บทที่ 40 ช่างฝีมือต้องโทษ
ช่างฝีมือทุกคนล้วนต้องสั่งสมประสบการณ์เป็นเวลานาน เพราะในสมัยนี้เครื่องไม้เครื่องมือที่สะดวกมีไม่มากนัก แม้แต่ตะปูธรรมดา ๆ ก็ยังหายาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้านหรือตกแต่ง กว่าเก้าส่วนล้วนต้องใช้การเข้าเดือย*[1] ในการประกอบไม้ ข้อจำกัดเหล่านี้ถือเป็นแบบทดสอบทักษะ และประสบการณ์ของช่างฝีมือ
เจ้าเด็กหลู่หมิงที่อยู่ตรงหน้าเขา ไม่ว่าจะนั่งมอง หรือนอนมองก็ไม่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ช่างฝีมือผู้ชำนาญ’ เลยสักนิด แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ดื้อรั้นของอีกฝ่าย ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะให้โอกาสเขาสักครั้ง
“เงยหน้าขึ้น”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง ร่างของหลู่หมิงก็สั่นเล็กน้อย สภาพเด็กหนุ่มตอนนี้อย่าเรียกว่ากังวลใจเลย พูดว่าหวาดกลัวจะเข้าเค้าเสียกว่า
เดิมทีคณะช่างตระกูลจางบ้านแตกสาแหรกขาดก็เพราะไปยุ่งเกี่ยวกับพวกขุนนาง และฉินเฟิงก็เป็นหนึ่งในลูกหลานขุนนางที่มีอำนาจมากในเมืองหลวง เมื่อทำงานให้กับคนเช่นนี้ หากมีข้อผิดพลาดแม้เพียงนิด อย่าว่าแต่ไม่ได้รับค่าจ้างเลย แม้แต่ชีวิตน้อย ๆ ที่มีก็ต้องจ่ายชดใช้
เมื่อเห็นว่าหลู่หมิงห่วงหน้าพะวงหลัง ฉินเสี่ยวฝูก็เอ่ยแทรก พลางมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว “นายน้อยบอกให้เจ้าเงยหน้าขึ้น หูของเจ้าไม่ได้ยินรึ!”
ผู้เป็นนายไม่ได้หยุดฉินเสี่ยวฝูที่กำลังเบ่งใส่ผู้อื่น ไม่ว่าเขาจะเป็นเจ้าของกิจการ หรือนายน้อยที่มีชื่อเสียง ข้างกายย่อมขาด ‘ผู้ร้าย’ ที่ภักดีไปไม่ได้
ดังคำที่ว่า คนดีถูกรังแก ม้าดีถูกคนขี่
คนอื่น ๆ จะมองบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมอย่างไรไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล การควบคุมสถานการณ์ในช่วงเวลาสำคัญได้ต่างหากที่ควรคำนึงถึง หากปล่อยให้คนมาเหยียบย่ำศักดิ์ศรี แล้วต่อไปใครจะเคารพเล่า?
ฝูงชนกินแตงในที่เกิดเหตุต่างรู้เรื่องความฉาวโฉ่ของฉินเฟิงดี พวกเขาพากันสลด ไม่กล้าพูดอะไรออกมาให้มากความ
หลู่หมิงรวบรวมความกล้าค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ เด็กหนุ่มไม่เพียงแต่มีใบหน้าสกปรกเท่านั้น โหนกแก้มซูบตอบนั่นยืนยันได้ชัดเจนว่า เขาขาดสารอาหารมาเป็นเวลานาน ทว่าดวงตาที่มองมาคู่นั้นกลับสดใสและมั่นคง
ฉินเฟิงมองหลู่หมิงด้วยท่าทีผ่อนคลาย “เจ้าอายุเท่าไหร่? เป็นช่างฝีมือมากี่ปี? ถนัดงานอะไร?”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนใหญ่คนโตแห่งเมืองหลวง หลู่หมิงย่อมไม่กล้าชักช้า “ข้าน้อยอายุสิบเก้าปี ตั้งแต่อายุสามขวบก็ทำงานกับผู้ใหญ่ในครอบครัวแล้ว ทั้งงานไม้ งานปั้น งานหลอม การตกแต่ง ข้าทำได้ดีทั้งหมดขอรับ”
แม้ว่าช่างฝีมือที่อัดแน่นอยู่ในฝูงชนจะดูถูกหลู่หมิงแต่ก็ไม่มีใครโต้แย้ง ในเมืองหลวงหากคณะช่างตระกูลจางเป็นที่สองก็คงไม่มีใครกล้าบอกว่าตนเป็นที่หนึ่ง
เมื่อได้ฟังคำโฆษณาของหลู่หมิง นายน้อยตระกูลฉินก็แสดงออกว่าสนใจทันที คาดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะมีทักษะรอบด้าน ชายหนุ่มจึงถามทันที
“แม้ว่าทักษะของเจ้าจะไม่ธรรมดา แต่การตกแต่งหอสุราเป็นงานใหญ่ และข้ามีเวลาให้ทำงานเพียงสามวันเท่านั้น เจ้ารับงานแค่คนเดียว เกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้กระมัง”
เมื่อรู้สึกได้ถึงความเคลือบแคลงในสายตาฉินเฟิง หลู่หมิงก็กำหมัดแน่น เด็กหนุ่มโพล่งออกไปทันที
“มีช่างฝีมือดีจำนวนนับไม่ถ้วนในคณะช่างตระกูลจาง ท่านลุง ท่านอาหลายคนเคยทำเครื่องใช้มากมายให้พระราชวังต้องห้าม หากนายน้อยไม่เชื่อ ลองถามช่างฝีมือที่อยู่ที่นี่ก็ได้ ข้าน้อยได้รับการสั่งสอนโดยตรงจากท่านลุง หากพูดเรื่องทักษะช่างฝีมือแล้ว ในเมืองหลวงแห่งนี้ข้าไม่แพ้ใครหน้าไหนทั้งนั้น!”
“ภายในสามวัน หากข้าน้อยไม่สามารถทำให้นายน้อยพอใจได้ ไม่เพียงแต่จะไม่รับเงินสักอีแปะ ข้าน้อยจะยอมชดใช้ด้วยชีวิต!”
จากสายตาที่แน่วแน่ของหลู่หมิง นายน้อยฉินรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นคน ‘หัวรั้น’ พูดตามตรง คนประเภทนี้รับมือได้ยาก แต่พอทำงานแล้วก็จริงจังอย่างถึงที่สุด คงเป็นจิตวิญญาณของช่างฝีมือกระมัง
จริง ๆ ฉินเฟิงประทับใจเด็กคนนี้ตั้งแต่แรก แต่ก่อนที่จะพยักหน้าตกลง เขายังคงถามอีกหนึ่งประโยคว่า “ในเมื่อเจ้าโคตรเจ๋ง เก่งกาจเพียงนี้ ไยชีวิตไปได้ไม่สวยเท่าไหร่เล่า?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลู่หมิงก็ผงะไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ คำพูดของคนต่ำต้อยไร้ค่า ต่อให้เขาจะใช้ชีวิตราคาถูกของตัวเองเป็นหลักประกัน ก็ยังไม่อาจได้รับความไว้วางใจจากนายน้อย
เมื่อเห็นหลู่หมิงมีสีหน้าเศร้าสร้อยราวกับกำลัง ‘อับอาย’ ฉินเฟิงก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าความหมายของ ‘โคตรเจ๋ง’*[2] ในยุคนี้แตกต่างออกไป มันหมายถึงอวัยวะส่วนหนึ่งของแม่วัว
นับตั้งแต่ชูเฟิงติดตามฉินเฟิง ก็ได้ฟังนายน้อยผู้นี้พูดคำประหลาด ๆ เช่น ‘โคตรเจ๋ง ไอ้เบื๊อก ไอ้กาก ปัญญาอ่อน’ ตลอดทั้งวัน
ตอนแรกนางคิดว่าฉินเฟิงไม่ได้รับการศึกษาเลยมีนิสัยแย่ยิ่งกว่าพวกคนถ่อย และอันธพาลข้างถนน
แต่หลังจากอยู่กับเขามากขึ้น นางก็ได้เรียนรู้จากฉินเสี่ยวฝูว่า ภาษาหยาบคายของนายน้อยมีความหมายที่แตกต่างออกไป
ชูเฟิงรู้ว่านายน้อยกำลังสนใจในตัวหลู่หมิงมาก เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะถอยออกไปจึงเอ่ยเตือนเขา “นายน้อยกำลังชมเจ้า ไยเจ้ายังไม่ตอบอีก!”
“เอ๋?” หลู่หมิงตกอยู่ในอาการมึนงงอีกครั้ง เขาไม่เคยได้ยินใครใช้คำหยาบคายเช่นนี้ชมเชยผู้อื่นมาก่อน
อย่างไรก็ตาม หลู่หมิงไม่ได้ถามซอกแซก งานตกแต่งหอสุราครั้งนี้สำคัญกับเขามาก เขาจะทำให้คณะช่างตระกูลจางฟื้นตัวขึ้นมาได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับงานครั้งนี้!
เด็กหนุ่มคุกเข่าลงบนพื้น น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้าปนคับแค้น “ไม่กล้าปิดบังนายน้อย ข้าน้อยเป็นคนมีคดีติดตัว แม้ว่าจะโชคดีรอดชีวิตมา โทษประหารสามารถละเว้นได้ แต่โทษอื่นก็ยังต้องชดใช้อยู่ ชีวิตนี้ห้ามไม่ให้มีส่วนร่วมในงานช่างฝีมือใด ๆ อีก หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกครั้งที่จับเครื่องมือจะถูกตัดนิ้วออกหนึ่งนิ้ว”
แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้นี่เอง นายน้อยฉินแสยะยิ้มในใจ ช่างฝีมือชาวบ้านทำงานหนักเพื่อราชสำนักมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ย้อมแมวขายเลย ส่วนใหญ่พวกเขาต้องควักเนื้อตัวเองจ่ายเพื่อปรับปรุงคุณภาพงานด้วยซ้ำ
เรื่องนี้ใช้หัวนิ้วโป้งเท้าคิดยังรู้ได้ว่า ต้องเป็นขุนนางกรมโยธาที่ยักยอกเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเป็นแน่ พอเรื่องแดงขึ้นมาเลยโยนให้คณะช่างตระกูลจางเป็นแพะรับบาป
ฉินเฟิงสั่งให้เสี่ยวเซียงเซียงหยิบตั๋วเงินห้าพันตำลึงเงินออกมา ก่อนจะมอบให้หลู่หมิงและพูดเบา ๆ ว่า “ข้าเลือกเจ้าเด็กนี่ เงินก้อนนี้เป็นเงินมัดจำ หลังงานสำเร็จลุล่วงค่อยมาเอาเงินอีกสามหมื่นตำลึงเงิน หากทำไม่ได้ตามตกลง ผลที่ตามมาข้าคงไม่ต้องพูดมาก เจ้าเองก็คงรู้ดี”
หลู่หมิงถือตั๋วเงินที่ ‘หนักอึ้ง’ ขึ้นมา รู้สึกราวกับว่ากำลังฝันไป
ในฐานะบุคคลที่มีคดีติดตัว ทั้งยังตัวคนเดียว อย่าว่าแต่ครอบครัวใหญ่ ๆ เลย แม้แต่คนธรรมดาที่จะซ่อมแซมบ้านยังเยาะเย้ยเขา ทว่านายน้อยฉินผู้เป็นที่รู้จักในนาม ‘นายน้อยเจ้าสำราญ’ กลับหยิบยื่นโอกาส
หลู่หมิงตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ควรจะพูดอะไรออกมา
ฉินเฟิงไม่ต้องการให้อีกฝ่ายพูดพล่ามอะไรมากมาย แค่ทำงานให้ดีก็ประเสริฐกว่าสิ่งอื่นใดแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าหอสุราจะเปิดตัวได้ตามกำหนดเวลา ชายหนุ่มจำเป็นต้องแสดงจุดยืน อย่างน้อยก็เพื่อให้หลู่หมิงไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเอง
นายน้อยฉินสังเกตเห็นมือปราบปะปนอยู่ในฝูงชนเนืองแน่นมานานแล้ว จึงสั่งให้ฉินเสี่ยวฝูแอบไปพาตัวเขามาหนึ่งคน
เมื่อเผชิญหน้ากับบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหม ขาของมือปราบก็สั่นด้วยความวิตกกังวล ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าตอนร้องไห้เสียอีก “นายน้อยฉินสั่งมาได้เลย ข้าน้อยสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด”
ฉินเฟิงเหยียดนิ้วก้อยออก แคะจมูกตัวเองเบา ๆ ก่อนจะถูมันลงบนอาภรณ์ของมือปราบ เขาช่วยอีกฝ่ายจัดรอยยับบนเสื้อผ้า พลางตอบคำถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ “เข้าใจที่ข้าพูดไหม?”
“เข้าใจขอรับ” มือปราบพูดติดอ่างอย่างประหม่า “หลู่หมิงเป็นคนของนายน้อยฉิน ข้าน้อยจะไปรายงานให้นายท่านทราบเมื่อกลับไป มือปราบทุกคนจะไม่กล้าแตะแม้แต่ปลายผมของเขา”
ใช้ได้ พูดรู้เรื่องดี
ฉินเฟิงโบกมือ บอกให้มือปราบออกไปได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รีบร้อนจากไป
[1] การเข้าเดือย : เป็นวิธีการเข้าไม้ กล่าวคือ ยึดไม้ให้ติดเข้าด้วยกัน โดยไม้ท่อนหนึ่งจะถูกตัดออกมาให้เหลือเพียงแกนกลางที่ยื่นออกมาตามความต้องการ เราเรียกส่วนนี้ว่า ‘เดือย’ ส่วนอีกท่อนหนึ่งจะถูกเจาะให้เป็นรูลึกลงไป ความกว้างของรูจะขนาดพอดีกับเดือย เราเรียกรูนี้ว่า ‘ร่องเดือย’
[2] เจ๋ง (牛比) : คำแสลง มาจากภาษาตงเป่ยของจีน แต่เดิมหมายถึง อวัยวะเพศของวัวตัวเมีย ต่อมาแพร่หลายในอินเตอร์เน็ต ใช้ในความหมายว่า โคตรเจ๋ง
MANGA DISCUSSION