฏิเสธ!”
ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดของหนิงหู่คือวิชาหมัดมวย ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์ของการแข่งครั้งนี้คือเอาชนะ และทำให้ฉินเฟิงพิกลพิการ หากห้ามต่อสู้ แล้วจะมีประโยชน์ใดเล่า?
น่าเสียดาย ก่อนหนิงหู่จะทันได้ปฏิเสธ ฉินเฟิงก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน เขาแสร้งพูดอย่างประหลาดใจว่า “ทำไมเล่า ท่านโหวน้อยคงไม่ได้กลัวหรอกกระมัง? โบราณกล่าวไว้ว่า ผู้ใดมีความกล้าแต่ไร้ซึ่งแผนการ ผู้นั้นเป็นคนไร้ประโยชน์ หากท่านโหวน้อยรู้จักแต่ใช้กำลัง แล้วภายภาคหน้าจะสร้างความดีความชอบให้ต้าเหลียงได้อย่างไร”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของหลี่รุ่ยก็เต้นระรัว
หนิงหู่เคยชินกับการใช้อำนาจข่มเหงรังแก รู้จักแต่การลงไม้ลงมือ ไม่เคยจัดการอะไรให้ยุ่งยาก ในแง่ของการวางแผน ท่านโหวน้อยผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเฟิง
หลี่รุ่ยกำลังจะเตือนหนิงหู่ว่าอย่าตกหลุมพลางของอันธพาลผู้นี้ แต่ดูเหมือนจะช้าไปหนึ่งก้าว
หนิงหู่ตะคอกอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “กลัวรึ! ในพจนานุกรมของข้า ไม่มีคำว่า ‘กลัว’!”
ใบหน้าของฉินเฟิงเต็มไปด้วยความชื่นชมทันที ชายหนุ่มยกนิ้วให้อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล “สมแล้วที่เป็นท่านโหวน้อย เป็นวีรบุรุษตัวจริง!”
ทุกคนไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจฉินเฟิงกำลังเริงร่าเพียงใด นายน้อยฉินไม่คาดคิดว่าตะขอตรง ๆ เช่นนี้จะยังตกปลาขึ้นมาได้
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเองก็เบิกบานพระทัยเป็นอย่างยิ่ง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นฉากห้ำหั่นกันระหว่างคนสองคน แม้กรมกลาโหมกับกรมคลังจะเป็นเหมือนน้ำกับไฟ แต่ก็ไม่เคยฉีกหน้ากันซึ่ง ๆ หน้า ในทางกลับกันทายาทของพวกเขาช่าง… ตรงไปตรงมายิ่งนัก!
MANGA DISCUSSION