บทที่ 42 ลือไปทั่วเมืองหลวง
ฉินเฟิงยัดพิมพ์เขียวลงในอ้อมแขนฉินเสี่ยวฝู ก่อนจะจับเด็กหนุ่มพลิกตัว แล้วเตะเข้าที่ก้นหนึ่งที พร้อมเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“ร้องหาผีบรรพบุรุษเจ้าหรือ! นาน ๆ ทีพวกพี่หญิงที่ดุอย่างกับเสือจะตามไม่ทันข้า! หากเรื่องซื้อหอสุราหลุดออกไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ รีบไปส่งพิมพ์เขียวซะ ห้ามทำหายเด็ดขาด นี่เป็นสิ่งที่ข้าตรากตรำทำมาตลอดทั้งบ่ายเชียว!”
ฉินเฟิงโยนบ่าวคู่ใจออกไปนอกห้อง เขาเรียกเสี่ยวเซียงเซียงให้เข้ามาล้างหน้าให้ จากนั้นก็ตระกองกอดนาง และเดินตรงไปยังห้องนอน
เสี่ยวเซียงเซียงตกใจจนร่างอรชรยืนแทบไม่อยู่ ทว่านางไม่กล้าที่จะล้มพับลงไป จึงได้แต่ขดตัวเป็นก้อนกลม แล้วเอ่ยอย่างประหม่า “นะ…นายน้อย ชูเฟิงยังอยู่เจ้าค่ะ”
“โอ้ งั้นก็ดีเลย!” ดวงตาชายหนุ่มเป็นประกาย “เรียกนางเข้ามาสิ แล้วข้าจะสอนพวกเจ้าเล่นโต้วตี้จู่*[1]”
โต้วตี้จู่ สู้กับเจ้าของที่ดิน? เสี่ยวเซียงเซียงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงการละเล่นหยาบโลน ระหว่างเจ้าของบ้านกับสาวใช้ตัวน้อย แก้มของนางแดงก่ำ เอ่ยออกมาอย่างเขินอาย “นายน้อยไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ต้องบอกว่าสู้กับ…กวนเหริน*[2] ถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
“หืม สู้กับกวนเหริน? สู้กับคู่รักน่ะหรือ?” ฉินเฟิงผู้มีจิตใจลามกเข้าใจทันทีว่าเสี่ยวเซียงเซียงหมายถึงอะไร ชายหนุ่มอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ “เสี่ยวเซียงเซียงรู้จักเล่นเสียด้วย คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะ ‘เล่น’ เก่งเพียงนี้”
แก้มของสาวใช้ตัวน้อยที่แดงอยู่แล้วสุกปลั่งขึ้นอีก “นั่นไม่ใช่สิ่งที่นายน้อยหมายถึงหรือเจ้าคะ?”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นบนใบหน้าชายหนุ่ม “เจ้ารู้จักไพ่เก้า หรือการทอยลูกเต๋าในโรงพนันหรือไม่? โต้วตี้จู่เป็นเกมไพ่ชนิดหนึ่งเท่านั้น เสี่ยวเซียงเซียงของข้าคิดไปถึงไหนกัน? ยอมรับมาเถิดว่า หัวเล็ก ๆ นี่เอาคิดเรื่องที่ไม่เหมาะกับเด็กตลอดทั้งวัน”
เสี่ยวเซียงเซียงอับอายจนแทบจะเป็นลม นางจะรู้จักโต้วตี้จู่อะไรนั่นได้อย่างไร สาวใช้ตัวน้อยรีบเปลี่ยนเรื่อง “นายน้อย ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าน้อยเดินด้วยตนเองได้”
ฉินเฟิงปฏิเสธทันที ชายหนุ่มกอดเสี่ยวเซียงเซียงแน่นขึ้น “ข้าตัดใจไม่ได้จริง ๆ เจ้าไม่อยากเป็นอนุข้าจริงหรือ?”
เสี่ยวเซียงเซียงรู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเพียงการล้อตนเองเล่นเท่านั้น
สถานะของนางตอนนี้จะมีคุณสมบัติเพียงพอต่อการเป็นอนุได้อย่างไร?
แต่พอได้ยินคำพูดหยอกเอินของนายน้อย ประกอบกับสายตาที่ทำให้ใจเต้นแรง นางก็อดดีใจไม่ได้
เสี่ยวเซียงเซียงไม่ขัดขืนอีกต่อไป ยอมให้ฉินเฟิงกกกอดแต่โดยดี
ชูเฟิงบังเอิญเข้ามาเห็นฉากนี้เข้า นางหน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ พลันหันหลังเตรียมเดินจากไป ทว่าฉินเฟิงกลับรั้งไว้เสียก่อน
“เจ้ามาได้จังหวะพอดี รีบเข้ามาเล่นโต้วตี้จู่ด้วยกันในห้องเถอะ”
ร่างของชูเฟิงสั่นอยู่ครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะจินตนาการภาพประหลาด ๆ ในใจ เป็นภาพของนายน้อยตระกูลฉินใช้ผ้าปิดตาตนเอง เอื้อมมือคลำไปรอบ ๆ ห้อง ขณะที่สาวใช้ทั้งสองขยับหนีไปรอบโต๊ะ
ชูเฟิงฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก แทบจะไม่เคยใกล้ชิดกับบุรุษเลย คนอ่อนประสบการณ์อย่างนางจะยืนหยัดอยู่ในการละเล่นที่เร้าอารมณ์ขนาดนั้นได้อย่างไร ร่างชูเฟิงร้อนผะผ่าว จะก้าวขาก็ก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนตัวแข็งอยู่กับที่
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของชูเฟิง ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะแอบถอนหายใจ ทำไมสมองของเด็กพวกนี้จึงมีแต่ความคิดลามกเล่า? นายน้อยคนนี้แค่อยากจะเล่นไพ่ พวกเจ้าคิดไปถึงไหนกันแล้ว!
อีกด้านหนึ่ง ที่ชั้นบนสุดของหอเซียนเมามาย ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง มีเสียงหัวเราะดังก้องอยู่ไม่หยุด
นับตั้งแต่ฉินเฟิงมาสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ให้หอเซียนเมามาย จ้าวฉางฟู่ก็คับแค้นใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะยามนึกถึงเรื่องที่ตนต้องคุกเข่าให้กับไอ้จอมเสเพลนั่นในที่สาธารณะ ทั้งยังถูกมันยีหัวเล่นอีก! ยิ่งคิดควาามแค้นในใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ทว่าวันนี้จ้าวฉางฟู่กลับอารมณ์ดียิ่ง หลังจากดื่มสุราไปสองกาก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฮ่า ๆๆ น่าขันยิ่งนัก! เวลานี้ คำพูดของบุตรชายจอมสุรุ่ยสุร่ายของเสนาบดีกรมคลังกระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เจ้านั่นถึงกับทุ่มหนึ่งแสนตำลึงเงินเพื่อซื้อหอสุราธารหยก และใช้อีกสามหมื่นตำลึงเงินในการตกแต่งร้าน”
“หึ งานยังไม่คืบหน้าสักกระผีก แต่กลับทุ่มเงินไปแล้วถึงหนึ่งแสนสามหมื่นตำลึงเงิน หากฉินเทียนหู่รู้เข้า ไม่ใช่ว่าจะโมโหจนอาเจียนเป็นเลือดหรอกหรือ?”
อู๋ยงที่มาด้วยกัน มือซ้ายโอบนางรำ ส่วนมือขวาถือแก้วสุรา สองแก้มแดงปลั่ง ใบหน้าเปี่ยมสุข
ก่อนหน้านี้เขาถูกไอ้ฉินเฟิงทุบตี และทำให้อับอายในที่สาธารณะ อู๋ยงสาบานกับตัวเองว่า หากไม่ได้แก้แค้นมันจะไม่ขอเป็นคนอีก ในฐานะบุตรชายเสนาบดีกรมขุนนาง ถือว่าสถานะอู๋ยงกับฉินเฟิงทัดเทียมกัน แล้วเหตุใดเขาต้องกลัวอีกฝ่าย?
ทว่าเมื่ออู๋ยงนำเรื่องนี้ไปบอกบิดา เขากลับถูกดุแสกหน้าโครม ๆ ผู้เป็นบิดาอ้างว่าสถานการณ์ในราชสำนักซับซ้อน หากเขาลงไม้ลงมือกับฉินเฟิง นั่นจะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า ตระกูลเรายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉินเทียนหู่ ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้คิดอยากจะเป็นกลางก็เป็นไม่ได้แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้เจ้าฉินเฟิงอาศัยความบ้าของตน สร้างปัญหามากมายไปทั่วเมืองหลวง ถ้าจัดการกับคนประเภทนี้ ต้องจัดการอย่างจริงจัง หากไม่แล้ว สุดท้ายมันจะวกกลับมาสร้างความเสียหายให้ในที่สุด
อู๋ยงไม่เชื่อสักนิดว่าฉินเฟิงเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ แต่แล้วอย่างไร เขาจะเชื่อหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะสิ่งสำคัญคือ ฝ่าบาทเชื่อมัน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับการเผชิญหน้ากับนายน้อยตระกูลฉิน แต่สิ่งควรทำตอนนี้คือ การปกป้องตัวเองอย่างชาญฉลาด
ที่ผ่านมานายน้อยอู๋ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะไม่สามารถหาโอกาสจัดการกับนายน้อยเจ้าสำราญได้ ในที่สุดเขาก็ได้ข่าวว่า ฉินเฟิงทุ่มเงินจำนวนมากซื้อหอสุราธารหยก
สวรรค์เห็นใจข้าแล้วเป็นแน่!
“ไอ้สารเลวนั่นขู่ว่าจะโค่นหอเซียนเมามายภายในครึ่งเดือน ช่างเป็นเรื่องตลกไร้สาระสิ้นดี หากข้าออกหน้าซื้อหอสุราพัง ๆ นั่น เต็มที่ก็มีราคาเพียงหนึ่งหมื่นตำลึงเงินเท่านั้น ฉินเฟิงยังไม่ทันได้เริ่มกิจการ ก็ขาดทุนไปแล้วหนึ่งแสนสองหมื่นตำลึงเงิน ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะคืนทุนได้? เขาคือบุตรจอมล้างผลาญจริง ๆ!”
เสียงหัวเราะของจ้าวฉางฟู่ค่อย ๆ เงียบลง เหลือเพียงสีหน้าเย็นชา เขาคว้านางรำข้างกายมาลูบคลำอย่างรุนแรงสองสามครั้ง แล้วเอ่ยคำพูดที่เต็มไปด้วยความอำมหิต
“ทำตัวเป็นนายน้อยเสเพล กินเที่ยวรอความตายอยู่ในโอวาทเช่นเดิมก็ดีอยู่แล้ว คิดว่าใครก็ทำกิจการได้ง่าย ๆ อย่างนั้นรึ? รายได้ที่หลั่งไหลเข้าหอเซียนเมามายในแต่ละวันไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันตำลึงเงิน นับว่าทำกำไรมหาศาลเมื่อเทียบกับบรรดาหอสุราอื่น ๆ ในเมืองหลวง ต่อให้หอเซียนเมามายจะล้มละลายจริง ๆ กิจการของฉินเฟิงก็ไม่มีวันขึ้นมาเทียบเคียงได้!”
“สองในสามของรายได้หอเซียนเมามายมาจากบรรดาขุนนางใหญ่ และเหล่าทายาทขุนนางในราชสำนัก หากไม่มีภูมิหลังของคนเช่นองค์ชายรองเป็นผู้สนับสนุน ต่อให้กิจการของฉินเฟิงจะไปได้ดีเพียงใด เพดานการค้าขายรายวันมากที่สุดก็แค่เพียงหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึงเท่านั้น หากนำมาหักลบต้นทุน การคืนทุนภายในแปดปีหรือสิบปี ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย!”
หอสุราเป็นกิจการประเภทน้ำน้อยค่อย ๆ ไหลทว่าไหลนาน*[3] แม้กำไรในแต่ละวันจะไม่สูง ทว่าหนึ่งปีมีสามร้อยหกสิบห้าวัน และทุกวันก็มีรายได้เข้ามาตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ‘ชื่อเสียง’ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับกิจการนี้ นิสัยอันธพาลแบบฉินเฟิง แน่นอนว่าเหล่าบุคคลสำคัญในเมืองหลวงย่อมไม่มีวันอุปถัมภ์เขา!
“โค่นหอเซียนเมามายภายในครึ่งเดือนหรือ? ฮ่า ๆๆ” จ้าวฉางฟู่พึมพำ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “คุยโวโอ้อวด! หากหอสุราใหญ่ธารหยกนั่นยืนหยัดได้ถึงเดือน ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว! ถึงเวลานั้นข้าจะสอนเขาให้รู้ซึ้งถึงวิธีสร้างกิจการเอง! “
ตลอดทั้งคืนนายน้อยฉินไม่ได้อยู่เฉย เขาเล่นสนุกกับสาวใช้ทั้งสองบนเตียง แน่นอนว่าเรื่องสนุกสนานบนเตียงนั้น หนีไม่พ้นโต้วตี้จู่!
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงกำลังนอนหลับสนิท อยู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บหู พอลืมตาขึ้นก็พบว่า ใบหน้าสวย ๆ ของหลิ่วหงเหยียน แทบจะชนกับหน้าเขาอยู่รอมร่อ
ฝันร้าย? ใช่! มันต้องเป็นฝันร้ายแน่ ๆ!
นายน้อยฉินพลิกตัวเตรียมนอนต่อ แต่ก้นของเขาดันถูกหยิกอย่างไร้ปรานีเสียก่อน ชายหนุ่มพลันตาสว่าง เด้งตัวหลบไปมุมเตียงทันที
“พี่หญิงรอง! ท่านมาทำอะไรตั้งแต่เช้า!” ฉินเฟิงปิดก้นตนเอง นอนบิดไปบิดมาอยู่บนเตียง เพราะกลัวจะโดนคุณหนูรองประทุษร้ายเป็นรอบที่สอง เห็นได้ชัดว่าพี่หญิงผู้นี้มีมือหยกเรียวยาว นุ่มละเอียด แต่เหตุใดเวลาหยิกจึงเหมือนมีกรงเล็บพยัคฆ์โผล่ออกมากัน เจ็บจี๊ดทะลุหัวใจเลยจริง ๆ!
[1] โต้วตี้จู่ : ไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด ในเกมจะแบ่งผู้เล่นออกเป็นสองฝ่าย คือเจ้าของที่ดินหนึ่งคน และชาวนาอีกสองคน ชาวนาสองคนต้องร่วมมือกันเอาชนะเจ้าของที่ดินให้ได้ เจ้าของที่ดินจะมีสิทธิ์ได้ออกไพ่ก่อน และได้ไพ่มากกว่าชาวนา 3 ใบ ไม่ว่าผู้เล่นจะเป็นชาวนาหรือเจ้าของที่ดิน ฝ่ายที่ไพ่ในมือหมดก่อนจะเป็นผู้ชนะ
[2] กวนเหริน : เป็นคำเรียกเจ้าหน้าที่ราชการในยุคถัง ต่อมายุคซ่งใช้เป็นคำเรียกบุรุษ และยังเป็นคำที่สตรีใช้เรียกสามีเล่น ๆ ในสมัยโบราณด้วย
[3] น้ำน้อยค่อย ๆ ไหลทว่าไหลนาน : หมายถึง เก็บเล็กผสมน้อยได้รายได้ทีละเล็กละน้อยแต่ไม่ขาดตอน
MANGA DISCUSSION