บทที่ 52 พุ่งเข้าชนพระวรกาย
ดวงตาของหนิงหู่เต็มไปด้วยความโกรธและสิ้นหวัง คิดไม่ถึงว่าเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์จะลงมือกับเขาเพื่อฉินเฟิงโดยไม่ลังเล! ระยะเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ ใบหน้าของหนิงหู่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้ง เขาออกแรงที่มืออย่างกะทันหัน ส่งผลให้ทั้งแส้ทั้งเจ้าของถูกดึงมาตรงหน้า
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์เองตกตะลึง นางไม่คาดคิดว่าหนิงหู่จะลงมือกับนางอย่างไม่ลังเลเพื่อแย่งตัวฉินเฟิง! ในอดีตปากอีกฝ่ายมักเอื้อนเอ่ยว่าชอบนางอย่างนั้นชอบนางอย่างนี้ ให้ตายเถอะ! บุรุษทุกคนล้วนเป็นกีบเท้าหมู*[1] เชื่อผียังดีกว่าเชื่อปากพล่อย ๆ ของพวกเขา! เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ยอมแพ้ ในขณะที่ถูกลากลอยไป นางก็ยกเท้าขึ้นเตะใบหน้าท่านโหวน้อยเข้าเต็ม ๆ
หนิงหู่ไม่ได้หลบเลี่ยง เขาใช้มืออีกข้างคว้าข้อเท้าของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ไว้ ตั้งใจจะเหวี่ยงนาง ทว่าสตรีนางนี้ร่ำเรียนวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก นางมีความสามารถมาก คุณหนูเซี่ยทะยานตัวขึ้นกลางอากาศ พลางใช้เท้าอีกข้างฟาดเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หนิงหู่ก้มตัวหลบลูกเตะเหินฟ้า จากนั้นออกแรงแขนขว้างเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ออกไป
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์หมุนตัวกลางอากาศอยู่หลายครั้ง ก่อนจะร่อนลงพื้นอย่างมั่นคง ร่างกายของนางเบาราวกับนกนางแอ่นโผบิน
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก่นด่าในใจ วันนี้เป็นวันอัปมงคลจริง ๆ เหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าทุกคนจงใจหาเรื่องนางกัน? หลังจากต่อสู้ไปครู่หนึ่ง อารมณ์ฉุนเฉียวของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็ปะทุขึ้น นางตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ารนหาที่ตายเองนะ!”
ทันทีที่เอ่ยจบ นางก็ฟาดแส้ในมือไปมาอย่างพริ้วไหว เสียง ‘เพียะ เพียะ เพียะ’ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฟังแล้วน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
หนิงหู่เป็นเชื้อสายแม่ทัพ อีกทั้งยังเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ์ ทั่วทั้งเมืองหลวงนี้ นอกจากทหารที่อยู่ในสนามรบตลอดทั้งปี มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปราบหนิงหู่ได้
เมื่อเผชิญหน้ากับแส้บินของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ ท่านโหวน้อยก็พลิกตัวหลบ บางครั้งกระโดดขึ้น บางครั้งก้มลง และบางครั้งก็หมุนตัวกลางอากาศ แส้ของคุณหนูเซี่ยไม่สามารถฟาดโดนท่านโหวน้อยได้แม้แต่ครั้งเดียว สงสารก็แต่พื้นศาลาแห่งนี้ เนื่องจากแส้นั้นทรงพลังอย่างมาก ทุกครั้งที่มันกระทบลงกับพื้น แผ่นหินสีฟ้าก็แตกออกเป็นชิ้น ๆ และเศษซากของมันก็ปลิวว่อนไปทั่ว
ตัวต้นเรื่องที่ก่อให้เกิดหายนะครั้งนี้ กำลังกอดเสาไปดูเหตุการณ์ไปด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เชร้ดดดดด ข้าเข้ามาอยู่ในหนังหรือนี่?”
ตามความเข้าใจของฉินเฟิง สิ่งที่เรียกว่า ‘ศิลปะการต่อสู้แบบจีน’ มีไว้สำหรับออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้สุขภาพแข็งแรงเท่านั้น ไม่สามารถใช้ต่อสู้จริง ๆ ได้ ไม่อย่างนั้นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ในโลกที่เขาจากมาคงไม่โดนเล่นงานจนน่วมกันง่าย ๆ ภาพตรงหน้าเกินกว่าฉินเฟิงจินตนาการเอาไว้มาก
หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง นายน้อยฉินก็ได้สติ
นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกว่า ‘ศิลปะการต่อสู้แบบจีน’ และ ‘วิทยายุทธ์’ ใช่หรือไม่? ความหมายของสองคำนี้ จริง ๆ แล้วแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวสินะ!
หากคนสองคนนี้อยู่ในโลกที่ฉินเฟิงจากมาล่ะก็ พวกเขาต้องคว้าถ้วยจากการแข่งขันต่อสู้ประเภทต่าง ๆ เป็นแน่
ฉินเฟิงตื่นเต้นจนอยากจะร้องชื่นชมว่ายอดเยี่ยม ทว่าเมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์หวดแส้ขึ้นไปเหนือศีรษะจนเกิดเสียงดัง พลันเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับร่องลึกเกือบครึ่งชุ่นอยู่บนยอดเสาหิน นั่นเกือบจะทำให้ฉินเฟิงฉี่ราดอยู่ตรงนั้นแล้ว
สติร้องบอกนายน้อยฉินว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งกินเมล็ดแตงอยู่ตรงนี้ ระหว่างสองคนนี้ไม่ว่าใครจะชนะ สุดท้ายคนซวยที่สุดก็คือเขา!
ฉินเฟิงทาน้ำมันลงบนฝ่าเท้าทันที เขากระโดดลงจากศาลา และวิ่งไปยังประตูโดยไม่หันกลับมามอง
พวกเจ้าจะตีก็ตีกันไป! ข้าจะกลับจวนไปเล่นโต้วตี้จู่กับเหล่าสาวใช้แล้ว ไม่มีเวลาคอยปรนนิบัติพวกเจ้า!
เมื่อเห็นว่าคู่แค้นกำลังจะหนี หลี่รุ่ยก็กระทืบเท้าอย่างร้อนรน เขาจะพลาดโอกาสในการยืมมีดฆ่าคนได้อย่างไร? นายน้อยหลี่ตะโกนใส่หนิงหู่ทันที “นายน้อยหนิง… ท่านโหวน้อย… หนิงหู่! ฉินเฟิงกำลังจะหนีไปแล้ว”
ตอนนี้หนิงหู่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรับมือกับเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ เขาจึงไม่ได้สนใจฉินเฟิงอีก แม้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์จะเห็นว่าฉินเฟิงกำลังวิ่งหนีไป แต่นางก็ไม่กล้าที่จะเสียสมาธิ และละสายตาไปจากหนิงหู่แม้แต่น้อย
ในขณะที่การต่อสู้อย่างดุเดือด และโกรธเกรี้ยว
นายน้อยฉินก็วิ่งเหยาะ ๆ ไปยังประตู พลางชี้ไปที่หลี่รุ่ยและขู่ว่า “หยุดตะโกนได้แล้ว แม้นายน้อยอย่างข้าจะเอาชนะหนิงหู่กับเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้ แต่มิได้หมายความว่าข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้เช่นกัน ขืนยังพูดมากอีก ข้าจะตบบ้องหูเจ้า!”
หลี่รุ่ยกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ ได้แต่มองดูฉินเฟิงวิ่งออกไปจากลาน
ฉินเฟิงหันไปสังเกตสถานการณ์เป็นระยะ ขณะกำลังวิ่งออกไป ชายหนุ่มเห็นว่าหนิงหู่กับเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ต่างก็กำลังไล่ตามมาทางนี้ หัวใจของเขาเต้นตุบตับ อดจะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไม่ได้ และผลจากการวิ่งหันหน้าหันหลังคือ เขาชนเข้ากับร่างหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว ชนเข้ากับหน้าอกอีกฝ่ายเต็ม ๆ
ฝ่ายตรงข้ามไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ฉินเฟิงรู้สึกราวกับชนกำแพงก็ไม่ปาน ชายหนุ่มล้มหงายหลังไปทันที
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเวลาปกติก็แล้วไปเถอะ อย่างไรเรื่องนี้ก็ต้องโทษฉินเฟิงที่ไม่ระวัง อย่างมากก็คงขอโทษแล้วแยกย้ายกัน แต่วันนี้เขาอยู่ในสถานการณ์ปกติเสียที่ไหน มีไอ้หมาบ้าและแม่เสือน้อยไล่ตามหลังมาติด ๆ ไม่ว่าใครจะเป็นคนจับเขาได้ ฉินเฟิงก็ต้องเละเป็นโจ๊กกองอยู่บนพื้นอยู่ดี เขาซวยจริง ๆ ดันมาชนกับคนอื่นเข้าในเวลานี้!
บุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมลูบหัวที่ยังคงวิงเวียน เอ่ยพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว “แม่งเอ๊ย”
ทันทีที่เอ่ยจบเท่านั้น ก็มีเสียง ‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’ ดังขึ้นข้างหู เมื่อนายน้อยฉินกลับมาได้สติ ก็พบว่ามีดาบยาวเจ็ดแปดเล่มจ่ออยู่ที่คอของเขาแล้ว
“สามหาว!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเปี่ยมโทสะ ฉินเฟิงรู้สึกราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน เขาเงยหน้าขึ้น พลันแผ่นหลังของชายหนุ่มก็เต็มโชกเหงื่อทันที
ทหารรักษาพระองค์หลายสิบนายสวมเสื้อแพรยืนอยู่ตรงหน้าเขา เจ็ดแปดนายจ่อดาบอยู่ที่คอ หากฉินเฟิงเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ศีรษะคงได้หลุดออกจากบ่าเป็นแน่! ขณะเดียวกันทหารรักษาพระองค์ที่เหลืออีกเจ็ดแปดคนยืนขนาบชายวัยกลางคนอยู่ พวกเขาพร้อมจะต่อสู้ทุกเมื่อ
ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม บนหัวมีมงกุฎหยก รูปลักษณ์โดยรวมดูสง่างามไม่หยอก เขากำลังก้มมองฉินเฟิงอย่างสนใจ
เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของชายวัยกลางคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน หัวใจของฉินเฟิงก็หายไปแล้วครึ่งดวง คนที่เขาเพิ่งชนไปไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น… ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง!
ชายหนุ่มชุดดำยืนอยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้ หยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาเงียบ ๆ เขาเขียนบางอย่างลงไปแล้วพึมพำ “ฝ่าบาทเสด็จประพาส ฉินเฟิงบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหม พุ่งเข้าชนพระวรกาย…”
ให้ตายเถอะ! ใครก็ตามที่ล่วงเกินฮ่องเต้จะถูกชายชุดดำบันทึกลงในหนังสือเล่มเล็ก รอวันคิดบัญชี เมื่อนึกถึงคราแรกที่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทในห้องทรงพระอักษร เกรงว่าคำพูด และการกระทำของฉินเฟิงจะถูกบันทึกไว้ทั้งหมด หากถูกคิดบัญชีเมื่อไหร่ ชีวิตตระกูลฉินเก้าชั่วโคตรก็คงไม่พอให้ชดใช้!
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโบกพระหัตถ์ ทหารรักษาพระองค์ทั้งหมดจึงถอยไปด้านหลัง
เมื่อเห็นฉินเฟิงจ้องมองไปที่ชายชุดดำ เขาก็ยิ้มอย่างสงบ “อย่าตกใจไปเลย เขาเป็นเพียงสือกวน*[2] ที่คอยบันทึกประวัติศาสตร์ของแคว้นต้าเหลียง เพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้รับรู้เท่านั้น”
รับรู้กับผีน่ะสิ! ฉินเฟิงสั่นสะท้านในใจ ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงมักมีรอยยิ้มบนใบหน้าที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าถึงได้ แต่จริง ๆ แล้วช่างเป็นคนโหดเหี้ยม แม้จะแย้มพระสรวลไปมาก็สามารถสั่งฆ่าคนได้ไม่ยาก คนผู้นี้น่ากลัวอยู่ไม่น้อย
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงยืนเอามือไพล่หลัง เอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง “ทุกคนต่างก็ฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋องอยู่ที่สวน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เล่า?”
นายน้อยฉินได้แต่คิดในใจ ‘ประโยคนี้ข้าควรจะถามท่านมากกว่า’ ในฐานะฮ่องเต้ แม้นี่จะเป็นงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของจี้อ๋อง แต่อย่างมากฝ่าบาทก็แค่ส่งหนังสืออวยพร หรือส่งของขวัญเล็กน้อยมาก็พอแล้ว เหตุใดถึง… เสด็จมาด้วยพระองค์เองเช่นนี้?
ภายในหัวของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม แต่สิ่งที่แสดงออกภายนอกกลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ทูลฝ่าบาท มีคนพยายามไล่สังหารกระหม่อม กระหม่อมไร้หนทางหนีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินดังนั้น ทหารรักษาพระองค์โดยรอบ ก็รู้สึกเหมือนกำลังจะได้เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเองก็ชะงักไปเช่นกัน “ที่นี่คือจวนจี้อ๋อง ผู้ใดกันบังอาจถึงเพียงนี้?”
[1] บุรุษทุกคนล้วนเป็นเป็นกีบเท้าหมู : หมายถึง ผู้ชายหลอกลวง หลายใจ
[2] สือกวน : หมายถึง เจ้าหน้าที่ในราชสำนักโบราณ ซึ่งมีหน้าที่รวบรวมเอกสารประวัติศาสตร์ และหนังสือของราชวงศ์
MANGA DISCUSSION