บทที่ 23 คำบัญชาของฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง
ฉินเฟิงจ้องมองผู้มาใหม่เบื้องหน้าอย่างสนอกสนใจ พบว่าคนแรกที่กำลังวิ่งเข้ามาคือขันทีน้อยหน้าขาวใส ตามด้วยชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะครบเครื่อง
ไอหยา แม้แต่ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ก็อยู่ที่นี่? ดูท่าฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงจะให้ความสำคัญกับเขามาก! เมื่อตระหนักได้ถึงจุดนี้ นายน้อยตระกูลฉินยิ่งรู้สึกลำพองใจมากขึ้น
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์กวาดตามอง ท่วงท่าของเขาน่ายำเกรงจนไม่มีผู้ใดกล้าสบตา
เมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปยังทหารรักษาพระองค์ที่ปลอมตัวมา สีหน้าผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์พลันเข้มขึ้นทันที เขาตะคอกอย่างเย็นชา “สวะ! พวกเจ้าเป็นทหารรักษาพระราชวัง มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถโยกย้ายกำลังพลได้ กล้าดีอย่างไรจึงละเลยหน้าที่ เด็ก ๆ เอาเจ้าสารเลวพวกนี้ไปตัดหัวให้หมด!”
สิ้นเสียง ทหารรักษาพระองค์กลุ่มหนึ่งพร้อมอาวุธครบมือก็พุ่งเข้ามาคุมตัวทหารรักษาพระองค์ที่ปลอมตัวมาหลายสิบนายไปด้านนอก จากนั้นก็ตัดหัวเสียบประจานทันที
จ้าวฉางฟู่หน้าซีดด้วยความตกใจ ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงด้วยซ้ำ
ทว่าฉินเฟิงกลับไม่ยินดีกับคำสั่งนั้น ดูเผิน ๆ เหมือนว่าผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ผู้นี้กำลังลงโทษคนผิด แต่แท้จริงแล้วเขากำลังช่วยองค์ชายรองเก็บกวาดความยุ่งเหยิงต่างหาก เพราะหากเรื่องโยกย้ายทหารรักษาพระราชวังอย่างลับ ๆ นี้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ ต่อให้องค์ชายรองกระโดดแม่น้ำฮวงโหก็คงไม่อาจหนีพ้น ยิ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ ยิ่งต้องระมัดระวังให้มาก การก้าวล่วงฮ่องเต้ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาด
ไม่ใช่ว่าผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์มีเจตนาร้ายอะไร เขาเพียงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราววุ่นวายใหญ่โตขึ้นก็เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ขันทีชราตัวอ้วนฉุวัยหกสิบเศษก็ก้าวเข้ามาด้วยท่าทีไม่รีบร้อน
จ้าวฉางฟู่อยากจะคุกเข่าเพื่อแสดงความเคารพ แต่ก็เกรงอีกฝ่ายจะถือ จึงทำได้เพียงโค้งตัวลงให้ต่ำที่สุด “ยินดีต้อนรับท่านหัวหน้าขันที”
เมื่ออู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นเห็นเช่นนี้ก็วิ่งหลุน ๆ ไปคำนับและทำความเคารพผู้มาใหม่เช่นกัน
หลี่จ้านเมินเฉยไม่สนใจ ชายชราเพียงกวาดตามองไปรอบ ๆ และเปล่งเสียงแหลมคมราวเป็ดตัวผู้ “ผู้ใดคือฉินเฟิง?”
หลี่จ้านได้ยินชื่อเสียงเหม็นโฉ่ของนายน้อยตระกูลฉินมานานแล้ว แต่วัน ๆ เขารับใช้อยู่ข้างกายฝ่าบาท จึงไม่เคยเห็นบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมด้วยตาตนเองมาก่อน
ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่แท่นเวทีไม้
เมื่อหลี่จ้านเห็นเช่นนี้ย่อมหันไปมองตาม ทว่าฉินเฟิงกลับดูเหมือนไม่ได้ยินเขา อีกฝ่ายเพียงแค่ยืนทำหน้าทำตาสื่อว่า ‘จะทำอะไรก็ทำ’
ขันทีหลี่ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ น่าเสียดายที่เขามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ จึงไม่สะดวกมีเรื่องกับนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้ ชายชรากล่าวเสียงทุ้ม “ฉินเฟิงรับคำสั่ง”
ไม่ว่าฉินเฟิงจะลอยชายเพียงใด เขาก็ยังแยกความแตกต่างระหว่างคุณและโทษได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากแท่นเวทีไม้ จากนั้นก็วิ่งไปหาหลี่จ้านพร้อมรอยยิ้มแหย “ฉินเฟิงน้อมรับคำสั่ง”
ใบหน้าเหี่ยวย่นของขันทีหลี่สงบนิ่ง “ใต้เท้าเสนาบดีสอนให้เจ้ายืนรับคำสั่งหรือ?”
นายน้อยตระกูลฉินรู้สึกราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน เขาร้องอ้อเสียงยาว แต่กลับไม่คุกเข่าและยื่นมือออกไป “หา? สมองของข้าไม่ค่อยดี เอามาให้ข้าเถอะ”
หลี่จ้านหน้าตาบูดบึ้ง เขาตบเข้าที่ฝ่ามือของฉินเฟิงอย่างรุนแรง ชายชราเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีหนังสือรับสั่ง ล้างหูของเจ้าให้สะอาดซะ เตรียมฟังรับสั่งของฝ่าบาทให้ดี ฉินเฟิงบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมจงมาเข้าเฝ้าที่วังหลวง”
นายน้อยเจ้าสำราญเอามือป้องปากพร้อมกับแยกเขี้ยวยิงฟัน เขาไม่คำนึงยศถาบรรดาศักดิ์และเอ่ยเรียก ‘ขันที’ โดยตรง “ขันทีหลี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากไป แต่จ้าวฉางฟู่พูดแล้วว่าจะสั่งสอนบทเรียนข้า ข้าต้องล้างตูดรอโดนเฆี่ยนน่ะสิ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น จ้าวของหอเซียนเมามายในนามก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
หลี่จ้านกำลังจะตะโกนตำหนิฉินเฟิงที่หยาบคาย แต่กลับกลืนคำพูดลงไปอีกครั้ง อย่างไรเสีย ฝ่าบาทก็เป็นคนเรียกเจ้าเด็กนี่ไปเข้าเฝ้าจึงไม่ควรดุด่าว่ากล่าวเขาในตอนนี้ นอกจากนั้น… เมื่อไม่กี่วันก่อนฉินเฟิงก็ตกย้ำจนสมองพิการไปแล้วจริง ๆ เช่นนั้น จะให้ถือสาคนบ้าได้อย่างไร ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือพานายน้อยตระกูลฉินเข้าพระราชวังโดยเร็ว
หลี่จ้านชำเลืองมองจ้าวฉางฟู่และเอ่ยอย่างเย็นชา “มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?”
จ้าวฉางฟู่หวาดกลัวจนเหงื่อแตกพลั่กไปทั่วตัวมานานแล้ว เขาส่ายศีรษะไปมา “ท่านหัวหน้าขันทีโปรดตรวจสอบ เห็นได้ชัดว่าเจ้าสารเลวฉินเฟิงสร้างความวุ่นวายในหอเซียนเมามาย”
ทันทีที่พูดจบนายน้อยตระกูลฉินก็ตบเข้าที่บ้องหูจ้าวฉางฟู่อย่างแรงเสียจนอีกฝ่ายมึนงง สีหน้าเขาสับสนไปหมด
หลี่จ้านเองก็ตกใจเช่นกัน เขากำลังจะดุฉินเฟิง ทว่าเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเดือดดาลเข้าเสียก่อน
“เจ้าสารเลว กล้าเอ่ยวาจาใส่ร้ายคนบริสุทธ์ได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าอู๋ยงทำร้ายข้าก่อน”
จ้าวฉางฟู่ป้องใบหน้าและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเกลียดชัง อย่างไรก็ตาม เขาไม่กล้ามีเรื่องต่อหน้าขันทีหลี่จึงทำได้เพียงกระซิบ “ใครถูกใครผิด แน่นอนว่าย่อมมีคนตัดสิน”
นายน้อยตระกูลฉินไม่พูดไม่จา เขายกขาเตะจ้าวฉางฟู่ให้หมอบลงไปกับพื้น ก่อนจะหันกลับมาร้องทุกข์กับหลี่จ้าน “ดูสิขันทีหลี่ เจ้าสารเลวนี่กำลังขู่ขวัญข้าอีกแล้ว”
หลี่จ้านตกตะลึง นายน้อยตระกูลฉินทำให้เขาโกรธจนหัวเราะ เจ้าเด็กนี้กำเริบเสิบสานอย่างที่เขาลือจริง ๆ แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว บางทีคงมีแต่คนแปลกประหลาดเช่นนี้เท่านั้นจึงสามารถคิดภาพประกอบกลยุทธ์นั่นได้
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาฝ่าบาทล้วนกังวลเกี่ยวกับเป่ยตี๋ พาลให้อารมณ์หงุดหงิดอยู่ตลอด แต่พอได้รับภาพประกอบกลยุทธ์ของฉินเทียนหู่กลับทรงพระสรวลเสียงดังอยู่เป็นเวลานาน บรรยากาศกดดันที่แทรกซึมอยู่ในห้องทรงพระอักษรล้วนสลายหายไปสิ้น เมื่อคิดได้ดังนั้น หลี่จ้านรู้สึกว่าเขาควรจะขอบคุณฉินเฟิงเสียด้วยซ้ำ
เมื่อรู้ว่านายน้อยตระกูลฉินกำลังใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ชายชราจึงยอมหลับตาข้างนึง เขาหันไปมองอู๋ยงและอันชื่ออวิ๋น “นายน้อยทั้งสอง พวกท่านต้องการขัดรับสั่งหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นก็คุกเข่าลงและเอ่ยพร้อมกัน “มิกล้า”
“ฮึ่ม!” สายตาของหลี่จ้านเต็มไปด้วยความดูถูก “แล้วเหตุใดยังไม่รีบขอโทษฉินเฟิง!”
แม้ว่าทั้งสองจะไม่พอใจถึงขีดสุด แต่เมื่อบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมมีหลี่จ้านหนุนหลังกัน พวกเขาก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นอีก ได้แต่หันกลับมาหานายน้อยตระกูลฉินอย่างดื้อรั้น
“นายน้อยฉิน พวกเราสองคนมีตาแต่ไร้แวว ทำให้ท่านขุ่นเคืองแล้ว โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย”
“ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
ฉินเฟิงร้องอ้อเสียงยาว “เช่นนั้น เจ้าสองคนยอมรับแล้วหรือว่าลงมือกับข้าก่อน?”
ไม่ว่าอู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นจะโง่เขลาเพียงใด พวกเขาก็เข้าใจความหมายของนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้ หากทั้งคู่ยอมรับก็จะไม่สามารถแก้ตัวได้อีก แต่หากไม่ยอมรับก็จะไม่สามารถอธิบายกับหลี่จ้านได้
หลังจากชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว นายน้อยทั้งสองก็ได้แต่กลืนหวงเหลียนอย่างบื้อใบ้*[1]
ในทางตรงกันข้ามฉินเฟิงกลับหน้าชื่นตาบานด้วยความปีติ “ทุกคนล้วนเป็นบุตรขุนนาง หากเงยหน้าไม่พบก้มหน้าก็ได้เจอ*[2] เรื่องคราวนี้วุ่นวายเกินกว่าจะปล่อยผ่านไป เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้าสองคนจ่ายค่ายาและค่าความเสียหายทางจิตใจหนึ่งแสนตำลึงเงินให้ข้าซะ เช่นนี้ก็พลิกเรื่องได้แล้ว ตกลงหรือไม่?”
อู๋ยงตัวสั่นด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฝ่ายโดนทุบตีอย่างหนัก แต่สุดท้ายกลับต้องจ่ายค่ายาให้กับฉินเฟิง? ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว!
ในขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น หลี่จ้านก็ไอขึ้นเบา ๆ ด้านข้าง
นายน้อยอู๋จึงตัวสั่นไม่กล้าลังเลอีกต่อไป เขากัดฟันตอบ “หนึ่งแสนตำลึงเงิน ตกลง!”
ฉินเฟิงพอใจมาก “ไอหยา ข้ารู้สึกว่าอาการของข้าดีขึ้นไม่น้อย เจ้าสองคนส่งเงินมาที่จวนตระกูลฉินโดยเร็วที่สุดนะ หากช้าข้าจะนำ ‘วงดนตรี’ ไปเยี่ยมถึงหน้าจวนพวกเจ้า!”
บทกวีตลกที่ฉินเฟิงแต่งขึ้นได้แพร่กระจายออกไปแล้ว อู๋ยงกับอันชื่ออวิ๋นจึงทำได้เพียงลอบกัดฟัน และกลืนความขุ่นเคืองเข้าไปในท้อง
นายน้อยตระกูลฉินยื่นมือยีหัวทั้งสองคนจนผมเผ้ายุ่งเหยิงแล้วค่อยผละออก “เด็กดี คราวหน้าคราวหลังก็อยู่ให้ห่างจากนายน้อยอย่างข้าไว้ล่ะ ไม่เช่นนั้นหากโรคกำเริบอีก ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องเลี้ยงดูข้าไปตลอดชีวิต!”
ทั้งสองมีสีหน้าขุ่นเคือง พวกเขาอยากจะกลืนฉินเฟิงทั้งเป็นใจแทบขาด
ก่อนจากไป จู่ ๆ นายน้อยตระกูลฉินก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาหันกลับมาตะโกนบอกเสิ่นชิงชวงที่อยู่บนแท่นเวทีไม้ “แม่นาง ไยยังไม่ตามนายน้อยอย่างข้ากลับจวนอีกเล่า?”
[1] กลืนหวงเหลียนอย่างบื้อใบ้ : ไม่สามารถพูดความทุกข์ใจออกไปได้
[2] เงยหน้าไม่พบก้มหน้าก็ได้เจอ : ไม่ว่าจะเงยหน้าหรือก้มหน้าล้วนได้พบเจอกันบ่อยครั้ง
MANGA DISCUSSION