บทที่ 30 แม่นางสองคนนั้น
ฉินเฟิงยื่นมือออกไปเกลี่ยจมูกเสี่ยวเซียงเซียงแล้วยิ้มร้าย “เจ้าจะกลัวอะไร? วางใจเถิด นายน้อยจะรับผิดชอบเจ้า แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถเป็นฮูหยินเอกได้ ทว่าการเป็นอนุภรรยาก็จะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบ”
นายน้อยตระกูลฉินปรารถนาจะมีสามภรรยาสี่อนุในยุคนี้มานานแล้ว ชีวิตของผู้ชายสามารถสรุปได้ง่าย ๆ เพียงประโยคเดียว คือ…
อยู่เพื่อภรรยา ตายเพื่อภรรยา และต่อสู้เพื่อภรรยาชั่วชีวิต เขาจะหาเงินตั้งมายมากไปเพื่ออะไร? หากไม่ใช่เพื่อหาภรรยาสวย ๆ?
ในใจเสี่ยวเซียงเซียงทั้งตื่นเต้นและเขินอาย รู้สึกเหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ นางขดร่างกายและกล่าวอย่างขวยเขิน “นายน้อยพูดเรื่องไร้สาระอีกแล้วเจ้าค่ะ นายน้อยเป็นบุตรชายเสนาบดีราชวงศ์ปัจจุบัน ไม่ต้องพูดถึงฮูหยินภรรยาหลวง แม้กระทั่งอนุภรรยาก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาคู่ควร ไม่ว่าสาวงามระดับแคว้น หรือแม่นางน้อยมากความสามารถที่บรรเลงฉิน หรือเล่นหมากรุก เขียนพู่กัน วาดภาพ แต่งกวีนิพนธ์ หรือจัดดอกไม้ได้ ล้วนคู่ควรกว่ามากนัก แล้วทาสต่ำต้อยผู้นี้จะกล้าเพ้อฝันได้อย่างไรเจ้าคะ”
จริงอยู่เสี่ยวเซียงเซียงอาจไม่ใช่สาวงามระดับแคว้น ทว่านางก็มีความพริ้มเพราในแบบฉบับสาวงามที่โดดเด่นในระดับตำบล ทุกวันนี้เพราะมีนางคอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย ฉินเฟิงจึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น นอกจากนั้น การหาภรรยาก็เหมือนกับการสั่งอาหาร เราไม่สามารถกินปลาตัวใหญ่และเนื้อสัตว์ได้ตลอด อย่างไรสักวันก็ต้องเลี่ยน ดังนั้นต้องหาเครื่องเคียงเบา ๆ มากินคู่กันบ้าง…
เสี่ยวเซียงเซียงมีความน่าสนใจในจุดนี้
นายน้อยฉินกอดสาวใช้ในอ้อมแขนแน่น พลางแสดงท่าทางไร้เดียงสาใสซื่อ “นายน้อยชอบเจ้าที่เป็นแบบนี้”
“อ๊ะ” เสี่ยวเซียงเซียงอดใจเต้นแรงไม่ได้ นางส่งเสียงร้องออกมาแผ่วเบาเพราะความตระหนก จากนั้นก็ตัวสั่นเป็นลูกนกตกรัง
ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อ ประตูก็ถูกเปิดจากด้านนอกด้วยแรงที่ไม่เบานัก
ฉินเสี่ยวฝูเดินโซซัดโซเซเข้ามาและทำท่าจะตะโกนเสียงดัง แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า เด็กหนุ่มก็ตัวแข็งทื่อไป
เสี่ยวเซียงเซียงตกใจจนตัวสั่น นางออกแรงดิ้นให้หลุดจากฉินเฟิงแล้วกระโดดลงจากเตียงมานั่งด้านข้าง สาวใช้ตัวน้อยก้มศีรษะลงและไม่ขยับตัวอีก เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้เสียขวัญแล้ว
เมื่อบรรยากาศดี ๆ ถูกทำลาย ฉินเฟิงโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มาตอนไหนไม่มาดันมาช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม!
“ไอ้เด็กตัวเหม็น จะเข้ามาก็ไม่รู้จักเคาะประตู เจ้าตั้งใจใช่หรือไม่?” นายน้อยตระกูลฉินสงสัยอย่างยิ่งว่าฉินเสี่ยวฝูเป็นสายลับที่หลิ่วหงเหยียนส่งมาเพื่อจับตาดูเขาหรือเปล่า! เหตุใดถึงปรากฏตัวขึ้นถูกเวลาทุกครั้งเชียว?
ฉินเสี่ยวฝูสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตแค้นของผู้เป็นนายจึงตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบขยี้ตาและกล่าว “นายน้อย ตอนข้าเปิดประตูถูกฝุ่นเข้าตา เมื่อครู่ข้าไม่เห็นอะไรเลยนะขอรับ”
ฉินเสี่ยวฝูไม่ได้โง่ ไม่ต้องพูดถึงว่าระหว่างฉินเฟิงและเสี่ยวเซียงเซียงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะต่อให้มันเกิดขึ้นจริง เขาก็ทำได้เพียงแสร้งตาบอด มิเช่นนั้น หากรายงานว่านายน้อยเกินเลยกับสาวใช้ ฉินเสี่ยวฝูคงรับผลที่จะตามมาไม่ไหวแน่
นายน้อยตระกูลฉินกระโดดลงจากเตียง คว้าคอเสื้อบ่าวรับใช้คนสนิท เขาหรี่ตาเล็กน้อยราวกับกำลังสอบปากคำนักโทษ “เจ้าเข้ามาในห้องข้าโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู ใครให้ความกล้านี้แก่เจ้า? บอกข้ามาตรง ๆ เจ้าเป็นสายของพี่หญิงรองใช่หรือไม่? มาสอดแนมชีวิตส่วนตัวของข้าหรือความลับทางการค้า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของฉินเสี่ยวฝูก็ซีดเผือด ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจ “ข้าถูกใส่ร้าย แม้ว่านายน้อยจะให้ข้ายืมร้อยความกล้า ข้าก็ไม่กล้าขายท่านหรอกขอรับ หากนายท่านล่วงรู้ ตามความผิดของการ ‘เกินเลยกับสาวใช้’ ข้าน้อยคงถูกโบยตายทันที ที่วันนี้เสี่ยวฝูบุกรุกเข้ามาในห้องนอนของนายน้อยเพราะมีเรื่องเกิดขึ้น นายน้อยโปรดเข้าใจด้วย”
ฉินเฟิงสบตาฉินเสี่ยวฝูครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่มีความกล้า เขาก็ปล่อยมือจากคอเสื้ออีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจนัก ชายหนุ่มกล่าวเคือง ๆ “เสี่ยวเซียงเซียงเป็นสาวใช้ข้างกายนายน้อยอย่างข้า … “
ก่อนนายน้อยตระกูลฉินจะพูดจบ ฉินเสี่ยวฝูก็ยิ้มหน้าระรื่นและลูบมือประจบเอาใจ “เข้าใจขอรับ เข้าใจทุกอย่างขอรับ”
“เข้าใจบ้านเจ้าสิ!” ฉินเฟิงยื่นมือออกไปตบหน้าผากอีกฝ่าย พลางหรี่ตาขู่ “หากเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเซียงเซียง ข้าจะเล่นงานเจ้าคนแรก!”
ตั้งแต่เจ้าเด็กนี่มาเป็นบ่าวข้างกายเขา นับวันยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ ถึงเวลาที่จะต้องเคาะกะโหลกบ้างแล้ว ด้วยเกรงว่าในอนาคต เด็กนี่จะอาศัยชื่อนายน้อยตระกูลฉินออกไปรังแกบุรุษข่มขู่สตรี
ดังคำกล่าวที่ว่า พญายมนั้นรับมือได้ง่าย ภูติผีน้อยรับมือยาก ในอดีตจวบจนปัจจุบัน เหตุการณ์ลูกน้องสร้างปัญหาให้เจ้านายมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย นายน้อยตระกูลฉินไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง
“ว่ามา ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ฉินเฟิงดึงเสี่ยวเซียงเซียงที่กำลังจะหนีไปกลับมาและส่งสัญญาณว่าไม่ต้องกลัว ในพื้นที่สามไร่ของเขา ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้มาก็ไม่หวั่น
เสี่ยวเซียงเซียงนั่งลงข้างชายหนุ่มอย่างเขินอายและปล่อยให้เขาพูดต่อ
ฉินเสี่ยวฝูทิ้งรอยยิ้มทะเล้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ตอบนายน้อย ข้าเพิ่งได้รับจดหมายว่า หลี่หนิงฮุ่ยพาฉีหยางจวิ้นจู่ไปที่หอวิจิตรศิลป์”
หัวใจของฉินเฟิงเต้นไม่เป็นจังหวะ หลี่หนิงฮุ่ยผู้นี้เป็นคนรู้จักเก่าแก่ นางคือพี่หญิงของหลี่รุ่ย แม้จะเป็นลูกอนุภรรยา แต่เพราะเป็นคนเจ้าแผนการจึงเป็นที่รักใคร่ของหลี่หวนเสนาบดีกรมคลัง ด้วยเหตุนี้นางจึงคบค้าสมาคมกับผู้มีชื่อเสียงของเมืองหลวงจำนวนมากและติดต่อกับ ‘ฉีหยางจวิ้นจู่’ บ่อยที่สุด
ฉีหยางจวิ้นจู่เป็นบุตรสาวขององค์หญิงใหญ่เซียวอวิ๋นรุ่ยและอันกั๋วโฮ่ว อันกั๋วโฮ่วเคยสร้างคุณูปการมากมายให้กับต้าเหลียง เขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วยเมื่อไม่กี่ปีก่อน ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงถึงกับเป็นประธานในพิธีศพด้วยตนเอง แน่นอน พระองค์รับปากว่าจะดูแลไข่มุกล้ำค่าของอันกั๋วโฮ่วเป็นอย่างดี ดังนั้น ฉีหยางจวิ้นจู่จึงอาศัยฐานะสมาชิกของราชวงศ์ และความโปรดปรานจากฮ่องเต้ วางท่าหยิ่งยโส ใช้อำนาจบาตรใหญ่ โดยไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา
ทว่าเท่าที่ฉินเฟิงรู้ ฉีหยางจวิ้นจู่และตระกูลฉินไม่เคยมีบุญคุณความแค้นต่อกัน เหตุใดจู่ ๆ จึงไปที่หอวิจิตรศิลป์?
เจ้าของหอวิจิตรศิลป์คือพี่หญิงคนโตของฉินเฟิง เสิ่นชิงฉือ ที่นั่นเป็นสถานที่รวมตัวกันของปัญญาชนนับไม่ถ้วนทั่วเมืองหลวง
เห็นได้ชัดว่าการมาเยือนหอวิจิตรศิลป์อย่างกะทันหันของฉีหยางจวิ้นจู่ ต้องได้รับการยุยงจากหลี่หนิงฮุ่ย อีกฝ่ายคงจะยืมมือนางให้กำจัดเสิ่นชิงฉือและโจมตีตระกูลฉิน
ฉินเฟิงคาดการณ์มานานแล้วว่า ตระกูลหลี่นั้นไม่ยอมยุติกรณีพิพาทลงแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ตระกูลเฉิงถูกหมิ่นเกียรติและหอเซียนเมามายถูกล่วงเกิน ตระกูลหลี่ย่อมถือว่านายน้อยตระกูลฉินเป็นเสี้ยนหนามตำใจ จึงต้องการกำจัดทิ้งโดยเร็วที่สุด
ฉินเฟิงเอนกายพิงร่างเสี่ยวเซียงเซียง เพิกเฉยต่อแรงผลักจากความขวยเขินของนางพลางพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย “เกรงว่าแม่นางสองคนนั้นคงไม่ได้ไปหอวิจิตรศิลป์เพื่อโอ้อวดวาทศิลป์หรอกกระมัง?”
‘แม่นางสองคนนั้น’ เมื่อได้ยินคำเรียกขานของฉินเฟิง ฉินเสี่ยวฝูก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะเบา ๆ
ใต้หล้านี้เกรงว่าจะมีเพียงนายน้อยของเขาเท่านั้น ที่กล้าเรียกหญิงงามชื่อดังแห่งเมืองหลวงทั้งสองลวก ๆ เช่นนี้
“ตอบนายน้อย ฉีหยางจวิ้นจู่ไปหอวิจิตรศิลป์เพื่อขอบทกวี แล้วยังเอ่ยอีกว่า หากไม่ได้บทกวีที่ต้องการจะปิดหอวิจิตรศิลป์เสีย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉินเฟิงก็หัวเราะขบขัน “จะปิดหอวิจิตรศิลป์หากไม่ได้บทกวี? นางคิดว่านางเป็นใครกัน? เป็นเง็กเซียนฮ่องเต้หรือ? เมืองหลวงนี้ยังมีขื่อมีแปรอยู่อีกหรือไม่?”
“เป็นความจริงที่ฉีหยางจวิ้นจู่เป็นสมาชิกของราชวงศ์ ทว่าตระกูลฉินนั้นก็เป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก พวกเราไม่ได้ต่ำต้อยขนาดที่ผู้ใดก็สามารถรังแกได้”
“หากฉีหยางจวิ้นจู่กล้าปิดหอวิจิตรศิลป์ ข้าก็กล้าเข้าวังไปฟ้องร้อง” นายน้อยตระกูลฉินแสดงออกว่าไม่สนใจ อย่างไรตอนนี้เขาก็กำลังกอดต้นขาฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงอยู่ ชายหนุ่มไม่ยอมเสียอำนาจไปแน่
เสี่ยวเซียงเซียงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนน้ำเสียงต่ำ “นายน้อย ข้าราชบริพารมีข้อห้ามสูงสุดคือการสร้างศัตรูกับราชวงศ์ องค์หญิงฉีหยางแค่ขอบทกวีที่ ทำให้นางพอใจ เช่นนั้น จะเป็นอะไรไปเล่าเจ้าคะ ศัตรูควรได้รับการแก้ไขมากกว่าผูกปมแค้น”
MANGA DISCUSSION