บทที่ 48 สตรีผู้โหดเหี้ยม
คนผู้นี้อายุอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ร่างกายไม่ถือว่ากำยำล่ำสันแต่ก็ดูแข็งแรง ดวงตาอันเฉียบคมคู่นั้น เผยให้เห็นความสง่างามตามแบบฉบับของเด็กหนุ่มทว่าก็ดูเป็นผู้ใหญ่
สายตาของหลี่รุ่ยแหลมคม มองปราดเดียวก็จำท่านโหวน้อยแห่งจวนอันกั๋วโหวได้ทันที เขารีบส่งสายตาให้เฉิงฟา
เฉิงฟาทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “งานเลี้ยงเริ่มนานแล้ว ไยท่านโหวน้อยถึงเพิ่งมาเล่า?”
หนิงหู่เหลือบมองเฉิงฟาอย่างไม่ใส่ใจนัก เขาตอบกลับเสียงเรียบ “มีบางอย่างทำให้ข้าล่าช้า”
ดวงตาคู่คม กวาดไปยังร่างของทุกคนที่อยู่ในงานเพื่อตามหาเป้าหมาย
เฉิงฟารู้นิสัยหนิงหู่ผู้นี้ดี หากไม่จำเป็นจริง ๆ ก็ไม่อยากจะยั่วยุอีกฝ่าย แต่ตอนนี้มีเพียงแค่หนิงหู่เท่านั้นที่จะสามารถ ‘ปราบ’ คนชั่วอย่างฉินเฟิงได้ บุตรชายเลขาธิการกรมคลังกัดฟันชวนท่านโหวน้อยสนทนาเรื่องสัพเพเหระด้วยรอยยิ้ม
“ท่านโหวน้อย ท่านกำลังมองหาฉินเฟิงใช่หรือไม่?”
หนิงหู่ขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาติดจะรำคาญ “เจ้ามีเรื่องอะไร? หากไม่มีก็ถอยออกไป! มายุ่งวุ่นวายอะไรที่นี่?”
เฉิงฟาต้องคุกเข่าลงที่สำนักศึกษาเซิ่งหลิน ต่อมา ฉินเฟิงก็หลอกเอาเงินเขาหนึ่งแสนตำลึงเงินอีก เรื่องพวกนี้หนิงหู่ได้ยินมาหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้ท่านโหวน้อยจึงดูถูกเฉิงฟาจากก้นบึ้งของหัวใจ
เมื่อประจบประแจงแล้วแต่อีกฝ่ายไม่สนใจ เฉิงฟาจึงทำได้เพียงฝืนยิ้ม แล้วถอยออกไปอย่างหดหู่
หลี่รุ่ยที่อยู่ไม่ไกลเห็นเช่นนั้นก็แอบด่าบุตรชายเลขาธิการกรมคลังในใจว่าไร้ประโยชน์ นายน้อยหลี่ไม่มีทางเลือก นอกจากต้องออกหน้าไปทักทายด้วยตนเอง “ท่านโหวน้อย ยินดีที่ได้พบ”
หนิงหู่ไม่ได้มองหลี่รุ่ยในแง่ดีมากนัก แต่คนผู้นี้จะอย่างไรก็เป็นถึงบุตรชายเสนาบดีกรมคลัง มีฐานะค่อนข้างสูง ท่านโหวหนุ่มจึงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างอดทน แล้วตรงเข้าประเด็น “เจ้าเห็นฉินเฟิงหรือไม่”
ในเมื่อเป้าหมายของหนิงหู่ชัดเจน หลี่รุ่ยจึงไม่อ้อมค้อม ชี้มือไปที่เรือนด้านข้าง “ก่อนหน้านี้ เห็นว่าเดินไปที่เรือนด้านข้าง”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นายน้อยหลี่ก็เปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าได้ยินมาว่าเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ก็มางานนี้ด้วย หรือเขาไปหาเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์แล้ว”
เป็นดังที่หลี่รุ่ยคาด พอเขากล่าวจบ ใบหน้าของหนิงหู่ก็บึ้งตึงทันที แววตาท่านโหวน้อยดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง ไม่รั้งรอ หนิงหู่เร่งก้าวไปที่เรือนด้านข้างโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อมองดูแผ่นหลังของท่านโหวน้อย หลี่รุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “ต่อให้พูดอย่างไรก็ไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน ฉินเฟิงเจ้าชอบล้อเล่นนักมิใช่หรือ? ข้าอยากรู้นัก ว่าเจ้าจะจัดการพยัคฆ์น้อยตัวนี้อย่างไร!”
หนิงหู่เผยใบหน้าเย็นชา ดูราวกับพยัคฆ์ที่กำลังโกรธเกรี้ยว
ท่านโหวน้อยอย่างเขาชมชอบเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครบ้างไม่รู้? แม้เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์จะไม่ได้สนใจเขามากนัก แต่นานวันเข้าความรักย่อมก่อตัวขึ้นได้ ตราบใดที่เขาอดทน วันหนึ่งเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ คงจะใจอ่อน ความจริงข้อนี้ทำให้นายน้อยเสเพลทั้งหลาย รักษาระยะห่างต่อนางเสมอ
ด้านหนึ่งกลัวเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์อยู่แล้ว ส่วนอีกด้านหนึ่งก็กลัวจะทำให้หนิงหู่ขุ่นเคือง
แต่ดูเหมือนเจ้าฉินเฟิงผู้นั้นจะไม่ดูตาม้าตาเรือ ถึงกับกล้าถ้ำมองเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ และป่าวประกาศเรื่องลับ ๆ ในร่มผ้าของนางออกไป
หากไม่ใช่เพราะช่วงนี้เขามีเรื่องยุ่งวุ่นวาย เขาคงหาโอกาสดักตีไอ้นายน้อยเจ้าสำราญนั่นนานแล้ว! คงไม่รีรอจนถึงวันนี้!
คนอื่นอาจไม่ต้องการยั่วยุฉินเฟิง แต่หนิงหู่ไม่สนใจ
ชอบเล่นลูกไม้นักไม่ใช่หรือ? งั้นก็เล่นเถิด! เล่นแรง ๆ ไปเลย เดี๋ยวข้าจะคอยตบปากเจ้าเอง!
ในช่วงคับขันนี้ ฉินเฟิงผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวกำลังนั่งไขว่ห้างพิงศาลา โยนเปลือกถั่วไปพลาง ชื่นชมบุปผาไปพลาง ปล่อยให้แสงอาทิตย์อบอุ่นส่องกระทบลงบนใบหน้า พ่อค้าหน้าเลือดเมื่อครู่ ตอนนี้ดูราวกับผู้สูงศักดิ์ คนค้ากำไรเกินควรกลายเป็นงานศิลปะชั้นเยี่ยมไปแล้วเรียบร้อย
‘ยามอิ่มท้อง อุ่นกาย ฝักใฝ่ตัณหาราคะ’ ประโยคนี้จริงแท้ เพราะนายน้อยตระกูลฉินกำลังคิดอยู่ในใจว่า จะเปลี่ยนหลิ่วหงเหยียนหรือพี่หญิงรองของเขามาเป็นภรรยาได้อย่างไร
“ฉินเฟิง?!”
ขณะที่ชายหนุ่มจินตนาการถึงเรื่องวาบหวิว ด้วยใบหน้าเปี่ยมความปรารถนา เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
ฉินเฟิงถูกดึงกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง เมื่อลุกขึ้น แล้วหันกลับไปมอง ดวงตาของเขาก็พราวระยับ
ไม่รู้ว่าโฉมงามนางนี้มายืนอยู่หลังศาลาตั้งแต่เมื่อใด
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอายุราว ๆ สิบแปดหรือสิบเก้าปี นางสวมอาภรณ์สีแดง ตัดกับผมสีดำที่ขดเป็นมวยสวยงามอยู่บนศีรษะ คิ้วเรียวดุจใบหลิว ดวงตารูปผลซิ่ง และริมฝีปากกระจุ๋มกระจิ๋มสีอิงเถา ขับให้ใบหน้านั้นน่ารักไม่หยอก ใบหน้าสวรรค์ปั้นแต่งนั่นดูสับสนและเย่อหยิ่งอยู่ในที
ฉินเฟิงตื่นเต้นยิ่ง สงสัยวันนี้จะเป็นฤกษ์ดีของเขาจริง ๆ ชายหนุ่มไม่เพียงประสบความสำเร็จในการโฆษณาน้ำตาลทรายขาวจนทำเงินได้มากมาย แต่ยังมีสาวงามมาหาถึงที่ นายน้อยตระกูลฉินเปลี่ยนท่าทีที่ดูโง่เขลา วางท่าเป็นนายน้อยรูปงาม พยายามนึกไปถึงท่วงท่าของคนหน้าซื่อใจคดอย่างหลี่รุ่ยทันที
“ใช่แล้ว ข้าคือฉินเฟิง ยินดีที่ได้พบ ไม่ทราบว่าคุณหนูรู้จักข้าได้อย่างไร”
หลังจากยืนยันได้ว่าคนตรงหน้าคือฉินเฟิง สตรีในชุดสีแดงอุทานขึ้นแผ่วเบา “โอ้” ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “ข้าย่อมรู้จักเจ้า ต่อให้เจ้าจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ข้าก็ไม่มีทางลืม!”
ทำไมคำพูดคำจานางดูแปลก ๆ ชอบกล? ฉินเฟิงพึมพำอยู่ในใจครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม รูปร่างหน้าตาของแม่ลูกเจี๊ยบตัวนี้ยั่วยวนให้เขาอยากขย้ำเป็นที่สุด ชายหนุ่มจึงไม่ลังเล ยกยิ้มตาหยีและพูดว่า “พูดเกินจริงไปหรือเปล่า? หรือเจ้าเป็นบัณฑิตหญิงจากสำนักศึกษาเซิ่งหลินที่ชื่นชมพรสวรรค์ทางวรรณกรรมของข้า จนพัฒนาเป็นแอบชอบ?”
สตรีผู้มาใหม่ถูกยั่วโมโหจนต้องหัวเราะออกมา นางก้าวไปที่ศาลา น้ำเสียงของนางดูน่าสยองชอบกล “หึ ๆ ข้าได้ยินมาว่านายน้อยตระกูลฉินไร้ยางอายมาก วันนี้ได้พบ ยอมรับว่าสมคำร่ำลือยิ่ง! เจ้าไม่ต้องกังวล คุณหนูเช่นข้ามีประสบการณ์จัดการกับคนเช่นเจ้ามามากมายนัก!”
นายน้อยตระกูลฉินรู้สึกได้ถึงความอาฆาตแค้นในดวงตาของสตรีตรงหน้า เขารีบพิจารณารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พลันความทรงจำของชีวิตก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ในที่สุดเขาก็จำได้ว่านางเป็นใคร
“เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์?!”
ขณะเอ่ยชื่อนี้ออกมา ฉินเฟิงก็ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ บุตรีของหนิงกั๋วกงเซี่ยปี้ เป็นที่รู้จักทั่วเมืองหลวง ในฐานะสตรีหัวรุนแรง นอกจากหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์แล้ว ไม่มีใครที่นางไม่กล้าทุบตี! ทั้งยังลงมืออย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย ใคร ๆ ต่างก็ขนานนามแม่นางผู้นี้ว่า ‘โฉมงามอสรพิษ’ ซวยชะมัด! ทำไมข้าต้องมาเจอนางด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังอยู่คนเดียว ไม่มีแม้แต่ผู้คุ้มกันอีก หากอีกฝ่ายทำอะไรเหนือความคาดหมายขึ้นมา ข้าคงไม่มีโอกาสได้หลั่งน้ำตาด้วยซ้ำ!
ยิ่งช่วงนี้มีข่าวลือไปทั่วเมืองหลวงว่า นายน้อยฉินถ้ำมองเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ แม้แต่ไฝบนร่างกายของนางก็รู้รายละเอียด ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า เรื่องนี้ต้องมีใครสักคนจงใจใส่ร้ายเขา เพื่อยืมดาบฆ่าคน!
ฉินเฟิงก้าวถอยหลังและฝืนยิ้ม “ที่แท้เป็นคุณหนูเซี่ย ข้าตาฝ้าฟางเสียแล้วจึงจำท่านไม่ได้ เหตุใดคุณหนูเซี่ยไม่อยู่ในงานเลี้ยงเล่า มาที่นี่ทำไมหรือ? เรือนด้านข้างกว้างใหญ่ พวกเราชายหญิงอยู่ตามลำพังเช่นนี้ หากมีข่าวลือออกไป เกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงคุณหนูต้องมัวหมองเสียเปล่า ๆ”
ตอนนายน้อยฉินไม่พูดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พอเขาพูดจบเท่านั้นแหละ สีหน้าของเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์พลันเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาราวผลซิ่งของนางแผ่รังสีอำมหิตออกมา “ชื่อเสียงหรือ? ข้ายังมีชื่อเสียงอะไรให้มัวหมองได้อีก ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าข้า… ข้า… ข้ามีไฝตรงนั้น! ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเจ้า ข้าเซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์ถึงได้ตกเป็นหัวข้อสนทนาของเหล่าคนไร้ยางอาย!”
“ในเมื่อวันนี้ได้พบกัน ข้าก็ต้องขอบคุณ และตอบแทนเจ้าให้สาสม!”
ไม่วิ่งตอนนี้ แล้วจะวิ่งตอนไหน?!
รักษาชีวิตสำคัญกว่า!
ฉินเฟิงหันหลังกลับเตรียมใส่เกียร์หมา แต่วิ่งออกไปได้เพียงสองก้าว ขาขวาก็เจ็บแปลบขึ้นมา ชายหนุ่มเสียหลัก ล้มโครมลงกับพื้นอย่างแรง เขายกมือกอดขาขวาพลางยิ้มแยกเขี้ยวยิงฟัน “มีคนจะฆ่ากันแล้ว ช่วยด้วย เซี่ยอวิ๋นเอ๋อร์กำลังจะฆ่าข้า!”
MANGA DISCUSSION