บทที่ 53 การแกล้งเป็นคนบ้าก็มีราคาที่ต้องจ่าย
ใต้พระบาทของฮ่องเต้ การ ‘ฆ่า’ ถือเป็นข้อห้าม มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถตัดสินชีวิตและความตายได้
รอยยิ้มบนพระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจางหายไปทันที อีกฝ่ายเย็นชาราวกับน้ำแข็ง สีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของพระองค์ทำให้ฉินเฟิงตกตะลึง เพียงชั่วครู่ ความสดชื่นจากสายลมฤดูใบไม้ผลิก็ได้เปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยว คำโบราณกล่าวว่า ‘อยู่กับฮ่องเต้ก็เหมือนอยู่กับพยัคฆ์’ ดูเหมือนจะเป็นจริงดังนั้น
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ หนิงหู่และคนอื่น ๆ ก็พรวดพราดออกมาจากประตูลานบ้าน โดยท่านโหวน้อยวิ่งนำคนอื่นมาแต่ไกล เขาตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “ฉินเฟิงเจ้าจะหนีไปไหน!”
ใบหน้าของหนิงหู่ดุร้ายมาก แต่อึดใจต่อมาเขาก็ต้องตกตะลึง ท่านโหวน้อยคุกเข่าโดยไม่ลังเล ก่อนจะก้มศีรษะลงกับพื้น “กระหม่อม… ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเสด็จมา กระหม่อมสมควรตาย”
หลี่รุ่ยและคนอื่น ๆ ที่ตามมาก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาต่างคุกเข่าลง และเอ่ยพร้อมกันว่า “ข้าน้อยเกือบแตะต้องพระวรกายแล้ว ฝ่าบาททรงโปรดอภัยโทษให้ข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ตามกฎหมายแคว้นต้าเหลียง ยศสามารถสืบทอดได้ แต่ตำแหน่งขุนนางไม่สามารถสืบทอดได้
ดังนั้นจึงมีเพียงหนิงหู่ที่แทนตนเองว่ากระหม่อม แม้ว่าคนอื่น ๆ จะเป็นบุตรหลานขุนนางสำคัญ แต่พวกเขาไม่มีสถานะขุนนาง จึงไม่ต่างอะไรจากพวกชนชั้นต่ำ
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็เข้าใจบางอย่างได้ทันที ความเย็นชาบนพระพักตร์จางหายไป เขาแย้มพระสรวลอีกครั้ง พลางตรัสเบา ๆ ว่า “ปรากฏว่าพวกเจ้าเพียงมีเรื่องกันเล็กน้อย เจิ้นคิดว่า…”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ได้ตรัสอะไรต่อ เมื่อพูดถึงเรื่องเข้าใจผิดนี้ ทั้งหมดเป็นความผิดของฉินเฟิงที่เอ็ดตะโรวุ่นวายไปเอง จะบอกว่าบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมโดนลอบฆ่าได้อย่างไร? หากมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นจริง ๆ จะมีผู้สมรู้ร่วมคิดกี่คนกัน?
เมื่อฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทอดพระเนตรไปยังฉินเฟิงอีกครั้ง กลับไร้เงาของอีกฝ่าย ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเยาะอย่างคนมีชัยดังมาจากด้านหลัง
“หึ! พวกเจ้าจะตีข้าไม่ใช่หรือ? มาสิ ข้าอยากจะรู้นักว่าใครจะกล้า”
เมื่อเห็นความพึงพอใจของฉินเฟิง หนิงหู่และคนอื่น ๆ ก็ตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างไรเสีย การใช้ความรุนแรงต่อหน้าฮ่องเต้ก็ถือเป็นความผิดที่ต้องถูกลงโทษ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงได้เห็นความบ้าคลั่งของฉินเฟิงมาแล้ว แม้เขาจะเป็นบุตรหลานขุนนางคนสำคัญ แต่ตามกฎก็ควรถูกกักบริเวณในจวนของตระกูล เพื่อหลีกเลี่ยงโทษสถานหนัก แต่เจ้าเด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงทั้งพิโรธทั้งเอ็นดูอีกฝ่าย จึงทำเพียงส่ายพระพักตร์พลางทรงพระสรวล “ฉินเฟิง เจ้ารู้จักสำนวนสุนัขอาศัยบารมีเจ้านายรังแกชาวบ้านหรือไม่”
นายน้อยฉินซึ่งหลบอยู่ด้านหลังฮ่องเต้ เงยหน้าขึ้นแล้ววางท่า ‘ครุ่นคิด’ เขาเงยหน้าพลางพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วกล้าวว่า “วาจาของฝ่าบาทนั้นผิดแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาพระองค์ก็แทบจะเข้ามาถลกหนังของฉินเฟิง สามัญชนไร้ตำแหน่งขุนนาง กล้ากล่าวโทษฝ่าบาทว่าคิดผิดได้อย่างไร? เขากำลังจะดุด่าด้วยความโกรธ แต่ฉินเฟิงก็พูดขึ้นเสียก่อน
“เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘คน’ ที่อาศัยบารมี ‘มังกร’ รังแกชาวบ้าน”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยพระพักตร์ ทรงพระสรวลเสียงดัง “ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นคนที่อาศัยบารมีมังกรรังแกชาวบ้านงั้นหรือ แม้เจ้าจะบ้า ๆ บอ ๆ แต่คำพูดของเจ้าก็ค่อนข้างใช้ได้ เอาละ! ไม่ต้องหลบซ่อนแล้ว เจิ้นอยู่ที่นี่ ใครจะกล้าทำร้ายเจ้าเล่า”
เมื่อมีคนคอยหนุนหลัง ฉินเฟิงก็แทบจะลอยขึ้นฟ้า เขาก้าวไปหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอย่างเย่อหยิ่ง ขณะที่ทุกคนรอบ ๆ ตัวต่างต้องการจะฆ่านายน้อยผู้นี้ให้ตาย ๆ ไปซะ หนิงหู่และบุตรขุนนางคนอื่น ๆ พากันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง แม้ทหารรักษาพระองค์จะพอไม่ใจที่บุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมทำผิดบ่อยครั้ง แต่หากฝ่าบาทโปรดปราน แล้วจะเป็นไรไปเล่า?
ฉินเฟิงไม่เกรงใจ ยกมือไพล่หลังและมองไปที่หนิงหู่กับคนอื่น ๆ ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น เขาเอ่ยอย่างถือดี “เมื่อกี้ใครกันจะตีข้า? แน่จริงก็ก้าวออกมาสิ”
หนิงหู่กัดฟันกรอด ถึงกระนั้นเขาก็ทำได้เพียงก้มศีรษะลง ไม่กล้าส่งเสียง
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก แม้ว่านางจะโกรธเกรี้ยว แต่ก็รู้สึกแปลกใจไปในคราวเดียวกัน
ฝ่าบาทเป็นนักวางแผน รู้จักเลือกใช้คน ไยจึงให้ค่าเจ้าบ้าฉินเฟิงผู้นี้มากนัก? นอกจากความหน้าด้านแล้ว เขายังมีข้อดีอันใดอีก?
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่ได้ห้ามปรามฉินเฟิงที่วางท่า ทำเพียงทอดพระเนตรมองชายหนุ่มเดินไปรอบ ๆ เมื่อฉินเฟิงเห็นว่าไม่มีใครกล้าตอบโต้ เขาก็เดินกลับมาอย่างพึงพอใจ ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าเหลียงจึงแย้มพระสรวล และเอ่ย
“ฉินเฟิง เมื่อครู่เจ้าพูดได้ดี”
ฉินเฟิงดูสับสน “หืม? พูดได้ดีหรือ เช่นนั้นกระหม่อมขอพูดอีกสักสองสามคำได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
หากฝ่าบาทมีรับสั่ง เช่นนั้น จะเอ่ยอะไรออกไปก็ไม่ใช่ความผิดของเขาแล้ว นายน้อยฉินกำลังจะอ้าปากพูดกับหนิงหู่และคนอื่น ๆ แต่ถูกฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงขัดขึ้นมาเสียก่อน
“สิ่งที่เจิ้นกล่าวถึงคือคำพูดเจ้าในงานเลี้ยงของจี้อ๋องต่างหาก”
“ยามนี้คลังของแคว้นต้าเหลียงว่างเปล่า เจิ้นในฐานะผู้นำย่อมเป็นต้นแบบในการประหยัดอดออม สิ่งใดลดได้ก็ลด แต่บรรดาบุตรหลานขุนนางในเมืองหลวงกลับใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย มอบของขวัญล้ำค่าให้แก่กัน สิ่งนี้ไม่เหมาะสมจริง ๆ”
“ได้ยินมาว่า เสนาบดีกรมกลาโหมไม่ได้มอบของขวัญ ประเสริฐยิ่งนัก! ส่วนเจ้ามอบน้ำตาลหนึ่งกระสอบใช่หรือไม่ อย่างไรเสียน้ำตาลก็เป็นของที่ใช้ได้จริง ดูเหมือนในเมืองหลวงแห่งนี้ยังพอมีคนที่ยินดีจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเจิ้นอยู่บ้าง”
ทันทีที่ประโยคเหล่านี้พรั่งพรูออกมาจากปากฝ่าบาท ฉินเฟิงแทบจะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ในขณะที่หลี่รุ่ยกับเฉิงฟาก็ก้มหน้าลงจนแทบจะมุดแผ่นดินหนี
การส่งของขวัญอันล้ำค่านั้น เดิมอยากให้จี้อ๋องชื่นชม แต่สุดท้ายกลับได้ความผิดกลับมา เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก*[1] จริง ๆ
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนายน้อยตระกูลฉินเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ลดเสียงลง และตรัสเบา ๆ ว่า “เจิ้นไม่เคยเห็นน้ำตาลทรายขาวมาก่อน ก่อนหน้านี้แวะชิมของจี้อ๋องมาเล็กน้อย สีและรสชาติดีจริง ๆ เกล็ดน้ำตาลเทียบไม่ได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หัวใจของฉินเฟิงก็หล่นวูบ ศีรษะที่เดิมยกสูงของเขาก้มต่ำลงทันที แม้อยากจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่รับรู้ แต่เมื่อนึกถึงความผิดทั้งหมดของตนที่ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงบันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กนั่น ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตัวว่านอนสอนง่าย
“ในเมื่อฝ่าบาทพอพระทัย กระหม่อมจะรับผิดชอบส่งน้ำตาลที่ทางพระราชวังต้องการใช้ในราคาย่อมเยาเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงหรี่ตามอง ส่งเสียง ‘โอ้’ แล้วแย้มพระสรวลพลางตรัสถาม “ไม่ทราบว่าราคาเท่าไหร่เล่า?”
เสียงลูกคิดในหัวของฉินเฟิงดังต๊อกแต๊ก หลังจากชั่งใจได้ก็ลองโยนหินถามทาง “ห้าแสนตำลึงเงิน?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงครุ่นคิด “ห้าแสนตำลึงเงินไม่น้อยไปสักหน่อยหรือ หนึ่งล้านตำลึงเงินเลยก็ได้ อีกทั้งน้ำตาลชนิดนี้ยังใหม่อยู่ เอาเพิ่มอีกหนึ่งล้านตำลึงเงินดีกว่า ปีละสองล้านตำลึงเงินเป็นอย่างไร?”
ดวงตาของฉินเฟิงส่องแสงสดใส แทบจะคุกเข่าหมอบลงในตอนนี้ ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ใต้หล้านี้ไม่มีฮ่องเต้พระองค์ไหนทรงพระปรีชาเช่นนี้อีกแล้ว!
ฉินเฟิงพยักหน้าหงึก ๆ “ในเมื่อเป็นความต้องการของฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ทำตามได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงแย้มพระสรวล “ดีมาก ก่อนสิ้นปี เงินจะถูกส่งไปยังพระคลัง เจิ้นเชื่อใจเจ้า ดังนั้นจะไม่ตรวจสอบบัญชีด้วยตัวเอง”
อะไรนะ!
ฉินเฟิงคิดว่าเขากำลังมีอาการประสาทหลอน “ไม่… ไม่ใช่ หมายความว่าอะไรนะฝ่าบาท? กระหม่อมมอบน้ำตาลให้ แล้วยังต้องให้เงินพระองค์อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายชุดดำที่อยู่ข้างฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็หยิบหนังสือเล่มเล็กออกมา
ฉินเฟิงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาวิ่งไปจับมือของชายชุดดำน้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ “พี่ชาย ท่านคือพี่ชายแท้ ๆ ของข้า ไม่ต้องจดอะไรแล้วตกลงไหม! สองล้านตำลึงเงินก็สองล้านตำลึงเงิน”
นายน้อยฉินแทบหลั่งเลือดออกมา ใช้เท้าคิดยังรู้ว่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงต้องได้ยินข่าวมาแล้วแน่ ๆ ฝ่าบาทรู้ว่าเขาตั้งราคาน้ำตาลไว้ที่ห้าร้อยตำลึงเงินต่อหนึ่งชั่ง จึงวางแผนแบ่งผลประโยชน์
โจร ชายคนนี้เป็นโจร เป็นโจรชัด ๆ! จะอ้อมค้อมไปมาเพื่ออะไร ทำไมไม่แย่งชิงไปเลยเล่า?
สองล้านตำลึงเงิน ใช้แต่งภรรยาได้ตั้งกี่คนกัน?
ฉินเฟิงแทบจะร้องไห้ เขาจะเย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไร ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วว่า ในใต้หล้านี้เหนือฟ้ายังมีฟ้า และการแกล้งเป็นคนบ้าก็มีราคาที่ต้องจ่าย!
[1] เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก : หมายถึง สูญเสียสองอย่างในคราวเดียวกัน
MANGA DISCUSSION