บทที่ 213 ไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องได้ด้วยกล
เนื่องจากฉินเฟิงยังคงยุ่งอยู่กับการฝึกกองทัพใหม่และมีเวลาจำกัด เขาจึงตอบกลับด้วยคำว่า ‘รีบ’
ดังนั้น หลู่หมิงจึงไม่มัวมากความ เขานำแบบจำลองกลับไปที่โรงงานทันที
ทันทีที่ฉินเฟิงได้จัดการเรื่องส่วนประกอบอื่น ๆ ของลูกแก้วหลิวหลีเสร็จเรียบร้อย หนิงหู่และพวกก็กลับมาพอดี
เป็นไปตามที่นายน้อยเจ้าสำราญคาดการณ์ไว้ ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วยาม
หนิงหู่และคนอื่น ๆ ก็วิ่งกลับมาโดยไร้ชุดเกราะ พวกเขาพากันนอนแผ่อยู่บนพื้น ราวกับมะเขือยาวที่ต้องน้ำค้างแข็ง จิตวิญญาณการต่อสู้ที่เหล่าทหารบ่มเพาะมาอย่างยากลำบากถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรง
สวีโม่นั่งลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ มองไปที่ฉินเฟิงอย่างขมขื่น “พี่ฉิน! ภารกิจนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสำเร็จ! หนิงหู่กับข้านำทหารองครักษ์สามร้อยนายไป แต่พวกเราถูกหน่วยสอดแนมของกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์พบก่อนจะเข้าไปใกล้ค่ายเขาได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งยังถูกล้อมทันทีที่เข้าไปในค่าย อาวุธของเราต้องรับมือกับเกราะหนักและโล่ก็ต้านทานพวกเขาไม่ได้เลย…”
แม้แต่สวีโม่กับหนิงหู่ก็ถูกกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ต่อยตีจนจมูกบวมช้ำไปหมด ไม่ต้องพูดถึงทหารองครักษ์สามร้อยนายนั้น พวกเขาน่าอนาถเสียจนทนมองไม่ได้ยิ่งกว่า แน่นอนว่า พวกเขาได้รับการฝึกจากจิ่งเชียนอิ่งกับชูเฟิงจนทักษะได้รับการยกระดับในเชิงคุณภาพแล้ว
แต่น่าเสียดาย… กองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ไม่ได้ต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับทหารองครักษ์ด้วยมือเปล่า ทหารแนวหน้าของพวกเขามีเกราะหนาและถือโล่ แนวหลังก็ถือตะบองและบุกโจมตีอย่างกะทันหัน ทำให้กองทัพใหม่ชั้นยอดที่ฉินเฟิงทุ่มเงินไปอย่างหนักถูกทุบตีจนมึนงง พวกเขาแต่ละคนล้วนมีสภาพปางตาย
เหล่าทหารองครักษ์ร้องไห้คร่ำครวญไม่หยุด
“กองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์มีทหารชั้นยอดห้าหมื่นคน ในขณะที่พวกเรามีแค่สามร้อยคนเท่านั้น พวกเขามีหน่วยสอดแนมมากกว่าเราด้วยซ้ำ แล้วเราจะสู้ไหวได้อย่างไร?”
“ถูกต้อง! นายน้อยฉิน ความยากของภารกิจนี้ไม่น้อยไปกว่าการให้เราตรงไปลอบสังหารฮ่องเต้เป่ยตี๋เลย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเราวิ่งเร็วคงถูกกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ตีตายไปแล้ว”
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าโศกและน่าสงสารของทุกคน ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะอย่างสะใจของนายน้อยฉินดังก้องไปทั่วค่ายเทียนจีอย่างต่อเนื่อง
สีหน้าของทหารองครักษ์ประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว
ใบหน้าของหนิงหู่ค่อย ๆ แดงก่ำ ท่านโหวหนุ่มพูดอย่างฉุนเฉียว “พี่ฉิน เจ้าทำเกินไปแล้ว! เจ้าผลักเราลงหลุมทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเราจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายมากกว่าดี”
ฉินเฟิงเก็บรอยยิ้มชั่วร้าย และทำท่าทำทางราวกับจะถามว่า ‘ตำหนิข้ารึ’ อย่างไร้ยางอาย ก่อนจะพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าดื้อดึงแย่งวัตถุดิบกลับมาได้ ข้าว่าเลือดคงจะย้อมเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้แล้ว เพราะผู้ที่รุกรานกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์จะต้องถูกตัดหัว! ท้ายที่สุดในฐานะกองทัพหลวงแห่งเมืองหลวง การพ่ายแพ้ให้กับทหารใหม่สามร้อยคนถือเป็นความน่าอับอายและน่าอัปยศสำหรับฮ่องเต้”
“ดังนั้น ข้าเลยให้พวกเจ้าขโมยวัตถุดิบออกมา ข้าไม่ได้ให้พวกเจ้าไปปะทะกับพวกเขาเสียหน่อย พวกเจ้าถูกทุบตีจนหน้าบวมจมูกเขียวเช่นนี้ แล้วเกี่ยวอันใดกับข้าเล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทหารองครักษ์ทุกคนก็หน้าแดงหูแดงทันที
เมื่อเห็นทุกคนกระดากอาย ฉินเฟิงก็กล่าวเสริมอย่างไม่ใส่ใจ “ใครสามารถบอกข้าได้บ้างว่าวิธีการต่อสู้ของพวกเจ้าคืออะไร?”
นายน้อยเจ้าสำราญกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทหารองครักษ์ทุกคนต่างก็ก้มศีรษะลงเพื่อหลบเลี่ยงสายตาเขา
มีเพียงสวีโม่เท่านั้นที่หายใจเข้าลึก และตอบกลับเพื่อหยั่งเชิง “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ?”
ฉินเฟิงพยักหน้า และถามอีกว่า “แก่นแท้ของหน่วยปฏิบัติการพิเศษคืออะไร?”
สวีโม่ก้มศีรษะลงอย่างครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ตอบเบา ๆ “อาศัยกองกำลังจำนวนน้อย สร้างผลประโยชน์ทางทหารที่มากกว่าเดิมหลายเท่า”
ฉินเฟิงเอนกายพิงเก้าอี้หวาย ไขว่ห้างแล้วโบกมือ “ไม่ต้องพูดจาประดิษฐ์ประดอย เราทุกคนล้วนเป็นนักรบ พูดตรง ๆ เถอะ! สิ่งที่เรียกว่าหน่วยปฏิบัติการพิเศษ พูดง่าย ๆ ก็คือการขโมยไก่คลำสุนัข จำไว้ว่าพวกเจ้าไม่ใช่ปรมาจารย์ชั้นยอดที่แบกรับเกียรติยศสูงส่งอันใด พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็น ‘คนชั่วไร้ยางอาย’”
“ตราบใดที่ยุทธวิธีนั้นสามารถบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ได้ ไม่ว่าวิธีจะไร้ยางอาย สกปรก หรือไร้กฎเกณฑ์เพียงใด ทุกอย่างล้วนเป็นยุทธวิธีที่ดี!”
“วัตถุดิบที่อยู่ในค่ายกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ หากพวกเจ้าแย่งมาไม่ได้ก็ต้องขโมย ขโมยไม่ได้ก็ต้องวางยา ถ้ายาไม่ได้ผล ก็ต้องจับตัวประกันมาแลกเปลี่ยน ทุกปัญหามีทางออกเสมอ!”
หลังจากได้ยิน ‘คำพูดไร้ยางอาย’ ของฉินเฟิง ทุกคนก็เริ่มเข้าใจแจ่มแจ้งทันที
กล่าวคือ สิ่งที่กองทัพใหม่ตระหนักได้ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘ประหลาดแท้’
หนิงหู่หยัดกายขึ้นมาและกวักมือ “มากับข้า! ไปฆ่ากองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ในคราวเดียวกัน กองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์คงไม่คาดคิดหรอกว่า เราจะกล้ากลับมาหลังจากพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช!”
ภายใต้การระดมพลของหนิงหู่ ทหารองครักษ์บุกโจมตีค่ายกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์อีกครั้ง
ฉินเฟิงนั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้หวาย กินผลไม้พลางรอชมการแสดง
ในเวลาเดียวกัน ณ ตำหนักวังหลัง
แขกชุดขาวประสานหมัดรายงานความคืบหน้าของค่ายเทียนจีอย่างนอบน้อม “ทูลองค์ชาย ทหารองครักษ์สามร้อยคนของฉินเฟิงกำลังโจมตีค่ายกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์กลางดึกติด ๆ กัน พวกเขาบุกโจมตีห้าครั้ง แม้ว่าในแต่ละครั้งล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว แต่ทุกครั้งล้วนสามารถบุกเข้าไปในกองบัญชาการของกองทัพมังกรซ่อนพยัคฆ์ได้ลึกขึ้นเรื่อย ๆ”
องค์ชายรองยืนเอามือไพล่หลัง มองดูพระจันทร์เต็มดวงราวกับแผ่นเงินบนท้องฟ้าด้วยนัยน์ตาที่ลึกล้ำ “วิธีฝึกทหารของฉินเฟิงนั้นคาดไม่ถึงจริง ๆ กำลังคนเพียงหยิบมือนี้จะพลิกสถานการณ์ได้อย่างไร? ช่างเถอะ ปล่อยให้เขาทำไป… แล้วสถานการณ์ที่ชายแดนเป็นอย่างไรบ้าง?”
แขกชุดขาวดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยตอบด้วยเสียงทุ้ม “ตามแผนเดิม แม่ทัพทั้งสองได้ส่งกองกำลังและรีบไปที่ชายแดน ทว่าเห็นได้ชัดว่าฝ่ายเป่ยตี๋ได้รับข่าวแล้ว การจู่โจมที่ชายแดนจึงรุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้น เนื่องจากทหารม้าเป่ยตี๋เผา ฆ่า และปล้นสะดม พวกเขาผ่านไปที่ใดล้วนไม่เหลือแม้แต่ไก่หรือสุนัข ชาวบ้านตามแนวชายแดนต่างต้องสูญเสียอย่างหนัก หนักจนความขุ่นเคืองของผู้คนเดือดพล่านไปไกลหลายพันลี้”
“นอกจากนี้ยังมีข่าวลือจากราชสำนักด้วย เนื่องจากความไม่มั่นคงในใจราษฎรตามชายแดนเพิ่มมากขึ้น อาจมีการเร่งเตรียมการหลายอย่างสำหรับการสู้รบครั้งนี้ หลังจากประชุมราชสำนักในเช้าวันนี้ ทหารส่งสารรีบควบม้าไปยังแนวหน้าด้วยความเร็ว สั่งแม่ทัพทหารม้าให้แยกย้ายกันไปประจำการในหน่วยทหาร ทุกหมู่บ้านและทุกมณฑล เพื่อต่อต้านการโจมตีของทหารม้าเป่ยตี๋”
“ทางด้านกรมคลังก็กำลังเร่งขนส่งเสบียงและหญ้าไปยังแนวหน้า”
องค์ชายรองพยักหน้า และถอนหายใจเบา ๆ “ดูเหมือนว่าการต่อสู้ระหว่างต้าเหลียงและเป่ยตี๋จะปะทุขึ้นในอนาคตอันใกล้ เจ้าจงไปบอกฉินเฟิงถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ตามความเป็นจริง และอย่าได้กระทำอันใดมากเกินไป ข้าอยากจะบอกให้ฝ่าบาทรู้ว่า เมื่อเผชิญกับการต่อสู้เพื่อชะตากรรมของแคว้น ข้าถึงกับยอมตัดใจจากการแย่งชิงตำแหน่งสืบทอดราชบัลลังก์ และรับใช้แว่นแคว้นอย่างเต็มกำลัง!”
แขกชุดขาวประสานหมัดแล้วจากไปทันที
เมื่อแขกชุดขาวก้าวออกจากประตูวังไป เสี่ยวจั๋วจื่อซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็โผล่ออกมา เขารีบวิ่งกลับไปที่ตำหนักขององค์ชายเจ็ดทันใด
ค่ำคืนอันมืดสนิท
แต่ห้องบรรทมยังมีแสงสว่าง
องค์ชายเจ็ดนั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่ง สองพระหัตถ์ถือนวนิยาย ‘ตำนานแสงจันทร์’ ฉบับสะสมปกทอง และกำลังอ่านอย่างออกรสออกชาติ บางคราก็ชื่นชม บางคราก็สลดหดหู่ จิตใจของเขาอ่อนไหวไปกับเนื้อเรื่องในหนังสือนัก
“หนังสือประหลาดเล่มนี้ให้อ่านร้อยรอบก็ไม่มีเบื่อ! นวนิยายที่แพร่หลายอยู่ในตลาดพวกนั้น ไม่มีเล่มไหนเทียบได้แม้เพียงนิด”
“นวนิยายเล่มนี้เขียนโดยฉินเฟิง นายน้อยอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง และเรียบเรียงโดยหลินฉวีฉี บัณฑิตชื่อดังแห่งเจียงหนาน เมื่อรวมกับหน้าปกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว หนังสือเล่มนี้ควรค่าแก่การเก็บสะสมเป็นอย่างยิ่ง”
“น่าเสียดาย… ฝ่าบาทสั่งห้ามไม่ให้นวนิยายเล่มนี้ปรากฏในพระราชวัง…”
องค์ชายเจ็ดถอนหายใจ และโยน ‘ตำนานแสงจันทร์’ ลงในเตาไฟอย่างไม่เต็มใจนัก
เมื่อเห็นความเสียใจบนหน้าขององค์ชายเจ็ด เสี่ยวจั๋วจื่อก็ลังเลแล้วลังเลอีก ทว่าสุดท้ายก็เอ่ยเตือนด้วยเสียงต่ำ “องค์ชาย ทางองค์ชายรองมีการเคลื่อนไหวบางอย่าง ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับสงครามในเป่ยตี๋ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
MANGA DISCUSSION