บทที่ 5 เจ้าซื้อบทกวีมาจากผู้อื่น!
บทกวีนี้เขียนโดยฉินเฟิงจริง ๆ หรือ?
หลังจากงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง หลิ่วหงเหยียนก็ส่ายหัว สลัดความคิดไร้สาระนี้ออกไป
หลิ่วหงเหยียนรู้จักน้องชายของตนดี เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นหนึ่งเรื่องกิน ดื่มเที่ยว และพนัน ถ้าถามเขาเกี่ยวกับบทกวีจริง ๆ ครึ่งวันคงยังไม่ได้แม้แต่ลมตด
แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก หลิ่วหงเหยียนก็โล่งใจอีกครั้ง อย่างน้อยฉินเฟิงก็ให้ความสนใจกับการสอบชุมนุมกวีครั้งนี้ และแอบเตรียมบทกวีสำรองไว้
ใบหน้าของเฉิงฟาซีดราวกับกระดาษ เขาไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่า ‘ออกด่าน’ บทนี้แต่งโดยฉินเฟิง อีกฝ่ายต้องไปคัดลอกหรือขโมยมาเป็นแน่ ทว่าไม่มีหลักฐานจึงเป็นการยากที่จะหักล้าง
ไม่ต้องพูดถึงการผ่านรอบคัดเลือกรอบแรก บทกวีนี้เพียงบทเดียวก็สามารถพาฉินเฟิงก้าวไปสู่รางวัลชนะเลิศในการสอบชุมนุมกวีครั้งนี้ได้!
ฉินเฟิงยิ้มตาหยีมองไปที่เฉิงฟา “ส่งเงินไปที่จวนข้าก่อนมืด ไม่เช่นนั้นข้าจะไปขอเงินจากบิดาเจ้า”
ใบหน้าของเฉิงฟาเปลี่ยนเป็นสีแดงซีด ครอบครัวของเขาเข้มงวดมาก หากท่านพ่อรู้ว่าเขาเที่ยวผู้หญิง เขาจะต้องถูกจับไปถลกหนังอย่างแน่นอน
อีกทั้ง… ตั้งหนึ่งแสนตำลึงเงิน ต่อให้ขายเฉิงฟาก็ยังไม่เพียงพอเลย
เฉิงฟาทำได้เพียงมองไปที่ฝูงชนเพื่อขอความช่วยเหลือ และเมื่อได้รับการตอบรับก็รู้สึกโล่งใจ เขาหันกลับไปมองฉินเฟิงและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“คนแซ่ฉิน เจ้าอย่าได้ใจไป! จะมีการสอบครั้งที่สองและการสอบระดับเมืองหลวงในภายหลัง หากบทกวีที่เจ้าเขียนต่อไปไม่ดีเท่า ‘ออกด่าน’ แสดงว่าเจ้าหลอกลวง!”
คำพูดนี้แทรกซึมเข้าไปในใจของทุกคน จริงหรือปลอม ภายหลังก็จะรู้เอง
ทว่าฉินเฟิงกลับไม่สนใจและถามอย่างติดตลก “เมื่อครู่ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
เฉิงฟาผงะไปครู่หนึ่ง สีหน้าแดงก่ำในทันที เขาเอ่ยเสียงแข็ง “ฮึ่ม! เจ้าน่ะหรือคู่ควรให้ข้าเรียกว่าท่านอาจารย์!”
“เช่นนั้นหรือ? ไอหยา พี่หญิงรอง ดูเหมือนว่าเราไม่ต้องรอถึงค่ำแล้ว ตอนนี้ท่านส่งคนไปที่ตระกูลเฉิงสักเที่ยวให้คนไปบอกพ่อเขาว่า ลูกชายคนนี้ไม่เพียงเป็นหนี้ค่าโสเภณีหนึ่งแสนตำลึงเงินเท่านั้น แต่ยังพูดไม่เป็นคำพูดอีกด้วย นี่เป็นการดูหมิ่นชื่อเสียงตระกูลเฉิงของเขา…”
ในอดีตฉินเฟิงเป็นคนพาล ตอนนี้สงสัยศีรษะคงได้รับความเสียหายจากน้ำเย็นจัดในคืนนั้น เจ้าตัวจึงยิ่งเลวมาร้ายกลับถึงเพียงนี้ เขากล้าที่จะไปชักดิ้นชักงอที่ตระกูลเฉิงเชียวหรือ?
เมื่อเห็นฉินเฟิงวางมือบนสะโพกและทำหน้าบูดบึ้งพร้อมเอ่ย “แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้” เฉิงฟาก็โกรธจนแทบจะอาเจียนเป็นเลือด
ขณะที่เขากำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและเตรียมก้มศีรษะเพื่อยอมรับความผิด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดจังหวะการเคลื่อนไหวของเฉิงฟา
“ช้าก่อน”
เฉิงฟาที่มีใบหน้าซีดเซียว พอได้ยินเสียงนี้ จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำแต่ก็คว้าฟางสายหนึ่งเอาไว้ได้
เมื่อหันศีรษะไปมอง ฉินเฟิงเห็นชายผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาแต่งกายด้วยเสื้อคลุมเรียบ ๆ ผมมวยสูง ในมือถือพัด คิ้วคู่คมสองข้างแสดงให้เห็นความเย่อหยิ่งโดยกำเนิด
จากความทรงจำของร่างนี้ ฉินเฟิงจำบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้าได้ อีกฝ่ายคือหลี่รุ่ย คนที่เคยวางแผนทำร้ายเขามาก่อน!
ในที่สุดไอ้เจ้าคนนี้ก็ปรากฏตัวแล้ว…
เกิดความโกลาหลขึ้นรอบ ๆ บัณฑิตชายทยอยคำนับหลี่รุ่ยทีละคน พวกเขาโค้งตัวขึ้นลงอยู่อย่างนั้น
บัณฑิตหญิงตรงไปตรงมายิ่งกว่า นางจับกลุ่มกันสองสามคนปิดปากและหัวเราะเบา ๆ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสามีในอุดมคติอยู่พักหนึ่ง
ฉินเฟิงโกรธมาก!
เขาจะโดนแฉหรือไม่นั้นไม่สำคัญแล้ว แต่เห็นชัด ๆ ว่าเจ้าหมอนี่ไม่หล่อเท่าเขา แล้วทำไมถึงเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ ได้?
ป้าทนได้แต่ลุงไม่ทน! *[1]
“โอ้? นายน้อยหลี่มิใช่หรือ? เมื่อไหร่ข้าจะได้พาน้องชายขึ้นเรือไปสนุกกับพวกสาว ๆ อีกเล่า?”
ฉินเฟิงตั้งใจแสดงท่าทางประจบสอพลอ แต่ในใจเขาเริ่มทักทายบรรพบุรุษของอีกฝ่ายไปแล้ว
ทันทีที่นายน้อยแห่งตระกูลฉินพูดจบ บรรยากาศก็อึดอัดขึ้นมาทันที
บัณฑิตหญิงรอบ ๆ มองไปที่ฉินเฟิงด้วยสายตาขุ่นเคือง ไอ้เจ้าคนมักมากนี่มาใส่ร้ายสุภาพบุรุษที่นางชื่นชมได้อย่างไร?
ใบหน้าของหลี่รุ่ยแข็งค้าง ไม่ได้คาดคิดว่าฉินเฟิงจะต้อนเขาให้จนมุมทันทีที่ปรากฏตัว
สมองเจ้านี่ถูกแช่แข็งจนใช้การไม่ได้แล้วหรือถึงลืมแม้กระทั่งความเหมาะสม? เปิดปากปิดปากก็พูดถึงแต่เรือ!
แล้วไอ้คำว่า ‘ไปสนุก’ นี่มันอะไร ถึงจะไม่เข้าใจแต่หลี่รุ่ยรู้ดีว่าต้องเป็นคำหยาบคายแน่ ๆ!
ช่างไร้ความเป็นวิญญูชนนัก!
วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับคนพาลอย่างฉินเฟิงคือการเพิกเฉย!
หลี่รุ่ยไม่ตอบรับ เขามองเฉิงฟาด้วยหางตา แสร้งทำเป็นวางมาดสูงส่งเอ่ยว่า “ว่ากันว่าศิษย์ดีเพราะมีครูดี เห็นได้ชัดว่าตนเป็นเพียงแค่บัณฑิต แต่จะให้ผู้อื่นเรียกว่าท่านอาจารย์ มีอย่างที่ไหนกัน! ต่อให้ใครไม่สนใจ ทว่าข้าหลี่รุ่ยไม่มีวันยินยอมให้เรื่องบิดเบี้ยวและชั่วร้ายพรรค์นี้เกิดขึ้น!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ดวงตาของบัณฑิตที่อยู่รอบ ๆ ก็ลุกโชนอีกครั้ง พวกเขาเกือบจะยกให้หลี่รุ่ยเป็นบุคคลต้นแบบอันหนึ่งในหัวใจแล้ว
ฉินเฟิงดูถูกอีกฝ่ายอยู่ในใจ เจ้านี่แสร้งทำเป็นลูกวัว*[2]ได้เก่งนัก ผิดกับตอนที่อยู่บนเรือลิบลับ วาจาอีกฝ่ายพราวเสน่ห์ไม่ได้ด้อย เที่ยวนารีก็ไม่ได้พร่อง ตอนนี้มาทำตัวเป็นแบบอย่างทางศีลธรรมหรือ?
ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือสายตาของหลี่รุ่ยที่มองมาที่เขา แวบแรกดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่อมาจะมีท่าทีบึ้งตึง…
ในฐานะพนักงานขายระดับสูง สิ่งที่ฉินเฟิงทำได้ดีที่สุดคือการสังเกตคำพูดและการแสดงออก
…
สายตาอีกฝ่ายแทบจะตะโกนออกมาบอกเขาว่า ไอ้หนู ที่แท้เจ้ายังไม่ตายจริง ๆ
สิ่งนี้ยืนยันการคาดเดาของฉินเฟิงได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้เขาเคยโดนวางยาพิษและถูกโยนลงแม่น้ำ เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลี่รุ่ยแน่นอน!
อีกฝ่ายวางยาเขาก่อนแล้วจึงทำให้อับอายในที่สาธารณะ หากเป็นเช่นนี้เกรงว่าเจ้าหลี่รุ่ยจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะฆ่าตัวตาย
ความจริงก็เหมือนกับที่ฉินเฟิงคิด เพื่อไม่ให้มากเรื่องมากความ หลี่รุ่ยเพียงแค่ต้องการกำจัดเสี้ยนหนามอย่างเขาให้เร็วที่สุด
อีกฝ่ายสวมหน้ากากสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรมปกปิดจิตใจอันโสโครก ก่อนจะส่ายหัวและพูดว่า “บทกวี ‘ออกด่าน’ เป็นบทกวีชั้นยอด แต่เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าหลิ่วหงเหยียนพี่สาวของเจ้าได้มาจากเซี่ยจิ้นซื่อด้วยการจ่ายไปหมื่นตำลึงเงินเล่า? “
ทันทีที่พูดจบ ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในหมู่ผู้ฟัง
“โถ่ ข้าก็คิดว่าฉินเฟิงเปลี่ยนสันดานได้แล้วจริง ๆ ไม่คิดมาก่อนว่าบทกวีบทนี้จะถูกซื้อมา?”
“นายน้อยหลี่ไม่มีทางโกหก! ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้จริงไม่แปดก็เก้าส่วน ผู้ที่จำบทกวีไม่ได้แม้แต่สองสามบทอย่างฉินเฟิง จู่ ๆ ก็อ้างว่าตนเขียนบทกวีขึ้นและยังใช้ถ้อยคำที่โดดเด่นล้ำยุคถึงเพียงนั้นได้ ทุกคนเชื่อเขาหรือ ?”
“กล่าวได้สมเหตุสมผล! มาดูกันว่าเขาจะตอบอย่างไร…”
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงกลายเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์สาธารณะ หลี่รุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยัน
เจ้างี่เง่า กล้าเล่นกับข้า คิดว่าเจ้าคู่ควรรึ?
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงทำราวกับนี่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง คล้ายกับว่าคำพูดเมื่อครู่ไม่เกี่ยวกับเขาแม้แต่ปลายขน นายน้อยตระกูลฉินหรี่ตามองไฟแห่งการซุบซิบที่กำลังลุกโชน
“เจ้าไปได้ยินเรื่องลับ ๆ เช่นนี้มาจากที่ไหน? หรือว่าเจ้าแอบจับตามองพี่สาวข้า? ให้ตายเถอะ เจ้ามันโรคจิตจริง ๆ” ฉินเฟิงเบิกตากว้าง ก่อนจะถอยหลังไปสองก้าวด้วยท่าทางรังเกียจ
หลี่รุ่ยตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าของเขาก็แดงขึ้น ไอ้สารเลวนี่ไม่ได้เล่นไพ่ตามกฎสามัญสำนึกจริง ๆ!
การซื้อบทกวีเป็นการทุจริตย่อมถูกเก็บเป็นความลับ หลี่รุ่ยได้ยินข่าวลือนี้ได้อย่างไร เขาจะต้องใช้วิธีลับ ๆ เป็นแน่ ไม่ว่าแรงจูงใจจะเป็นเช่นไรล้วนละเมิดหลักการของความเป็นสุภาพบุรุษ
หากยอมรับว่าใช้กลอุบายก็เป็นคนถ่อย หากไม่ยอมรับก็จะเป็นโรคจิตตามปากของฉินเฟิง
ฉินเฟิง ดูเหมือนปากเจ้าหมอนี่จะเต็มไปด้วยคำพูดใส่ร้ายป้ายสี เมื่อเอ่ยปากก็สังหารได้ในคราวเดียว
เดิมทีหลิ่วหงเหยียนรู้สึกประหม่าพอสมควร ทว่าคำพูดของฉินเฟิงทำให้นางหัวเราะออกมา ใบหน้าเล็ก ๆ แดงฝาด และให้ความร่วมมือกับฉินเฟิงโดยปริยาย นางเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “คุณหนูอย่างข้ามีสายตาสูงส่ง จะมองเห็นการจับตามองเช่นนั้นได้อย่างไร… โรคจิต?”
เมื่อได้ยินนางกล่าว ใบหน้าของหลี่รุ่ยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะค่อย ๆ ซีดเผือด จากนั้นเขาก็ใช้อุบายเดิมคือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและโบกมือ “ข้ารู้ดีว่าเจ้าต้องไม่ยอมรับ แต่บังเอิญว่าวันนี้เซี่ยจิ้นซื่อก็อยู่ในสำนักศึกษาด้วย!”
ทันทีที่สิ้นเสียง นักปราชญ์วัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากฝูงชน
เขาตัวเล็กดูผ่ายผอม มีหนวดสองเส้น รวม ๆ แล้วหน้าตาน่าขนลุกพิลึก
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นจิ้นซื่อ*[3] ทว่ากลับไม่ได้ทำตัวอย่างบัณฑิตผู้มีศักดิ์หากแต่ทักทายหลี่รุ่ยอย่างประจบสอพลอ “ฮี่ ๆ คารวะนายน้อยหลี่ คารวะทุกท่าน”
หัวใจของหลิ่วหงเหยียนเต้นไม่เป็นจังหวะ คาดไม่ถึงว่าเซี่ยจิ้นซื่อจะถูกซื้อตัวไปแล้ว!
แม้ว่าบทกวี ‘ออกด่าน’ จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา แต่ถ้าข่าวการซื้อบทกวีหลุดไปจะต้องส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลฉินอย่างแน่นอน
จะทำอย่างไรดี?
ในขณะที่นางกำลังตื่นตระหนก ฉินเฟิงที่อยู่ข้างกายก็หัวเราะออกมาดังลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่แท้เจ้าคือเซี่ยจิ้นซื่อ? ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเข้าสู่ราชสำนักไม่ได้แม้มีชื่อเสียง”
“ต้าเหลียงเรามีกฎอย่างชัดเจนว่าห้ามไม่ให้ผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติ ‘น่าเกรงขาม’ เข้ารับราชการ!”
“เซี่ยจิ้นซื่อมีภาพลักษณ์เช่นนี้ หากกลายเป็นขุนนางต้าเหลียง เกรงว่าคนชาติอื่นจะหัวเราะเยาะเอากระมัง?”
[1] ป้าทนได้แต่ลุงไม่ทน : เป็นสิ่งที่สุดจะทน
[2] แสร้งทำเป็นลูกวัว : จงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อให้คนอื่นปกป้อง
[3] จิ้นซื่อ : บัณฑิตขั้นสูง เป็นผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับราชสำนักหรือระดับราชวังที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี หากบัณฑิตคนใดสอบได้เป็นจิ้นซื่อก็มีโอกาสได้เป็นขุนนางในราชสำนักสูง
MANGA DISCUSSION