บทที่ 32 ยั่วโมโหคุณหนูชื่อดัง
ผู้สายตาเฉียบคมในที่เกิดเหตุจำฉินเฟิงที่อยู่ในฝูงชนได้อย่างรวดเร็ว แล้วอดแสดงสีหน้ายินดีกับหายนะของผู้อื่นไม่ได้ “นั่นนายน้อยฉินไม่ใช่หรือ? ได้ยินว่าเมื่อไม่นานมานี้เขาสร้างความวุ่นวายมากมาย ดูท่าครานี้จะมีฉากดี ๆ ให้ดูแล้ว”
เหล่าลูกค้าประจำที่เตรียมจะจากไปเนื่องจากกลัวไฟรามมาถึงตัว ต่างก็หยุดฝีเท้าลงทันทีเมื่อเห็นฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน จากนั้นเสียงซุบซิบกึ่งถกเถียงก็ปะทุขึ้นเป็นระลอก
“ข้าได้ยินมาว่าฉินเฟิงโดดเด่นมากในงานชุมนุมกวี บทกวี ‘ออกด่าน’ ของเขาทำให้ทุกคนตกใจ อาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาเซิ่งหลินทั้งหมดล้วนชื่นชม ไม่คาดคิดเลยว่านายน้อยเจ้าสำราญ ลูกผู้ดีมีเงินคนนี้จะมีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรม!”
“ยิ่งไปกว่านั้น! ว่ากันว่าหลังจากฮ่องเต้ได้เห็นกวีบทนี้พระพักตร์พลันเบิกบานยิ่ง พระองค์รับสั่งให้หอหนังสือคัดลอกมันออกมาเป็นจำนวนมาก และแจกจ่ายไปยังค่ายทหารต่าง ๆ โดยเฉพาะกองกำลังชายแดนที่ถูกพวกอนารยชนเป่ยตี๋รังควานมาเป็นเวลาหลายปี อาศัยบทกวี ‘ออกด่าน’ เป็นขวัญกำลังใจให้เหล่าทหาร”
“ถ้าแค่พรสวรรค์ด้านวรรณกรรมก็ช่างเถิด แต่ข้าได้ยินมาว่าฉินเฟิงถึงกับถอนคมพยัคฆ์ ตอนแรกเรียกเอาเงินหนึ่งแสนตำลึงเงินจากจวนเลขาธิการกรมคลัง จากนั้นก็เอะอะโวยวายในหอเซียนเมามาย เขายังขู่อีกว่าจะปิดหอเซียนเมามายภายในครึ่งเดือน”
“เหอะ ๆ แล้วอย่างไร? ฉีหยางจวิ้นจู่เป็นเชื้อพระวงศ์ ไม่ว่าฉินเฟิงจะหยิ่งผยองเพียงใดก็ไม่กล้าท้าทายฉีหยางจวิ้นจู่! ไม่เช่นนั้น ข้าก็อยากจะรอดูว่า นายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้มีกี่ศีรษะให้ตัดทิ้ง!”
แม้จะมีแขกหลายคนในที่เกิดเหตุชื่นชมความสามารถทางวรรณกรรมของฉินเฟิง ทว่าส่วนใหญ่กลับดูถูกเหยียดหยาม พวกเขารอแทบไม่ไหวที่จะได้เห็นนายน้อยตระกูลฉินถูกเฉือนคมโดยฉีหยางจวิ้นจู่
เสิ่นชิงฉือกระวนกระวายอยู่ครู่หนึ่ง นางคอยขยิบตาให้ฉินเฟิง ส่งสัญญาณให้เขาออกไปอย่างรวดเร็วและอย่ามาสร้างปัญหาที่นี่
จริงอยู่ที่ภูมิหลังของตระกูลฉินคือเสนาบดี แต่สถานะของพวกเขาก็ยังคงต่ำกว่าเชื้อพระวงศ์หนึ่งระดับ ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของนาง องค์หญิงใหญ่เซียวอวิ๋นรุ่ย ก็เป็นบุคคลที่สามารถ ‘เข้าพบบุตรแห่งสวรรค์’ ได้ นางไม่ใช่คนที่ตระกูลฉินสมควรจะต่อกรด้วย เสิ่นชิงฉือได้ยินเรื่องวุ่นวายของน้องชายในช่วงหลายวันที่ผ่านมาแล้ว หากปล่อยให้เขายั่วยุจนฉีหยางจวิ้นจู่โกรธผลลัพธ์ที่ตามมานั้นไม่อาจจินตนาการ
ฉินเฟิงสังเกตเห็นสายตาของเสิ่นชิงฉืออย่างชัดเจนแต่ไม่ได้ใส่ใจ มิหนำซ้ำยังขยิบตากลับมาอีก คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินจึงได้แต่แอบสาปแช่ง “เจ้าเด็กนี่สมควรตายนัก หรือเจ้าต้องการลากตระกูลฉินเข้ากองไฟ?”
ใบหน้าของหลี่หนิงฮุ่ยเต็มไปด้วยความสุข หากเผชิญหน้ากับเสิ่นชิงฉือที่สุขุมรอบคอบและเฉลียวฉลาด อย่างมากที่สุดคงทำได้เพียงปิดผนึกหอวิจิตรศิลป์ที่ไม่มีความสำคัญอันใด แต่ไม่สามารถทำร้ายตระกูลฉินให้สาหัสถึงกระดูกได้ ตอนนี้เจ้าตัวหายนะฉินเฟิงโผล่มาแล้ว หลี่หนิงฮุ่ยแทบรอให้เขาท้าทายฉีหยางจวิ้นจู่ไม่ไหว ถึงเวลานั้นตระกูลฉินทั้งหมดจะต้องโดนหางเลขไปด้วยแน่!
หลี่หนิงฮุ่ยกอดอกและจงใจพูดเสียงดังประชดประชัน “สมกับเป็นนายน้อยแห่งตระกูลฉิน ช่างหยิ่งผยองนัก แม้แต่ฉีหยางจวิ้นจู่ก็ไม่อยู่ในสายตา?”
เมื่อเอ่ยจบลง สีหน้าของฉีหยางจวิ้นจู่ก็เข้มขึ้นทันที นางได้ยินพฤติกรรมกำเริบเสิบสานเมื่อไม่นานมานี้ของฉินเฟิงมาสักพักแล้ว ไม่คิดว่าเขาจะกล้าล่วงเกินแม้กระทั่งหอเซียนเมามาย อีกฝ่ายหารู้ไม่ว่านางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับองค์ชายรองของหอเซียนเมามายอย่างแนบแน่น
ฉีหยางจวิ้นจู่แอบตัดสินใจอย่างลับ ๆ ว่า ตราบใดเจ้าเด็กสารเลวคนนี้กล้าพูดผิดเพียงหนึ่งประโยค นางจะทำให้เขาหันหลังกลับไปไม่ได้ และระบายความแค้นแทนองค์ชายรอง!
ฉีหยางจวิ้นจู่มองฉินเฟิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร? ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าพูดใหม่ซิ”
ฉินเฟิงที่เชิดหน้าขึ้น ยืดอกผายไหล่ผึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินคำถาม ก็รีบปั้นยิ้มประจบสอพลอ และโค้งคำนับโดยไม่ลังเล “ที่แท้เป็นฉีหยางจวิ้นจู่มาเยี่ยมเยือน ผู้น้อยแซ่ฉินมีตาไร้แวว เกือบจะล่วงเกินองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ขอประทานอภัยด้วย”
เมื่อเห็นว่าน้องชายรู้สถานการณ์ เสิ่นชิงฉือก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ฉีหยางจวิ้นจู่แค่นเสียงเบา แม้นางจะต้องการจัดการกับฉินเฟิงให้สาสม แต่ก็ไม่อาจยื่นมือออกไปตบหน้าคนยิ้มได้ จึงทำได้เพียงหาโอกาสอีกครั้ง
หลี่หนิงฮุ่ยด้านข้างเหน็บแนมเป็นปริศนา “ข้าก็คิดว่านายน้อยฉินเป็นคนไม่เกรงฟ้ากลัวดิน คิดไม่ถึงว่าตัวจริงจะขี้ขลาดเยี่ยงนี้ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ได้ยินมาว่าเจ้าพากลุ่มขอทานไปที่จวนตระกูลเฉิงเพื่อไถ่เงินหนึ่งแสนตำลึงเงิน? หึ ๆ นั่นคงเพียงพอให้บรรดานายน้อยแห่งเมืองหลวงได้มีหน้ามีตาสินะ!”
“ข้าว่าเจ้าน่าจะเปลี่ยนอาชีพไปเป็นขอทานเสีย!”
ฉินเฟิงยืดตัวขึ้น ยิ้มตาหยีมองไปที่หลี่หนิงฮุ่ยและโพล่งออกมาว่า “กระทั่งเรื่องนี้ก็รู้ด้วย? เจ้าแอบดูข้าหรือ? เจ้าคงไม่ได้แอบชอบข้ากระมัง?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ทุกคนในที่เกิดเหตุต่างก็ตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่านายน้อยตระกูลฉินจะกล้าพูดจาแทะโลมคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่ในที่สาธารณะ!
สีหน้าของหลี่หนิงฮุ่ยเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด จากนั้นนางก็จ้องไปที่ฉินเฟิงอย่างเอาเป็นเอาตาย “เจ้าพูดอะไร!”
“ได้ยินไม่ชัด? ถ้าอย่างนั้นให้ข้าพูดอีกครั้ง ดูปากข้านะ หลี่หนิงฮุ่ยเจ้าแอบชอบข้าใช่หรือไม่” ฉินเฟิงจงใจเปล่งเสียงชัดถ้อยชัดคำ ไม่ต้องพูดถึงภายในหอวิจิตรศิลป์ แม้แต่คนสัญจรไปมาข้างถนนก็ได้ยินชัดเจน
ฉากนี้ระเบิดเสียงพูดคุยมากมายให้ดังขึ้นตามมา
แก้มของหลี่หนิงฮุ่ยแดงก่ำด้วยความโกรธ หากเป็นการโต้แย้งทางวาจา หลี่หนิงฮุ่ยมั่นใจว่าจะใช้ลิ้นสามฉื่อของตนทำให้ฉินเฟิงต้องร้องขอชีวิตได้ แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าไอ้คนหยาบโลนนี่จะไม่ปฏิบัติตามครรลอง ทันทีที่เอ่ยปากก็พูดจาลามก ทำให้นางถึงกับ ‘ไปไม่เป็น’
เมื่อเห็นหลี่หนิงฮุ่ยพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ผ่านไปพักใหญ่ก็ยังไม่มีแม้แต่ลมตดออกมา ฉินเฟิงไม่อาจบอกได้เลยว่าเขาชอบใจขนาดไหน
บุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมย่อมไม่กล้าล่วงเกินฉีหยางจวิ้นจู่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าหลี่หนิงฮุ่ยจะสามารถกระโดดโลดเต้นต่อหน้าเขาได้! บิดาของทุกคนต่างก็เป็นเสนาบดีเพราะฉะนั้น ไม่มีใครสูงศักดิ์กว่าใคร!
“ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ?” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าฉินเฟิง ชายหนุ่มปิดปากและแสร้งทำท่าทางประหลาดใจ “ความเงียบก็คือการปกปิด และการปกปิดก็คือความจริง หลี่หนิงฮุ่ย แม้ว่าเจ้าจะปรารถนาความเป็นชายของข้าก็อย่าได้รักจนกลายเป็นเกลียดถึงขนาดมาสร้างความลำบากใจให้พี่สาวข้าเลย ตกลงหรือไม่? ไม่อย่างนั้น เอาเช่นนี้ แม้เจ้าจะไม่คู่ควรพอเป็นภรรยาเอกของข้า แต่ทว่าเป็นอนุน่ะไม่ขัดข้อง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หนิงฮุ่ยก็ตัวสั่นด้วยความโกรธจนคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฉินเฟิง เจ้าคนไร้ยางอาย! ให้เป็นอนุของเจ้า? เจ้า…”
ก่อนที่หลี่หนิงฮุ่ยจะพูดสองคำสุดท้ายจบ นายน้อยตระกูลฉินก็ขัดจังหวะทันที “ใช่ เป็นอนุของข้า”
หูและใบหน้าของคุณหนูใหญ่ตระกูลหลี่แดงก่ำเพราะประโยคเมื่อครู่ นางหายใจถี่กระชั้นราวกับจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ
เสิ่นชิงฉือกรอกตาขาวใส่น้องชาย แม้จะเหยียดหยามในคำพูดและการกระทำของเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความโกรธของนางได้ระบายออกไปโดยอาศัยเจ้าเด็กนี่
เมื่อเห็นว่าหลี่หนิงฮุ่ยต้องการจะพูดหักล้างอีกสองสามประโยค ฉีหยางจวิ้นจู่ก็แค่นเสียงใส่นาง “ยังขายขี้หน้าไม่พออีกรึ!”
หลี่หนิงฮุ่ยหยิบก้อนหินขึ้นกระแทกเท้าตัวเองเสียแล้ว นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหดหัวด้วยความสิ้นหวัง
ฉีหยางจวิ้นจู่เมินเฉยต่อฉินเฟิงและตะโกนอย่างฉุนเฉียว “งุนงงอะไร ยังไม่ทุบหอวิจิตรศิลป์ให้ข้าอีก!”
เมื่อเห็นบรรดาบ่าวรับใช้พุ่งเข้ามาอีกครั้ง คุณหนูใหญ่ตระกูลฉินก็อดไม่ได้ที่จะหน้าซีดไปชั่วขณะ หรือว่าวันนี้นางจะไม่สามารถรักษาหอวิจิตรศิลป์ไว้ได้จริง ๆ?
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ฉินเฟิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้าฝูงชน โบกมือพลางพูดอย่างคลุมเครือ “ข้าสติไม่ดี ถ้าใครกล้าแตะต้องข้า ข้าจะนอนลงบนพื้น รับรองเลยว่า เราจะได้เห็นดีกันแน่ เมื่อถึงเวลาฮ่องเต้เรียกข้าเข้าเฝ้า และพบว่าพระองค์พลาดเรื่องสำคัญไป ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า พวกเจ้าจะมีหัวพอให้ถูกตัดหรือไม่!”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา บ่าวรับใช้ทั้งหมดก็เกิดลังเล ทุกคนจึงหันไปขอคำแนะนำจากฉีหยางจวิ้นจู่
MANGA DISCUSSION