บทที่ 27 ทำการค้า
ฉินเฟิงนับนิ้วไปมา เขาคำนวณบัญชีต่อหน้าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง “ในเมื่อฝ่าบาทจะยืมเงินจากกระหม่อม แน่นอนว่าคงไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยคืนได้ ดังนั้นดอกเบี้ยส่วนนี้จะถูกแทนที่ด้วยสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงดูงุนงง “ทรัพย์สินทางปัญญา? เจิ้นไม่เคยได้ยินมาก่อน”
ฉินเฟิงพยายามอธิบายอย่างช้า ๆ “พูดง่าย ๆ คือ ในภายภาคหน้าสินค้าที่กระหม่อมทำออกมาขาย คนอื่นจะไม่สามารถขายได้ ความคิดของกระหม่อมจะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายของต้าเหลียง หากผู้ใดขโมยความคิดของกระหม่อมจะต้องถูกลงโทษ”
แม้ว่านายน้อยฉินจะเป็นพ่อค้าหน้าเลือด แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา พูดภาษาชาวบ้านคือ ข้าขโมยของเจ้าได้ แต่เจ้าห้ามขโมยของข้า!
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเข้าใจความหมายของฉินเฟิง แต่ก็ส่ายพระพักตร์ “ไม่เคยมีแบบอย่างมาก่อน”
ฉินเฟิงอยากจะดุอีกฝ่ายว่าโง่จริง ๆ แต่เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งตระกูลต้องโทษประหารจึงทำได้เพียงยับยั้งคำพูด จากนั้นก็ปั้นรอยยิ้มการค้าและเริ่มเจรจาต่อรอง “ถ้าฝ่าบาทยินยอมที่จะสร้างแบบอย่างไว้ กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทสร้าง… กองกำลังหน้าไม้ที่แข็งแกร่งสามกอง กองดาบใหญ่หกกอง และกองกำลังทหารราบชั้นยอดหนึ่งหมื่นนาย”
นี่เทียบเท่ากับกองทัพที่มีสามกองกำลัง ข้าไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะไม่สั่นคลอน!
พระเนตรของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงวูบไหวแวววาว “เจ้ารู้หรือไม่ ความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงมีโทษสถานใด”
ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และพูดต่อไป “แต่กระหม่อมเองก็ไม่ค่อยมีเงินนัก ฝ่าบาทต้องให้กระหม่อมเตรียมตัวเป็นเวลาสามปี โดยในหนึ่งปีจะมีการส่งมอบหนึ่งกองกำลัง แน่นอนว่า ต้องเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร”
หลังจากพูดจบนายน้อยตระกูลฉินก็เปิดกองฎีกาที่อยู่ถัดจากฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง เขาหยิบกระดาษเปล่า พู่กัน และหมึกออกมาเขียนตัวอักษรบิด ๆ เบี้ยว ๆ ก่อนจะลงนามตนเอง จากนั้นก็ผลักมันไปหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ด้วยหน้าตาแช่มชื่น “ขอเพียงฝ่าบาทลงนาม สัญญาของเราก็จะเสร็จสมบูรณ์”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้ารู้หรือไมว่าถ้าเจิ้นลงนามบนนี้จะหมายความว่าอย่างไร หากวาดวงกลมแทนเล่า?”
ฉินเฟิงเอียงศีรษะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “เช่นนั้นก็ได้ กระหม่อมค่อนข้างเชื่อใจฝ่าบาท”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงส่ายพระพักตร์พลางแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นก็วาดวงกลมในช่องลงนาม
สัญญามีสองชุด ชุดหนึ่งสำหรับฮ่องเต้ และอีกชุดหนึ่งฉินเฟิงเก็บไว้กับตัวเอง
ทันใดนั้นก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขากระซิบกระซาบข้างพระกรรณฮ่องเต้แผ่วเบา “ฝ่าบาท กระหม่อมวางแผนที่จะเปิดหอสุราในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฝ่าบาทสนใจที่จะร่วมลงทุนหรือไม่”
“โอ้?” ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงตรัสพร้อมแย้มพระสรวล “ว่ามาสิ”
นายน้อยตระกูลฉินลดเสียงของตนให้ได้ยินกันเพียงเขาและคู่สนทนา ทันทีที่กล่าวความคิดออกมา ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ทรงพระเกษมสันต์อย่างยิ่ง พระองค์ไม่ได้ตรัสอันใด เพียงแค่พยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงว่ารับปากเท่านั้น
ชายหนุ่มประสบความสำเร็จทางการเจรจา เขาเดินออกจากโต๊ะและกลับไปยืนตำแหน่งเดิม
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงกระซิบกับฉินเทียนหู่ “เสนาบดีฉิน ไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้น ลุกขึ้นเถิด”
ฉินเทียนหู่ยืนขึ้นช้า ๆ จ้องมองฉินเฟิงอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ลอบถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
ฮ่องเต้หันกลับมาที่บุรุษหนุ่มเบื้องหน้า ก่อนจะตรัสถามเรื่องที่ยังกังขา “เรื่องแผนภาพได้รับการตัดสินแล้ว เจ้าลองอธิบายเรื่องกลยุทธ์ทางการทหารซิ หรือมันก็ถูกคัดลอกมาด้วยเช่นกัน”
“กราบทูลฝ่าบาท กลยุทธ์ทางการทหารนั้นเป็นกระหม่อมสรุปออกมาเองพ่ะย่ะค่ะ” คนถูกถามตอบด้วยท่าทีสบาย ๆ
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงหรี่พระเนตร “สรุปอย่างไร?”
“ต่อยตี! ลูกขุนนางพวกนั้นรังแกกระหม่อมตลอดทั้งวัน กระหม่อมคงไม่อาจยอมถูกเฆี่ยนตีง่าย ๆ เช่นนี้ต่อไป จริงไหมพ่ะย่ะค่ะ ดังคำกล่าวที่ว่า ป่วยนานวันจนกลายเป็นหมอดี…”
ก่อนฉินเฟิงจะพูดเรื่องไร้สาระนี้จบ เสียงทรงพระสรวลของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงก็ดังก้องไปทั่วห้องทรงพระอักษรแล้ว
หลี่จ้านมองฉากตรงหน้าอย่างมีความสุข ตั้งแต่เป่ยตี๋บุกรุกเข้ามา เขาก็ไม่ได้ยินฮ่องเต้ทรงพระสรวลอย่างสบายพระทัยเช่นนี้มานานแล้ว
ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ คำที่ออกจากปากฉินเฟิง แท้จริงแล้วฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงไม่เชื่อสักคำเดียว อย่างไรก็ตาม แม้ชายผู้นี้จะดูบ้า ๆ บอ ๆ แต่เขาก็มีความสามารถยอดเยี่ยม ไม่มีความจำเป็นต้องลองเชิงใด ๆ อีก
เทียบกับเหล่าขุนนางที่พูดแต่เรื่องไร้สาระทั้งยังห่วงหน้าพะวงหลัง ฮ่องเต้ชอบการสนทนากับฉินเฟิงมากกว่า แน่นอนว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกครั้งที่เด็กคนนี้พูด คำพูดของเขาพุ่งเข้าประเด็นสำคัญและหาวิธีแก้ไขได้ทันที ถ้าอีกฝ่ายพูดเพียงคำไพเราะน่าฟัง ความอดทนของผู้ครองแคว้นคงหมดลงนานแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเริ่มชินกับรูปแบบการจัดการของฉินเฟิง จึงตรัสถามตรง ๆ “เป่ยตี๋บุกรุกชายแดน ถ้าเราไม่ส่งกองกำลังไปปราบปรามจะสร้างความเสียหายต่อต้าเหลียง เพียงแต่มีอุปสรรคมากมายในการส่งกำลังทหารไป คือ ขุนนางใหญ่ในราชสำนักมีสองฝักสองฝ่าย พวกที่ไม่อยากส่งทหารไปทำการศึกนั้นครองเสียงข้างมาก ถึงเจิ้นจะเป็นผู้ครองแคว้นก็ไม่อาจตัดสินใจได้เองเพียงลำพัง”
“ตีมันสิพ่ะย่ะค่ะ!” ฉินเฟิงถกแขนเสื้อขึ้นและโพล่งออกมา
ใบหน้าของฉินเทียนหู่เข้มขึ้นจนน่ากลัว เสนาบดีกรมกลาโหมยกขาเตะออกไป “บังอาจพูดไร้สาระ!”
ฉินเฟิงทำหน้ามุ่ย เบะปากกล่าว “ข้าหมายถึงตีพวกคนเถื่อนเป่ยตี๋ ท่านพ่อ ท่านคิดกระไร”
ฉินเทียนหู่ร้อนใจยิ่งกว่าเดิม “ยังกล้าพูดอีก หรือต้องดึงลิ้นของเจ้าออกมาเสียก่อนเจ้าถึงจะหยุด”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงเข้าใจคนเป็นพ่อ ความสัมพันธ์และผลประโยชน์ในราชสำนักลึกซึ้งเกินไป บางสิ่งก็ยากจะพูดให้ชัดเจน มิเช่นนั้น หากพรรคพวกของกรมคลังเอาจริงขึ้นมา ฉินเทียนหู่ผู้เดียวอาจไม่สามารถจัดการได้
ฮ่องเต้จึงเปลี่ยนหัวข้อ “หากมีใครบุกรุกตระกูลฉิน ไม่เพียงแต่โจมตีคนในตระกูลแต่ยังครอบครองทรัพย์สินของตระกูลด้วย เจ้าในฐานะหัวหน้าตระกูล มีความตั้งใจที่จะสั่งสอนบทเรียนพวกมันแต่ไร้หนทางเพราะขาดกำลังทรัพย์ กำลังคน และยุทโธปกรณ์จะจัดการอย่างไร?”
นายน้อยฉินไม่หยุดคิด เอ่ยปากตอบ “ไม่มีเงิน? ข้าก็จะทุบหม้อขายเหล็กทิ้ง!*[1] ทั้งตระกูลมาช่วยกันรบ มีอะไรก็ใช้อันนั้น สู้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“หากแพ้ก็ดีกว่านั่งรอความตาย และหากชนะก็จะได้เงินกลับมามากมาย ดังคำกล่าวที่ว่าหล่อเลี้ยงสงครามด้วยสงคราม”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ได้หักล้างหรือไม่ยอมรับ แต่มีกลยุทธ์อยู่ในพระทัยเอง
เจ้าตัวเหม็นที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าเบื้องหน้าผู้นี้ ยิ่งมองดูก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตา
ในเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ฉินเฟิงก่อความผิดโทษประหารไปแล้วหลายข้อ มันเพียงพอที่จะประหารเขาร้อยครั้ง ไม่สิ เพียงพอที่จะประหารตระกูลฉินเก้าชั่วโคตรเลยด้วยซ้ำ เอาเป็นว่า ความผิดเหล่านี้จดไว้ก่อน หากฉินเฟิงผู้นี้ทำได้ตามคำพูดก็จะละเว้นโทษ แต่หากไม่ บัญชีเก่าและบัญชีใหม่จะถูกชำระพร้อมกัน ถึงตอนนั้นตระกูลฉินจะตายหรือไม่ เขาไม่รู้ แต่ที่รู้ ๆ เจ้าเด็กคนนี้น่ะตายแน่!
“เสนาบดีฉิน บุตรชายของเจ้าไม่เพียงเข้าใจกลยุทธ์ทางการทหารอย่างลึกซึ้งเท่านั้น แต่ยังรู้กลยุทธ์ในการบริหารราชการแผ่นดินอีกด้วย เจิ้นรู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตา แม้ว่าจะดูมีชีวิตชีวามากไปหน่อย แต่ก็ไม่นับเป็นความผิดอะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเทียนหู่ก็วางหินก้อนใหญ่ที่หนักอึ้งในใจลงได้ในที่สุด ร่างกายที่ตึงเครียดของเขาผ่อนคลายลง เสนาบดีกรมกลาโหมรีบคุกเข่ากราบขอบพระทัย “ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาท เป็นโชคของฉินเฟิงและตระกูลฉินพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงโยนฎีกาคดีความผิดฐานทุบตีบุตรชายขุนนางของฉินเฟิงลงบนพื้น จากนั้นก็ยื่นพระหัตถ์อีกข้างออกมาหยิบฎีกานั้นออกไปวางหลังฉากบังลมแล้วรวบรวมบันทึกความผิดใหม่เข้าด้วยกัน เก็บแยกไว้สำหรับบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมโดยเฉพาะ ส่วนจะชำระความเมื่อใด หาได้ขึ้นอยู่กับเขาไม่ มันขึ้นอยู่กับตัวฉินเฟิงต่างหาก
ฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงและฉินเทียนหู่ยังมีเรื่องต้องปรึกษากัน ดังนั้นจึงรับสั่งให้คนแสร้งบ้าออกไปก่อน
นายน้อยฉินเดินออกจากห้องทรงพระอักษร ทันทีที่ประตูปิดลง เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเย็น
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถจัดการกับฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงด้วยวิธีที่เคยประพฤติตามท้องถนนได้หรือไม่…
[1] ทุบหม้อขายเหล็กทิ้ง : เอาทุกอย่างเท่าที่มีทั้งหมดออกมา
MANGA DISCUSSION