บทที่ 36 ทำให้เรื่องใหญ่โต
ความปรารถนาดีที่เพิ่งเพิ่มขึ้นในใจเสิ่นชิงฉือหายไปทันที หากไม่ห่วงว่าที่นี่มีคนมากมาย นางคงจะเตะนายบ่าวคู่นี้กลับจวนไปนานแล้ว จะได้ไม่ต้องมายืนอับอายขายหน้าอยู่แบบนี้!
ทันใดนั้น เสียงลูกคิดก็หยุดลงกะทันหัน
ฉินเฟิงยืนขึ้นช้า ๆ มองหลี่หนิงฮุ่ยที่ตอนนี้มีใบหน้าขุ่นมัว ชายหนุ่มยื่นมือออกไปอย่างไม่ลังเล “คุณหนูหลี่ บทกวีถูกเอ่ยออกไปแล้ว เช่นนั้น ก็ควรจะต้องจ่ายเงิน ถูกหรือไม่ หรือท่านอยากจะเป็นหนี้ข้า?”
หลี่หนิงฮุ่ยกำหมัดแน่น ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ทว่าคำพูดเหมือนดั่งน้ำที่สาดออกไปแล้ว อีกอย่างฉีหยางจวิ้นจู่ก็อยู่ที่นี่ นางจะกลับคำง่าย ๆ ได้อย่างไร?
แต่เจ็ดหมื่นตำลึงเงิน หาใช่เงินจำนวนเล็กน้อย
ด้วยฐานะของตระกูลหลี่ ไม่ใช่ว่านางไม่มีปัญญาจ่าย เพียงแต่นางจ่ายออกไปไม่ได้ต่างหาก! ฉีหยางจวิ้นจู่เป็นสมาชิกของราชวงศ์จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือยก็ไม่เป็นไร นี่ถือเป็นสิทธิพิเศษ แต่กรมคลัง แม้จะเป็นกรมสำคัญในราชสำนัก ทว่าอย่างไรก็เป็นแค่ ‘ขุนนาง’ ยามนี้ต้าเหลียงกำลังต้องการเงิน ถ้านางหยิบออกมาใช้ตามใจชอบ เสนาบดีกรมกลาโหมต้องเข้ามายุ่ง และทำให้เรื่องราววุ่นวายเป็นแน่ ท้ายที่สุดตระกูลหลี่จะตกที่นั่งลำบาก
หลังจากคิดจนถี่ถ้วนแล้ว หลี่หนิงฮุ่ยทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากฉีหยางจวิ้นจู่ แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
ฉีหยางจวิ้นจู่และหลี่หนิงฮุ่ยอยู่ด้วยกันเพราะ ‘องค์ชายรอง’ จึงไม่ได้มีมิตรภาพผูกพันแน่นแฟ้น ประกอบกับข่าวลือที่หลี่รุ่ยติดหนี้หอนางโลม และหลี่หนิงฮุ่ยที่พูดไม่เป็นคำพูด แพ้แล้วไม่ยอมรับ
คนที่มีบุคลิกตรงไปตรงมาแบบฉีหยางจวิ้นจู่ ต้องนึกรังเกียจนางในใจเป็นแน่
เห็นแก่ตระกูลหลี่ที่อยู่ข้างหลัง หลี่หนิงฮุ่ยทำได้เพียงกัดฟันปฏิเสธ “บทกวีครึ่งหนึ่งมีราคาถึงเจ็ดหมื่นตำลึง เจ้าตลกมากหรือ! ตอนนี้ต้าเหลียงกำลังต้องการเงิน แต่เจ้ากลับรวบรวมเงินในเมืองหลวงด้วยการฉ้อโกง นายน้อยตระกูลฉินเอาความรักที่มีต่อแผ่นดินไปไว้ที่ใด ยังเห็นแก่ราษฎรและฮ่องเต้อยู่หรือไม่”
ฉินเฟิงคาดไว้แล้วว่าแม่นางผู้นี้ต้องไม่ยอมจ่ายเงินแต่โดยดี
อย่างไรเสีย การกลับคำพูด และเบี่ยงประเด็นทำให้เรื่องใหญ่โตก็เป็นวิสัยของตระกูลหลี่
นายน้อยฉินไม่ได้โต้แย้งคุณหนูหลี่ เขาเพียงเงยหน้าขึ้นแล้วป่าวประกาศ “ดูสิ คุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่กำลังพูดกลับไปกลับมา ก่อนหน้านี้ตกลงกันดิบดีว่า บทกวีครึ่งหนึ่งมีราคาเจ็ดหมื่นตำลึงเงิน ผ่านไปชั่วครู่ก็ปฏิเสธเสียแล้ว คุณธรรมของน้องชายพี่สาวเหมือนกันไม่มีผิด จวนเสนาบดีกรมคลังอันยิ่งใหญ่ สั่งสอนบุตรเช่นนี้หรือ?”
บัณฑิตหญิงที่รวมตัวกันอยู่หน้าประตูล้วนตกเป็นกองเชียร์กวีฉินเฟิงกันหมด พวกนางล้วนถูกความสามารถด้านวรรณกรรมของฉินเฟิงชักจูง ความสนใจทั้งหมดจึงมุ่งไปที่ฉินเฟิง และเข้าร่วมกับเขา ต่างคนจึงต่างกล่าวดูถูกเยาะเย้ย
“บุตรีแห่งจวนเสนาบดีกรมคลัง ไยประพฤติตนราวคนพาลบนถนนเล่า?”
“ในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองหลวง มีนายน้อยและคุณหนูจวนใดบ้างที่ไม่รักษาคำพูด?”
“ใช่แล้ว! บิดาของเจ้าเป็นถึงขุนนางสูงศักดิ์ แต่บุตรสาวกลับมีคุณธรรมต่ำต้อย ไม่ใช่ว่าเข้าตำรา คานบนไม่ตรงคานล่างก็เบี้ยวหรอกหรือ?”
เมื่อต้องเผชิญกับการชี้นิ้วต่อว่าของเหล่าบัณฑิตหญิง แก้มของหลี่หนิงฮุ่ยก็ร้อนผ่าว นางเถียงไม่ออก
บทกวี ‘เมาเงาบุปผา ม่านเมฆหมอกหนาทึบกังวลทั้งคืนวัน’ ของเสิ่นชิงฉือทำให้ทุกคนประหลาดใจ เหล่านายน้อยในหอวิตรศิลป์ไม่ต่างจากหญ้ายอดกำแพง*[1] เมื่อกลับไปยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเสิ่นชิงฉือ ย่อมวิพากษ์วิจารณ์หลี่หนิงฮุ่ย
แต่นายน้อยพวกนั้นจะไปสรรหาคำพูดเจ็บแสบมาจากไหน? สิ่งที่เอ่ยออกมาล้วนเป็นเพียงถ้อยคำคร่ำครึอย่าง ‘ความถูกต้อง ความซื่อสัตย์ ความละอาย’ ฟังแล้วจะไปรู้สึกอะไร
ฉินเฟิงวางลูกคิดในมือ และเดินไปหาหลี่หนิงฮุ่ย เขามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางส่งเสียงจุ๊ปาก “แม้คุณหนูหลี่จะมีความประพฤติไม่ดี แต่ก็เป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่จึงมีรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เอาเช่นนี้ดีไหม หากท่านจ่ายค่าบทกวีไม่ไหว จวนของข้ากำลังขาดแคลนสาวใช้ที่ซักผ้าได้อยู่พอดี ทำงานใช้หนี้ทุกวัน วันละสิบตำลึงเงินเป็นอย่างไร?”
สิ้นเสียงพูด หลี่หนิงฮุ่ยก็ระเบิดโทสะ นางมองฉินเฟิงด้วยแววตาอาฆาต อยากจะฉีกไอ้เด็กตัวเหม็นนี่ออกเป็นชิ้น ๆ “กล้าดีอย่างไร ข้าเป็นถึงบุตรีจวนเสนาบดีกรมคลัง เจ้าเอาความกล้ามาจากไหนถึงดูถูกข้าเช่นนี้!”
ดูถูก? เลือกคำนี้มาใช้ได้เหมาะนัก!
ผู้ใดเคารพผู้อื่น ผู้อื่นย่อมเคารพกลับ ผู้ใดดูถูกผู้อื่น ผู้อื่นย่อมดูถูกกลับ!
ตอนหลี่หนิงฮุ่ยดูถูกเสิ่นชิงฉือ แม้แต่เปลือกตานางยังไม่เสียเวลากะพริบ พอตัวเองโดนดูถูก กลับทำหน้าทำตาไม่พอใจ? นางเป็นคนแบบไหนกัน!
ฉินเฟิงไม่สนว่าที่นี่จะมีคนมากมายเพียงใด ไม่สนว่าจะมีคนของพวกกรมคลังอยู่เยอะแค่ไหน เขายกป้าย ‘คนบ้า’ ปกป้องตัวเองอยู่เสมอ ผู้ใดก็รู้ว่าคำพูดคนบ้าให้ค่าไม่ได้ พูดอะไรล้วนไม่มีความผิดตามกฎหมาย
“เมื่อเดิมพันแล้วพ่ายแพ้ ผู้ใดก็รู้ว่าต้องทำตามสัญญาที่ตกลงกัน แล้วเหตุใดคุณหนูหลี่ถึงไม่รู้ และไม่ยอมรับเล่า ถ้าบุตรของตระกูลหลี่พูดจากลับกลอก ไร้ความซื่อสัตย์เช่นนี้ ผู้ใหญ่ที่สั่งสอนมาคงหนีไม่พ้นความผิดกระมัง สั่งสอนบุตรยังสั่งสอนให้ดีไม่ได้ แล้วจะเป็นผู้นำที่ดีได้อย่างไร? ปลาเน่าหนึ่งตัวเหม็นไปทั้งเข่ง ต้าเหลียงของข้าถูกเป่ยตี๋รุกราน ถูกกดขี่ ไร้โอกาสแสดงแสนยานุภาพ หรือทั้งหมดนี้จะเป็นเพราะมีขุนนางใจคดอยู่เบื้องหลัง?”
คิดสร้างเรื่องใหญ่โตหรือ? ใคร ๆ ก็ทำได้! ริอาจใช้หลักศีลธรรมกับข้า เกรงว่าจะไม่รู้จักชื่อเล่นของนายน้อยเจ้าสำราญ ‘นักบวชน้อยผู้ผดุงความยุติธรรม!’
สิ้นเสียงพูด ก็เกิดความโกลาหลย่อม ๆ ขึ้น
ผู้เห็นเหตุการณ์ล้วนแต่เป็นผู้สูงศักดิ์แห่งเมืองหลวง จะไม่เข้าใจความหมายอันร้ายแรงในคำพูดของฉินเฟิงได้อย่างไร ตอนนี้การเดิมพันระหว่างรุ่นลูกได้ลุกลามไปสู่ข้อพิพาทในราชสำนักของรุ่นพ่อแล้ว ไม่สิ มันใหญ่โตถึงขั้นต้องกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของแคว้นและราษฎรด้วยซ้ำ!
ถ้าคนอื่นเป็นคนพูดคงเป็นเพียงตะเกียงใหญ่ในห้องน้ำมองหาอึ*[2]!
แต่นายน้อยฉินผู้นี้เป็นบุตรเสนาบดีกรมกลาโหม ทั้งยังมีป้ายทองเลี่ยงความตายอย่าง ‘คนบ้า’ แปะอยู่ หากโต้เถียงกับเขาต่อไปย่อมไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากทำให้ตนเองเดือดร้อน
หลี่หนิงฮุ่ยโกรธเสียจนตัวสั่นไปหมด ใบหน้าของนางซีดขาวเป็นระยะ นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะพูดเก่งขนาดนี้!
เงินเดือนในบัญชีเสนาบดี หนึ่งปีก็แค่หนึ่งแสนตำลึงเงิน รวมกับเงินอุดหนุนค่าวัสดุ ที่ดิน บ่าวรับใช้ ฯลฯ เต็มที่ก็สี่แสนตำลึงเงินเท่านั้น ตระกูลใหญ่ ๆ หากรวมค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้า ค่าบำรุงรักษารถม้าแล้ว เงินที่เหลือย่อมมีจำนวนจำกัด
หากวันนี้จ่ายเงินค่าบทกวีให้เขาไป คำถามที่ว่าเงินนี้มาจากไหน คงสร้างความปวดหัวให้เสนาบดีกรมคลังไปสักระยะ
แต่หากไม่จ่าย ก็จะถูกตราหน้าว่า ‘คานเพดานไม่ตรง คานพื้นด้านล่างย่อมบิดเบี้ยว’
มีทางออกแค่สองทาง และทุกทางล้วนถูกฉินเฟิงปิดตาย ไม่ว่าจะเลือกทางไหน อย่างไรหนังก็ต้องถลอกไปหนึ่งชั้น!
ดวงตาฉายแววกังวลของคุณหนูหลี่บวมแดง ท้ายที่สุดนางก็ทำได้เพียงประนีประนอม เลือกทางที่ดีต่อตระกูลที่สุด นางกัดฟันแล้วเอ่ย “เงินแค่เจ็ดหมื่นตำลึงเงินไม่ใช่หรือ ข้าให้เจ้าก็ได้!”
ฉินเฟิงหยิบลูกคิดเล็ก ๆ ออกมาทำท่าทางราวกับกำลังเล่นมายากล เขาหมุนมันสองครั้ง ก่อนจะยื่นให้หลี่หนิงฮุ่ย แล้วแย้มยิ้มอบอุ่นราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ “ไม่มีการปัดเศษ เข้าใจหรือไม่? จำนวนเงินทั้งหมดคือเจ็ดหมื่นสองพันตําลึงเงิน ขาดแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้!”
“ฉินเสี่ยวฝู”
“ขอรับ นายน้อย มาแล้วขอรับ”
ฉินเสี่ยวฝูวิ่งมาอย่างรีบเร่ง เมื่อเห็นผู้เป็นนายจัดการหลี่หนิงฮุ่ยได้อยู่หมัดก็อดไม่ได้ที่จะเผยใบหน้าชื่นชม
“ไปที่ห้องบัญชีแล้วนำเครื่องชั่งมาที่หอวิจิตรศิลป์ พรุ่งนี้คุณหนูหลี่จะนำเงินมาให้ ชั่งน้ำหนักให้ดี เจ้าต้องเบิกตาไว้ให้กว้าง กันใครเล่นตุกติก แม้โดยพื้นฐานข้าจะเป็นคนซื่อ แต่ก็ใช่จะยอมโง่ให้คนเขาหลอกได้!”
[1] หญ้ายอดกำแพง : ผู้ที่เปลี่ยนความคิดไปตามสถานการณ์ ไม่มีจุดยืนของตัวเอง
[2] ตะเกียงใหญ่ในห้องน้ำมองหาอึ : รนหาที่ตาย
MANGA DISCUSSION