บทที่ 38 ถลุงเงินเป็นเบี้ย
เมื่อเห็นว่าเสิ่นชิงฉือยกไม้ทับกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง ชายชาตรีอย่างฉินเฟิงย่อมไม่ยอมเสียเปรียบ เขาวิ่งหนีราวกับทาน้ำมันบนฝ่าเท้า
“น่าชังนัก! คำพูดของสตรีเชื่อถือไม่ได้ ยิ่งสวยยิ่งไม่อาจเชื่อถือ!”
นายน้อยฉินเอามือไพล่หลัง ใบหน้าแสดงออกว่าไม่พอใจอย่างถึงที่สุด ชายหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจที่บริสุทธิ์ของตนโดนโจมตีถึงหนึ่งหมื่นจุดวิกฤติ เขาเพียงแค่อยากดูแลเหล่าพี่สาว แล้วมันผิดอะไร? เหตุใดพวกนางทุกคนต้องวางตนเป็นปฏิปักษ์กับเขา?
เมื่อเห็นใบหน้าเศร้าหมองของผู้เป็นนาย ชูเฟิงก็เย้าแหย่เสี่ยวเซียงเซียงเสียงต่ำว่า “อันที่จริง… นายน้อยถึงวัยที่จะพูดคุยเรื่องการแต่งงานได้แล้ว หากเป็นผู้อื่น เมื่ออายุได้สิบสามหรือสิบสี่ปีต่างก็ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต ถึงแม้จะยังแต่งภรรยาเอกไม่ได้ก็รับอนุเข้าไปก่อน”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘รับอนุ’ เสี่ยวเซียงเซียงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ นางหน้าแดงขึ้นมาทันที “อ๋า! อ้อ ก็… ก็ใช่”
ฉินเสี่ยวฝูเดินตามหลังฉินเฟิงต้อย ๆ นับตั้งแต่นายน้อยซัดจวนตระกูลเฉิง เตะจวนตระกูลหลี่ จนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง เด็กหนุ่มก็เลื่อมใสศรัทธาเขาอย่างไม่มีข้อแม้ หากไม่ใช่เพราะฉินเฟิงไม่ชอบผู้ชาย ฉินเสี่ยวฝูปรารถนาอย่างยิ่งว่าจะตรงเข้าห้องนอนไปรับใช้เขายามกลางคืน
“นายน้อย ท่านจะไปไหนขอรับ?”
ฉินเฟิงกำลังหงุดหงิด จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ตอนนี้ข้าอารมณ์เสียมาก ต้องใช้เงินระบายความหงุดหงิด”
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของฉินเสี่ยวฝูก็เปล่งประกายทันที ในฐานะสุนัขที่ภักดีต่อนายน้อย ผลประโยชน์ต่าง ๆ ย่อมตกมาถึง อย่าลืมว่าเด็กหนุ่มเพิ่งได้รับรางวัลหนึ่งร้อยตำลึงเงินตอนอยู่หอวิจิตรศิลป์มาฟรี ๆ “นายน้อยต้องการใช้เงิน? ดียิ่งขอรับ เพียงแต่ว่าถนนสายนี้ไม่มีหอนางโลม หากอยากใช้เงินต้องใช้ให้ฉลาด เช่นนั้นไม่สู้ไปถนนสายหน้าดีกว่าขอรับ ได้ยินมาว่าหออี๋หงมีคนมาใหม่สองคน เหมือนคำที่ท่านว่าไว้ไม่มีผิด น่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม”
ฉินเฟิงไม่หยุดฝีเท้า ตั้งท่ารอฉินเสี่ยวฝู และเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ก็โดนเขกหน้าผากเข้าอย่างแรง
นอกจากข้าจะไม่สามารถจัดการแม่นางเหล่านั้นได้ แล้วยังจัดการเจ้าไม่ได้อีกรึ?
ฉินเสี่ยวฝูปิดหน้าผากของตนแทนที่จะร้อนใจ กลับหัวเราะออกมา “นายน้อยเคาะทีเดียว ข้าน้อยก็รู้สึกว่าหูตาสว่างขึ้นมาทันทีเลยขอรับ”
ชูเฟิงและเสี่ยวเซียงเซียงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาเมื่อเห็นใบหน้าประจบประแจงของฉินเสี่ยวฝู
นายน้อยฉินเอามือไพล่หลัง ย่างก้าวราวกับทหารที่ผ่านศึกมามาก เขาเดินตามถนนไปพลางสั่งสอนไปพลาง “เจ้าใช้เงินกับนายน้อยใช้เงินเหมือนกันอย่างนั้นหรือ? บ่าวใช้เงิน ภูเขาเงินภูเขาทองอาจถูกใช้จนหมด แต่นายน้อยอย่างข้าใช้เงิน ยิ่งใช้มาก ยิ่งได้มาก ดังคำกล่าวที่ว่าเงินสร้างเงิน”
ฉินเสี่ยวฝูไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการทำกิจการมากนัก เด็กหนุ่มไม่เข้าใจความแปลกประหลาดของฉินเฟิง เขารู้เพียงว่าสิ่งที่นายน้อยพูดถูกต้องทุกประการ
ในฐานะพ่อค้า ฉินเฟิงย่อมต้องซื่อสัตย์ หากเอ่ยออกไปแล้วว่าต้องการทำลายหอเซียนเมามายก็ต้องทำลายให้ได้
หากเวลานั้นมาถึง เขาจะสร้างหอสุราขึ้นมาเป็นเครือข่าย ผูกขาดธุรกิจอาหารชั้นนำทั้งหมดในเมืองหลวง และสร้างรายได้จากพวกขุนนางชั้นสูง คิด ๆ ดูแล้วนี่เป็นงานอดิเรกที่ไม่เลวเลย
แน่นอนว่า นอกจากเรื่องทำเงินแล้ว ยังมีเหตุผลเบื้องลึกซ่อนอยู่ด้วย
หอเซียนเมามายเล็ก ๆ แห่งนั้นไม่ได้สลักสำคัญ สิ่งสำคัญคือองค์ชายรองผู้อยู่เบื้องหลังต่างหาก
แม้ว่าองค์ชายรองจะกำลังเจรจากับกรมคลังอยู่ แต่ก่อนเจ้าสาวจะเข้าห้องหอ ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้
หากหอเซียนเมามายล้มละลายลงจริง ๆ คงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์ชายรองที่จะไม่ใส่ใจฉินเฟิง แม้ว่าในระยะแรกองค์ชายรองจะเกลียดเขามาก แต่โบราณว่าไว้ ‘ไม่มีศัตรูถาวร มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ถาวร’ ตราบใดที่ร่วมมือกับองค์ชายรองได้ก็จะเป็นคุณูปการอย่างยิ่ง ผลลัพธ์ท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร นายน้อยฉินไม่ได้สนใจมากนัก
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังชี้นิ้วสั่งฉินเฟิงให้ช่วยหาเงิน ไม่ว่าองค์ชายรองจะสูงศักดิ์แค่ไหน ก็ไม่อาจมีอำนาจมากไปกว่าฮ่องเต้ไม่ใช่หรือ?
ยิ่งคนมีความกล้า แผ่นดินยิ่งงอกงาม
ยิ่งคนขี้ขลาด แผ่นดินยิ่งเป็นทุกข์ทรมาน
นี่คือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาแต่โบราณ
ทันใดนั้น นายน้อยฉินก็หยุดฝีเท้าลงช้า ๆ สายตาของเขามองไปยังหอสุราที่อยู่ไม่ไกล
ป้าย ‘หอสุราธารหยก’ แขวนอยู่บนประตู หอสุราแห่งนี้มีสามชั้น ดูยิ่งใหญ่หรูหรามาก
น่าเสียดายที่อยู่ใกล้กับหอเซียนเมามายมากเกินไป และใกล้จะเจ๊งเต็มที หน้าประตูโล่งไร้ผู้คน ว่างจนแทบจะกางตาข่ายจับนกได้ หลงจู๊ที่นั่งอยู่หน้าร้านไม่มีภาระงานกำลังหยอกล้อกับแมลงวัน
“ที่นี่แหละ”
ฉินเฟิงมองดูหอสุราใกล้ล้มละลาย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยิ่งชอบ เขาก้าวเข้าไปในห้องโถงโดยไม่รอช้า จากนั้นก็แย้มยิ้มให้หลงจู๊ที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “หลงจู๊ มาคุยเรื่องกิจการกันหน่อยไหม?”
ในฐานะนายน้อยเจ้าสำราญผู้โด่งดังแห่งเมืองหลวง หลงจู๊ย่อมจำฉินเฟิงได้ในทันที เขารีบลุกขึ้นคารวะอย่างรวดเร็ว พร้อมเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “นายน้อยฉิน? ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่ขอรับ?”
ฉินเฟิงไม่มีเวลาเปลืองน้ำลายคุยกับอีกฝ่าย จึงถามตรงเข้าหัวข้อ “เจ้าของร้านอยู่หรือไม่?”
หลงจู๊พยักหน้าและโค้งคำนับ “ทำให้นายน้อยฉินขบขันแล้ว ข้าน้อยเป็นทั้งหลงจู๊และเจ้าของร้านขอรับ”
หลงจู๊ผู้นี้แซ่เฉิน เขาไม่ใช่คนท้องถิ่น เขาสร้างหอสุราในเมืองหลวงด้วยเงินออมจากบรรพบุรุษ ในอดีตที่นี่ก็เคยเป็นที่นิยมมาก่อน ทว่าเมื่อมีหอเซียนเมามาย หอสุราธารหยกนับวันก็ยิ่งจืดจาง แม้แต่หลงจู๊ก็ไม่อาจจ้างไหว เจ้าของร้านจึงได้แต่ต้องออกมารับหน้าเอง
ฉินเฟิงหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาตบลงเบื้องหน้าหลงจู๊ สองตามองไปรอบ ๆ หอสุรา ก่อนจะพูดอย่างเหม่อลอยว่า “ไม่ต้องนับ ทั้งหมดหนึ่งแสนตำลึงเงิน ข้าซื้อหอสุรานี้แล้ว”
ผ่านไปเนิ่นนานหลงจู๊ผู้นั้นก็ยังไม่ได้สติ เขาคิดว่าตนกำลังฝัน เมื่อกัดปลายลิ้นถึงรู้ว่านี่เป็นเรื่องจริง คนทั้งคนมึนงงไปเรียบร้อยแล้ว
นายน้อยฉินผู้นี้มีเงินไว้เผาเล่นหรือ? หอสุราธารหยกเหลือเพียงเปลือกเท่านั้น ไม่ว่าจะมองแนวนอนหรือแนวตั้งก็ไม่คุ้มกับเงินหนึ่งแสนตำลึงเงิน
ฉินเสี่ยวฝูอ้าปากกว้างจนกรามแทบค้าง เขามองดูตั๋วเงินในมือหลงจู๊ จากนั้นก็มองไปที่ผู้เป็นนาย เด็กหนุ่มบีบต้นขาอย่างแรง ขาก็เจ็บ! ใจก็เจ็บ!
“นายน้อย ท่านเข้าใจความหมายของการหาเงินผิดหรือไม่ขอรับ? เอาหนึ่งแสนตำลึงเงินมาซื้อสถานที่ซ่อมซ่อเช่นนี้ เกรงว่าต้องขายกางเกงชั้นในชดใช้ความผิดด้วยซ้ำขอรับ” ฉินเสี่ยวฝูเสี่ยงตายเข้าไปทัดทาน เขาไม่สามารถตัดใจทิ้งเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินได้จริง ๆ ต้องฝังลูกหลานตระกูลฉินอีกกี่รุ่นถึงจะได้เงินจำนวนนี้คืนมา?
แม้ชูเฟิงจะติดตามจิ่งเชียนอิ่งมาตั้งแต่เด็ก และได้รู้ได้เห็นอะไรมากมาย แต่ความฟุ้งเฟ้อของฉินเฟิงทำให้สิ่งที่ชูเฟิงเคยเห็นมาทั้งหมดไร้ความหมาย
“นายน้อย หากพวกคุณหนูทราบเรื่องนี้ พวกนางต้องสั่งสอนท่านอีกแน่นอนเจ้าค่ะ ท่านควรคิดให้รอบคอบ นั่นเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินเชียวนะเจ้าคะ! นอกจากขุนนางขั้นหนึ่งแล้ว เงินเดือนประจำปีของขุนนางใหญ่ในใต้หล้านี้น้อยนักที่จะถึงหนึ่งแสนตำลึงเงิน”
คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉินเฟิงได้สติ เขาหันกลับไปมองบ่าวทั้งสามคนทันที แล้วชายหนุ่มก็ข่มขู่ “ใครก็ตามที่กล้าฟ้องเรื่องของข้า เมื่อกลับไปต้องรับบทลงโทษตามกฎตระกูล!”
ทั้งสามมองหน้า และพูดพร้อมกันว่า “กฎตระกูลคืออะไร?”
ผู้เป็นนายชี้ไปที่เสี่ยวเซียงเซียง และกล่าวกับชูเฟิง “เจ้าถามนางสิ นางรู้ นางได้รับโทษทุกเช้า”
ดวงตาของฉินเสี่ยวฝูเป็นประกาย นี่เป็นโอกาสอันดีสำหรับเขาในการเลื่อนสถานะ “นายน้อย แล้วข้าล่ะขอรับ? โปรดมอบกฎตระกูลให้ข้าด้วย”
ฉินเฟิงรีบขยับตัวออกจากฉินเสี่ยวฝูทันที มิฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้จะคิดว่าเขามีความสัมพันธ์แบบหลงหยาง*[1] ได้ อย่างไรเสีย ปัญญาชนคงแก่เรียนบางคนก็ ‘นิยม’ ทำสิ่งนี้
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ทางเข้าหอสุราเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ท้ายที่สุด ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเห็นท่าทางการตบตั๋วเงินของฉินเฟิง ข่าวนี้จึงแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง คนที่รักการกินแตงเป็นชีวิตจิตใจแห่กันมาโดยธรรมชาติ
เมื่อมองดูตั๋วเงินกองหนาในมือหลงจู๊แล้ว ก็อดอิจฉาตาร้อนไม่ได้
“หนึ่งแสนตำลึงเงิน? หอสุราทรุดโทรมเช่นนี้มีมูลค่ามากมายถึงเพียงนั้นหรือ? ทำไมเรื่องดี ๆ เช่นนี้ไม่หล่นใส่ข้าบ้างเล่า?”
“หอสุรานี้ขายหนึ่งหมื่นตำลึงเงินก็มากเกินพอแล้ว!”
[1] หลงหยาง : ชายรักชาย
MANGA DISCUSSION