บทที่ 22 อาการกำเริบอีกแล้ว
ใบหน้าของจ้าวฉางฟู่เข้มขึ้นหลายส่วน เขาเงยหน้ามองฉินเฟิงอย่างเย็นชา ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวอยู่หลังชูเฟิง และเสิ่นชิงชวงโดยมีเพียงส่วนหัวเท่านั้นที่ยื่นออกมาระหว่างแขนของสตรีทั้งสองนาง ทำท่าทางราวกับบอกว่า ‘ข้ากลัวแล้ว’
เจ้านี่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังสตรีเมื่อเกิดเรื่องต่าง ๆ และออกมาทำตัวกร่างพร้อมวางอำนาจเมื่อเหตุการณ์สงบ ช่างคู่ควรกับการเป็นนายน้อยตระกูลฉินเสียจริง ๆ เรื่องความไร้ยางอายไม่มีใครในเมืองหลวงเทียบเขาได้!
จ้าวฉางฟู่ตะคอกอย่างเย็นชา “นายน้อยฉิน ไม่ต้องพูดถึงการสร้างปัญหาในหอเซียนเมามาย เจ้ากล้าจัดการคนของตระกูลอู๋และตระกูลอันแบบนี้ ข้าขอถามหน่อยว่า ใครให้ความมั่นใจกับเจ้ากัน”
ดวงตาจ้าวฉางฟู่เข้มขึ้นและเย็นชา ฉินเฟิงไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยแม้แต่น้อย
เป็นบุตรชายของเสนาบดีกรมกลาโหมแล้วอย่างไร? หอเซียนเมามายแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แต่ยังมีประวัติยาวนานกว่าร้อยปีและมีเบื้องหลังที่ซับซ้อน
แม้จ้าวฉางฟู่จะเป็นเจ้าของหอเซียนเมามาย แต่ความจริงแล้วเขาเป็นเพียงผู้จัดการใหญ่เท่านั้น เจ้าของที่แท้จริงคือองค์ชายรองแห่งราชวงศ์ต้าเหลียงต่างหาก
ด้วยเหตุผลข้อนี้ การบดขยี้ฉินเฟิงให้ตายไม่ใช่เรื่องยาก
ไม่ต้องพูดถึงนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้เลย แม้แต่บิดาของเขา ฉินเทียนหู่ หากคิดจะออกหน้าก็ยังต้องชั่งน้ำหนักในใจให้ดี
เมื่อถูกจ้าวฉางฟู่ดุด่า ฉินเฟิงแสดงท่าทีไร้เดียงสา “นายท่านจ้าว ไม่ใช่ข้าที่ก่อเรื่องจริง ๆ เป็นอู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นต่างหากรังแกข้า ข้าบอกพวกเขาว่าข้าสมองไม่ดี พอป่วยก็มักจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าไป”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อันชื่ออวิ๋นที่เพิ่งได้สติก็ตะโกนสาปแช่ง “ให้ตายเถอะ! ใครทุบตีใคร ยังจำเป็นต้องพูดอีกรึ”
เสมียนในหอสุราทั้งบีบนวดและป้อนน้ำแกงร้อน ในที่สุดอู๋ยงก็สงบสติอารมณ์ได้ เมื่อเห็นว่าจ้าวฉางฟู่มา นายน้อยอู๋ก็คว้าฟางเส้นสุดท้ายไว้ทันที เขาร้องครวญคราง “นายท่านจ้าว เราสองคนมาหอเซียนเมามายเพื่อทานอาหาร แต่ถูกจอมวายร้ายฉินเฟิงทุบตี ทำให้ขายหน้า เรื่องนี้ท่านต้องช่วยเราตัดสิน”
จ้าวฉางฟู่ดูแคลนอยู่ในใจ แต่…แม้เขาจะไม่ชอบสองคนนี้ แต่หากเทียบกันแล้ว เขาเกลียดขี้หน้าฉินเฟิงมากกว่า
นอกจากนั้น… ช่วงนี้องค์ชายรองก็สนิทสนมกับเสนาบดีกรมคลัง เขาตั้งใจจะชักชวนพวกกรมคลังมาเข้าร่วม แม้จะไม่สนิทกับกรมขุนนางและอันชิงโหว ทั้งยังไม่มีสิ่งแลกเปลี่ยนใด ๆ แต่อย่างที่รู้กันว่า ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร ถ้าถือโอกาสนี้จัดการบุตรชายเสนาบดีกรมกลาโหมได้ ย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ
จ้าวฉางฟู่โบกมือ จากนั้นชายมากกว่าสิบคนแต่งตัวเหมือนผู้คุ้มกันก็รีบเข้ามา แม้เสื้อผ้าของพวกเขาจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่สีหน้ากลับเด็ดเดี่ยวเข้มงวดมาก อีกทั้งในมือยังถือดาบของทางการ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นทหารรักษาพระราชวังที่ปลอมตัวมาคุ้มกันหอเซียนเมามาย
แม้ว่าชูเฟิงจะเก่งเรื่องหมัดมวยแต่คู่ต่อสู้ตอนนี้มีจำนวนมากและทรงพลัง ทั้งยังเป็นผู้คุ้มกันถืออาวุธครบมืออีก หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริง ๆ ชูเฟิงคงแทบไม่มีโอกาสชนะเลย
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี นายน้อยตระกูลฉินจึงรีบเดินไปที่ขอบเวทีไม้แล้วนั่งยอง ๆ เขามองลงไปที่จ้าวฉางฟู่พลางเอ่ยยกยอปอปั้น “นายท่านจ้าว วันนี้ข้าอาการกำเริบจริง ๆ ให้ข้ากลับจวนไปพักฟื้นสติก่อนดีหรือไม่ ไว้วันพรุ่งข้าจะมาขออภัย”
จ้าวฉางฟู่ตะคอกอย่างเย็นชาในใจ กลับบ้านไปไตร่ตรอง? ฝันไปเถอะ!
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้าหมอนี้ไร้ยางอายแค่ไหน ทันทีที่เขาพ้นจากประตูหอเซียนเมามายคงไม่กลับมาอีก แม้จ้าวฉางฟู่จะมีองค์ชายรองคอยหนุนหลัง แต่เขาก็ไม่หาญกล้าไปตามคนถึงจวนเสนาบดีกรมกลาโหมอย่างโจ่งแจ้งแน่นอน
ในเมื่อตั้งใจที่จะสอนบทเรียนให้กับนายน้อยตระกูลฉิน ก็ต้องไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายออกจากประตูนี้ไป!
“ขอโทษ? ดี! เจ้าขอโทษนายน้อยอู๋และนายน้อยอันเสียตอนนี้เลยสิ ทว่าหากทำแบบขอไปที ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้แทนบิดาของเจ้า!” จ้าวฉางฟู่แสยะยิ้ม ถ้าฉินเฟิงคุกเข่าขอโทษในที่สาธารณะ เสนาบดีกรมกลาโหมย่อมเสียหน้า แต่หากไม่ยอมทำ เช่นนั้น เขาก็จะสั่งให้ซ้อมนายน้อยเจ้าสำราญนี่จนเจ็บหนัก ต่อให้เรื่องถึงพระกรรณของฝ่าบาทแล้วอย่างไร? ไม่มีอะไรให้เขาต้องเกรงกลัว!
อู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นเดิมทีไร้ชีวิตชีวาและอับอายมาก ตอนนี้ด้วยการสนับสนุนของจ้าวฉางฟู่ พวกเขากลับมาเชิ่ดหน้าได้อีกครั้ง
อู๋ยงชี้ไปที่ฉินเฟิงพลางตะโกน “คุกเข่าลง! ก่อนหน้านี้ที่สำนักศึกษาเซิ่งหลิน เจ้าไม่ได้สั่งให้เฉิงฟาคุกเข่าเรียกอาจารย์หรอกหรือ เช่นนั้น วันนี้เจ้าก็คุกเข่าลงต่อหน้าข้าด้วย!”
อันชื่ออวิ๋นเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เขามองเสิ่นชิงชวงด้วยใบหน้าเย้ยหยัน “ฉินเฟิง เจ้าไม่ได้ชอบเสิ่นชิงชวงหรอกหรือ ไม่ต้องกังวล เมื่อเจ้าไสหัวออกไปแล้ว ข้าจะเชยชมนางอย่างดีแทนเจ้าเอง”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ดวงตาของเสิ่นชิงชวงก็สิ้นหวัง นางมองไปที่นายน้อยตระกูลฉินโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าเสิ่นชิงชวงจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนายน้อยเสเพลผู้นี้มานานแล้ว แต่วันนี้ก็มีเพียงจอมเสเพลคนนี้ไม่ใช่หรือที่ยื่นมือเข้ามาช่วยนาง
ฉินเฟิงมองออกว่าจ้าวฉางฟู่ผู้นี้ลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด! เขากับคนที่มีเรื่องด้วยต่างก็เป็นบุตรชายของเสนาบดีเช่นเดียวกัน ตามหลักแล้วไม่ควรช่วยแค่อู๋ยง ต่อให้ไม่ช่วยเขา อย่างแย่ที่สุดก็ควรวางตัวเป็นกลาง
ตอนนี้เจ้าของหอเซียนเมามายกำลังตั้งหน้าตั้งตาช่วยอู๋ยง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีผลประโยชน์แลกเปลี่ยนกับพวกกรมคลัง
ไอ้เวรเอ๊ย! วันนี้เกรงว่าข้าจะจบไม่สวยเสียแล้ว
นายน้อยตระกูลฉินกัดฟันยืนขึ้นช้า ๆ ใบหน้าสง่างามของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มทำปากเบี้ยวตาเขอีกครั้ง “ข้าหวาดกลัวจนอาการกำเริบอีกแล้ว อยู่ให้ห่าง ๆ มิเช่นนั้น หากถูกตีตายข้าไม่รับผิดชอบนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวฉางฟู่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที เขากดเสียงต่ำ “ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รักษามันไว้เอง เด็ก ๆ สั่งสอนบทเรียนให้บุตรชายเสเพลของท่านเสนาบดีแทนเขาหน่อย!”
เสียงสั่งดังกังวาลขึ้น จากนั้นทหารรักษาพระราชวังมากกว่าสิบคนก็พุ่งเข้ามา
เมื่อมองไปยังรูปลักษณ์น่าเกรงขามของอีกฝ่าย ความกล้าที่ฉินเฟิงเรียกมาในตอนแรกหดหายไปทันที เขาวิ่งไปหลบข้างหลังเสิ่นชิงชวงแล้วตะโกน “ชูเฟิง เอาเลย ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว!”
แม้ว่าชูเฟิงจะไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อมีดาบมาจ่ออยู่ถึงคอก็ไม่มีทางถอยแล้ว นางทำได้เพียงกัดฟันสู้
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะต่อสู้กัน ทันใดนั้นเสียงแหลมบาดหูก็ดังขึ้น “ขันทีหลี่มาถึงแล้ว!”
สิ้นคำประกาศกร้าว กองทัพต้องห้ามที่โหดเหี้ยมก่อนหน้านี้ก็ตัวหดลงทันที จ้าวฉางฟู่หน้าถอดสี เขาไม่สนใจฉินเฟิงอีก ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของหอเซียนเมามายวิ่งเหยาะ ๆ ไปที่ประตู จากนั้นก็ยืนรอด้วยความเคารพ
ฝูงชนกินเผือกชมเรื่องสนุกมานาน ตอนนี้พากันยืนขึ้นทีละคน ด้วยกลัวว่าจะไปดูหมิ่นและทำให้ขันทีผู้มีอำนาจมากที่สุดในยามนี้ขุ่นเคืองใจเข้า
หัวใจของฉินเฟิงเต้นไม่เป็นจังหวะ ขันทีหลี่? หรือว่าจะเป็นหลี่จ้าน หัวหน้าขันทีข้างกายฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียง?
เวลาหลี่จ้านออกนอกวัง ไม่ต่างอะไรจากการที่ฮ่องเต้เสด็จด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าละเลยเขาแม้แต่น้อย มีเพียงฉินเฟิงเท่านั้นที่ดูเหมือนจะคลุ้มคลั่ง นายน้อยตระกูลฉินชี้ไปที่อู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นที่บัดนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม จากนั้นก็กุมท้องและหัวเราะเสียงดัง “จ้าวฉางฟู่หนุนหลังพวกเจ้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้ทัพเสริมของข้ามาแล้ว”
สมองของฉินเฟิงทำงานอย่างหนัก ตอนนี้ชายหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่า การที่หลี่จ้านออกจากวังจะต้องเป็นเพราะฎีกาของฉินเทียนหู่บิดาของเขาถูกส่งขึ้นไปแล้วแน่ ๆ พอฮ่องเต้แคว้นต้าเหลียงได้เห็นกลยุทธ์ทางทหารของเขาจึงวางแผนที่จะเรียกพบ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง อู๋ยงและอันชื่ออวิ๋นก็มองหน้ากัน
อันธพาลผู้นี้ไปยุ่งเกี่ยวกับขันทีหลี่ได้อย่างไร? หากที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริง นี่ก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
พอจ้าวฉางฟู่ที่รออยู่ตรงประตูได้ยินคำของฉินเฟิง ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด แม้ว่าหลี่จ้านจะไม่มีอำนาจอะไรนอกวัง แต่เขาก็เป็น ‘ผู้รับใช้ใกล้ชิด’ ของฮ่องเต้ในรัชศกนี้
เพียงแค่หลี่จ้านกราบทูลข้างพระกรรณของฝ่าบาท ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาได้สุราพิษพระราชทานคนละเหยือก
MANGA DISCUSSION