บทที่ 37 เจ้ามันโหดเหี้ยม
ฉินเสี่ยวฝูยืนดูความครื้นเครงเบื้องหน้าและประสมโลง เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างสนุกสนาน “นายน้อย ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้หรอก ข้าน้อยจะไปยืมตราชั่งที่ห้องบัญชีเองขอรับ”
ฉินเฟิงยิ้มตาหยีมองหลี่หนิงฮุ่ย เดิมคิดอยากจะ ‘รักหยกถนอมบุปผา’*[1] อยู่เหมือนกันจึงไม่ต้องการทำให้นางกลัว ชายหนุ่มพูดด้วยใบหน้าอ่อนโยนว่า “หากพรุ่งนี้ไม่สามารถส่งเงินมาได้ นายน้อยอย่างข้าย่อมมีหนทาง ขอเพียงตระกูลหลี่ไม่กลัวที่จะอับอายก็พอ”
ทั่วทั้งเมืองหลวงผู้ใดเล่าจะไม่รู้จักกลุ่ม ‘แร็ปเปอร์ขอทาน’ ที่ฉินเฟิงเป็นผู้ก่อตั้ง เพลงที่แต่งออกมาไถเงินจวนตระกูลเฉิงคราวก่อน เป็นเพลงติดปากที่ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
“ฉินเฟิง เจ้ามันโหดเหี้ยม!”
หลี่หนิงฮุ่ยกัดฟัน ทว่าไม่อาจทำอะไรได้ ก่อนคุณหนูตระกูลหลี่จะสะบัดกายจากไป มีคนไม่น้อยเห็นน้ำใส ๆ บริเวณหางตาของนาง
นายน้อยฉินทำคุณหนูคนงามโกรธจนร้องไห้!
คนที่อยู่ในเหตุการณ์มองหน้ากันอย่างตกตะลึง อึดใจต่อมาก็กระซิบกระซาบกันไม่จบไม่สิ้น
“เจ้าฉินเฟิงนี่เป็นสุนัขบ้าโดยแท้! หากถูกเขาหมายหัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดล้วนถูกถลกเนื้อหนัง!”
“แรกเริ่มเป็นจวนตระกูลเฉิงเลขาธิการกรมคลัง ตอนนี้แม้แต่จวนเสนาบดีกรมคลังก็ไม่รอด นายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้เอาความมั่นใจมาจากไหนกันแน่?”
“ท่านเคยเห็นผู้ใดเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แล้วเดินเชิดหน้าชูคอออกจากประตูวังไหมเล่า?”
“ไร้สาระ! เจ้าเคยเห็นหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าเป็นนายน้อยฉินหรอกหรือ? หลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว เขาก็เดินวางก้ามฮัมเพลงออกจากประตูวัง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นต้าเหลียง! ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นทหารรักษาพระองค์ เขายืนยันด้วยตนเองว่า เรื่องที่พูดจริงแท้แน่นอน!”
สายตาของทุกคนมองไปยังฉินเฟิงพลิกจากหลังเท้าเป็นหน้ามือ ความดูถูกเหยียดหยามก่อนหน้าเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ และพัฒนาเป็นความหวาดกลัวในท้ายที่สุด
ไม่มีใครอยากตกเป็นเป้าหมายของเทพแห่งโรคระบาด*[2] ฉินเฟิง
ฉีหยางจวิ้นจู่หัวเราะขบขันกับพฤติกรรมอันธพาลของนายน้อยฉิน นางชี้ไปที่เขา “การเป็นอันธพาลก็นับว่าเป็นพรสวรรค์ ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าจะเป็นผู้เดียวในใต้หล้าที่กล้าเดินเชิดหน้าออกจากประตูวัง พี่สาว น้องชายตระกูลฉิน พวกเจ้าทำให้ข้าทึ่งไปเลยจริง ๆ”
ฉีหยางจวิ้นจู่เป็นเชื้อพระวงศ์ที่ซื่อสัตย์ของราชสำนัก คำพูดของนาง ทำให้มุมมองของทุกคนที่มีต่อตระกูลฉินสูงขึ้นไปอีก
เสิ่นชิงฉือตื่นตะลึงเพราะได้รับความเมตตาอย่างคาดไม่ถึง นางรีบโค้งคำนับและมองฉีหยางจวิ้นจู่จากไป จากนั้นก็ปล่อยให้ฝูงชนที่รวมตัวกันในหอวิจิตรศิลป์ทยอยแยกย้าย
เมื่อไม่มีคนนอกอยู่แล้ว เสิ่นชิงฉือก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางก้าวไปปิดประตู หยิบไม้ทับกระดาษบนโต๊ะ จากนั้นก็ตีเข้าที่บั้นท้ายของฉินเฟิงหนึ่งที
คนถูกตีกระโดดไปมาพร้อมส่งเสียงโหยหวน เขารีบไปหลบอยู่ข้างหลังชูเฟิงกับเสี่ยวเซียงเซียง ท่าทางสูงส่งห้าวหาญก่อนหน้านี้หายไปหมดสิ้น ชายหนุ่มตื่นตระหนกสุดขีด “พี่หญิงใหญ่! ท่านใจแคบนัก ข้าช่วยท่านก้าวข้ามความยากลำบาก นี่คือวิธีที่ท่านตอบแทนข้าหรือ?”
คนถูกเรียกว่าพี่หญิงใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จนถึงตอนนี้ความรู้สึกหวาดกลัวยังคงหลงเหลืออยู่ในจิตใจ เปลือกตานางกระตุกเบา ๆ หนึ่งที “เจ้าเด็กตัวเหม็น ช่างกล้านัก! เจ้าอยากให้ข้าตกใจตายหรือ?”
“เจ้ารู้ความหมายของสิ่งที่พูดไปวันนี้หรือไม่? หากไม่คิดอะไร คนฟังคงมองว่าลิ้นเจ้ามีวาทศิลป์ แต่หากคิดมากหน่อย สิ่งที่เจ้าพูดมาน่ะเป็นการพาดพิงถึงเสนาบดีกรมคลังชัด ๆ ยามนี้คลื่นใต้น้ำในราชสำนักกำลังปั่นป่วน อำนาจของทุกฝ่ายที่แก่งแย่งชิงดีกันนั้นซับซ้อน! แม้แต่ท่านพ่อก็กำลังเดินบนน้ำแข็งบาง ๆ! หากเจ้ายั่วโมโหเสนาบดีกรมคลัง และฉีกหน้าท่านพ่อเช่นนี้ ผลที่ตามมาย่อมไม่อาจคาดเดาได้!”
“วันนี้ข้าจะตีก้นเจ้ากระตุ้นความจำ จะได้รู้ว่าในเมืองหลวงแห่งนี้ อะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด!”
เมื่อเห็นเสิ่นชิงฉือเข้ามาพร้อมกับไม้ทับกระดาษในมือ ฉินเฟิงก็กลัวขึ้นมา เขาวิ่งหลบหลังชูเฟิงที หลบหลังเสี่ยวเซียงเซียงที
ขณะวิ่งไปก็ร้องคร่ำครวญว่า “ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนสงคราม หรือฝ่ายทีไม่สนับสนุน ทั้งคู่ต่างก็ฉีกหน้ากันนานแล้ว พูดให้ชัดคือ พวกเขาแค่ไม่ยอมฉีกม่านอำพรางผืนสุดท้าย ทว่ากลับกำไว้ในมือแน่น ข้าเป็นเพียงลูกหลานขุนนางตัวน้อย ๆ จะดึงผ้าผืนนั้นออกได้อย่างไร? นอกจากนี้เสนาบดีกรมคลังก็เป็นถึงขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก และเป็นเสาหลักของแคว้น เขาจะลดตัวลงมาใส่ใจเด็กน้อยปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างข้าหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง คุณหนูใหญ่ก็ค่อย ๆ หยุดฝีเท้า แม้ใบหน้าจะยังคงกรุ่นโกรธแต่ภายในใจนั้นรู้ดี
ที่ตำหนิและดุด่าก่อนหน้าเป็นเพราะอยากหยั่งเชิงน้องชายเท่านั้น
เสิ่นชิงฉือเคยได้ยินหลิ่วหงเหยียนพูดถึงนานแล้วว่า ฉินเฟิงเชี่ยวชาญกลยุทธ์ในการจัดทัพเป็นอย่างดี แม้ปกติจะดูบ้า ๆ บอ ๆ และมีท่าทางราวกับว่า ‘ต่อให้ตีจนตายก็ไม่ยอมโต’ แต่คำพูดของเขาก็สามารถชี้ให้เห็นจุดสำคัญได้อย่างง่ายดาย
เสิ่นชิงฉือเป็นเพียงสตรี จะเข้าใจข้อพิพาทในราชสำนักได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือนายน้อยตระกูลฉินเข้าใจหรือไม่ต่างหาก
หากเขาเข้าใจก็หมายความว่า ข่าวลือที่สั่นสะเทือนโลกเหล่านั้น ได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วก่อนจะเอ่ยออกมา เพราะฉะนั้นเสิ่นชิงฉือก็ไม่ควรก้าวก่าย
ฉินเฟิงเพียงต้องการแสดงจุดยืนของตนในที่สาธารณะ และท้าทายเสนาบดีกรมคลังในที่ของตนเอง สุดท้ายแล้ว มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถยกขึ้นมาพูดได้ในราชสำนัก
ภายในหนึ่งวันคนภายในจะต้องรู้เรื่องการเดิมพันเมื่อครู่ และคำพูดที่น่าตกใจของนายน้อยตระกูลฉินย่อมต้องไปเข้าหูเสนาบดีกรมคลังอย่างแน่นอน
แม้ว่าหลี่รุ่ยจะแอบมองหาโอกาสใช้ลูกไม้เล่นงานเขาอยู่เบื้องหลัง ทว่าหากดูจากภายนอก เสนาบดีกรมคลังไม่เคยแสดงจุดยืนที่ชัดเจน
เหตุผลง่าย ๆ คือเพราะฉินเฟิงถูกฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า
สิ่งที่เอ่ยออกไปในหอวิจิตรศิลป์วันนี้จะเป็นคำพูดไร้สาระของฉินเฟิง หรือพระทัยของฮ่องเต้นั้นไม่อาจคาดเดา ฝ่าบาทตั้งใจจะยืมมือเจ้าเด็กนี่สร้างความวุ่นวายในราชสำนักหรือไม่ สุดแท้แต่เสนาบดีกรมคลังจะคาดเดาด้วยตนเอง
การทำสงครามระหว่างต้าเหลียงกับเป่ยตี๋ไม่เพียงขาดเงินเท่านั้น แต่ยังขาดการสนับสนุนด้วย
บุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมทุ่มเทสุดกำลังปลุกปั่นความคิดเห็นสาธารณะแทนฝ่ายสงคราม ทั้งยังดึงกลุ่มที่เฝ้าดูและเหยียบเรือสองแคมที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกเข้ามาเป็นพวกตนเอง
สงครามครั้งใหญ่นี้ ไม่เพียงแต่จะส่งเสริมอำนาจของแคว้นต้าเหลียงเท่านั้น
เพราะหากถึงเวลานั้น ฉินเฟิงจะสอดเท้าเข้ากรมโยธา ดังคำกล่าวที่ว่าอุตสาหกรรมทำให้ประเทศมีชีวิตชีวา และทำให้เงินในกระเป๋ากลับมากระปรี้กระเปร่า
หากพิชิตเป่ยตี๋ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยกที่ดินเพื่อชดเชย หรือการลงนามข้อตกลงทางการค้า ชายหนุ่มมีวิธีในการสร้างรายได้มากมาย! ต่อให้นี่เป็นฝันที่ต้องตื่น เขาก็คงตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม!
เกมหมากรุกกระดานใหญ่ของนายน้อยตระกูลฉินไม่อาจอธิบายให้คนภายนอกฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าพี่หญิง พวกนางห้ามรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้น เหล่าคุณหนูตระกูลฉินต้องด่าเขาว่าเห็นแก่เงิน หรือทำตัวชั้นต่ำเป็นแน่
เสี่ยวเซียงเซียงรีบไกล่เกลี่ยเรื่องต่าง ๆ ให้ผ่านไปราบรื่น “คุณหนูใหญ่ นายน้อยเพียงแต่คิดเพื่อตระกูลฉิน โปรดไว้ชีวิตเขาด้วยเจ้าค่ะ”
เสิ่นชิงฉือไม่ได้โกรธแล้ว เจ้าฉินเฟิงที่แยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ข้างนอกก่อนหน้า เวลาอยู่กับคนในบ้านกลับขี้ขลาดตาขาวราวกับหนู นั่นทำให้พี่หญิงใหญ่ทั้งรักทั้งเกลียดน้องชายคนนี้ในเวลาเดียวกัน สุดท้าย นางก็เป็นพวกแข็งนอกอ่อนใน เอ่ยออกมาว่า “กลับจวนไปข้าจะให้น้องหญิงอบรมเจ้าให้ดี”
เมื่อเห็นเสิ่นชิงฉือวางไม้ทับกระดาษลง ในที่สุดฉินเฟิงก็ถอนหายใจยาวออกมาได้ ชายหนุ่มยอมโผล่หัวออกมาจากโล่กำบังเนื้อละเอียดอย่างสาวใช้ทั้งสอง พร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่หญิงใหญ่ ที่ท่านสัญญากับข้าก่อนหน้านี้ยังมีผลอยู่หรือไม่”
เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นชิงฉือผู้เย็นชามาตลอดก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง นางกรอกตาใส่น้องชาย “เจ้าคิดเหลวไหลอะไรตลอดทั้งวัน? อ่านพระคัมภีร์อีกสองสามเล่มเพื่อระงับไฟชั่วร้ายซะ”
ฉินเฟิงไม่กล้าแล้ว เขากระโดดกลับไป ก่อนจะชี้ไปที่เสิ่นชิงฉือแล้วประท้วงเสียงดัง “ท่านพูดกลับไปกลับมา! ข้าจะฟ้องท่านพ่อ ให้ตาแก่นั่นเป็นคนตัดสิน!”
คุณหนูใหญ่กลัวจริง ๆ ว่าฉินเฟิงจะไปแหย่บิดาเข้า นางจึงกัดริมฝีปากบางเบา ๆ และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เรื่องนี้… ค่อยว่ากันคราวหลัง!”
“คราวหลังคือเมื่อใด?” ฉินเฟิงมองเสิ่นชิงฉือพลางกระพริบตาปริบ ๆ ไม่ยอมเลิกรา
พี่หญิงใหญ่ถูกสายตาของน้องชายคาดคั้นจนหัวตื้อ นางรีบร้อนหลบหน้า “รอจนกว่าเจ้าจะเติบใหญ่”
“ข้าใหญ่มากแล้วนะ!”
“ไสหัวไป!”
[1] รักหยกถนอมบุปผา : ความทะนุถะนอมของบุรุษที่มีต่อสตรี
[2] เทพแห่งโรคระบาด : ตัวซวย
MANGA DISCUSSION