บทที่ 210 ผู้ฝึกสอนที่ได้รับค่าตอบแทนสูง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉินเฟิงก็ได้ใจ จึงพูดเผิน ๆ ว่า “อะไรกัน พี่หญิงสี่ประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว! หากเป็นผู้อื่น ค่าตอบแทนจะถูกกำหนดโดยเงินรายเดือนหรือเงินรายปี แต่พี่หญิงสี่ก็คือยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ เป็นธรรมดาที่ค่าตอบแทนของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเช่นท่านจะดีเป็นพิเศษ”
“เอาเช่นนี้! เงินเดือนของพี่หญิงสี่ขึ้นอยู่กับบทเรียนเป็นอย่างไร ข้าจะให้ท่านห้าร้อยตำลึงเงินต่อหนึ่งคาบเรียนกับกองทัพใหม่!”
เมื่อต้องเผชิญกับการประจบเอาใจของฉินเฟิง และ ‘การเสนอเงินเดือนสูงลิ่ว’ จิ่งเชียนอิ่งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจเต้น
ประการแรกคือ นางจะมีรายได้ และประการที่สองคือ นางมีเรื่องให้ทำคลายเหงา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเหตุใดจะไม่ทำเล่า?
จิ่งเชียนอิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อพี่หญิงสี่เห็นด้วย ฉินเฟิงก็กระโดดขึ้นมาด้วยความดีใจ เขาลุกขึ้นเต้นแบบ ‘โรบอตแดนซ์’ ง่อย ๆ ทันที จิ่งเชียนอิ่งอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วไปกับภาพตรงหน้า
ด้วยเหตุนี้ คุณหนูทั้งสามของตระกูลฉินจึงถูกฉินเฟิงเกลี้ยกล่อมมาร่วมมือจนหมด
พี่หญิงใหญ่ เสิ่นชิงฉือ รับผิดชอบกิจการร้านหนังสือ
พี่หญิงรอง หลิ่วหงเหยียน รับผิดชอบด้านบัญชี
และพี่หญิงสี่ จิ่งเชียนอิ่งรับผิดชอบเป็น ‘ผู้ฝึกสอนพิเศษ’ สอนศิลปะการต่อสู้ให้กับกองทัพใหม่
ค่ายที่ฉินเฟิงสร้างขึ้นด้วยความทุ่มเท ในที่สุดก็เริ่มเข้าร่องเข้ารอยแล้ว
เพื่อให้ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฉินเฟิงให้ฉินเสี่ยวฝูนำเงินจำนวนมากมาสร้างแผ่นป้ายโลหะเพื่อแขวนไว้ที่ประตูค่าย โดยมีคำว่า ‘ค่ายเทียนจี’ สามคำเขียนอยู่บนนั้น
ถูกต้อง คำว่า ‘ค่ายเทียนจี’ ฉินเฟิงก็ลอกมาจากคนอื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนฟ้องร้องลิขสิทธิ์!
และเนื่องจากระยะนี้ตาเฒ่าฉินยุ่งเกินไป ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องภายในบ้าน ฉินเฟิงจึงถือโอกาสอาศัยอยู่ในค่ายเทียนจี และเริ่มออกแบบอาวุธสำหรับกองทัพใหม่
หน้าไม้และดาบม่อเตาที่ออกแบบไว้ก่อนหน้านี้ได้ส่งมอบให้กับกรมโยธาเพื่อการผลิตอย่างเต็มกำลังแล้ว ฉินเฟิงประหยัดแรงได้ไม่น้อย ชายหนุ่มทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับการออกแบบชุดเกราะ
คุณภาพของชุดเกราะจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการต่อสู้ของกองทัพใหม่!
ตั้งแต่สมัยโบราณ ใครก็ตามที่ซ่อนชุดเกราะไว้เป็นการส่วนตัว ล้วนมีโทษร้ายแรงถึงขั้นตัดศีรษะ
ด้วยเหตุนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าชุดเกราะมีความสำคัญต่อสงครามยุคโบราณมากเพียงใด
ในแง่ของความสามารถในการป้องกัน เกราะเหล็กขึ้นชื่อเรื่องประสิทธิภาพมากกว่าบรรดาเกราะทุกประเภท โดยเฉพาะเกราะเหล็กของยุโรป ไม่เพียงใช้เพื่อป้องกันลูกธนูเท่านั้น แต่ยังใช้ป้องกันปืนคาบศิลา*[1] อีกด้วย เนื่องจากการการพัฒนางานฝีมืออย่างต่อเนื่องที่ละเล็กทีละน้อย ข้อต่อของเกราะเหล็กยุโรปจึงมีความยืดหยุ่นสูง แต่จุดอ่อนของมันก็ค่อนข้างชัดเจนเช่นกัน
ประการแรก ไม่สะดวกต่อการสวมใส่ ประการที่สอง มีน้ำหนักมากเกินไป และประการที่สาม วัสดุที่ต้องใช้คือเหล็ก หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ฉินเฟิงก็ล้มเลิกความคิดในการสร้างเกราะเหล็ก
ทว่าอย่างไร เกราะธรรมดาก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพในการป้องกันลูกธนูมากนัก
ฉะนั้นแนวคิดการออกแบบชุดเกราะของกองทัพใหม่จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขหลักสามประการ
ประการแรกต้องมีหน้ำหนักเบาและยืดหยุ่น ประการที่สองต้องป้องกันลูกธนูได้เกือบทุกประเภท และอย่างที่สามต้องสะดวกต่อการซ่อน หลังจากพิจารณาอย่างครอบคลุมและอ้างอิงถึง ‘ชุดกันกระสุน’ ในยุคหลัง ฉินเฟิงก็ค่อย ๆ ร่างต้นแบบชุดเกราะของกองทัพใหม่ออกมา
ช่วงอกด้านหน้าและด้านหลังทำจากแผ่นเหล็กบาง ๆ สองแผ่น มีไม้ไผ่ติดไว้ที่ด้านในแผ่นเหล็กหนึ่งชั้น การมีแผ่นเหล็กบาง ๆ คอยเสริมการป้องกันเล็กน้อยดีกว่าไม่มีอะไรเลย อีกอย่างความหนาของแผ่นเหล็กก็สามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยไม้ไผ่ แม้ว่าลูกธนูจะยิงทะลุแผ่นเหล็กเข้ามา แต่การสกัดกั้นของแผ่นไม้ไผ่จะช่วยลดความลึกของลูกธนูลง ทำให้ความเสียหายที่ผู้สวมเกราะได้จะรับลดลงเป็นอย่างมาก
แรกเริ่มเดิมที ฉินเฟิงไม่ได้ตั้งใจจะป้องกันลูกธนูอย่างสมบูรณ์ เขาสร้างเกราะเพียงต้องการลดพลังโจมตีของลูกธนูเท่านั้น
ส่วนแขนขาใช้เกราะเกล็ดถัก*[2] โดยใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะของเกราะชนิดนี้ลดพลังงานจลน์ของลูกธนู กล่าวคือ ทำให้ ‘หัวศร’ กระเด็นออกไปนั่นเอง
ด้วยวิธีนี้เกราะจึงมีน้ำหนักเบาและสามารถป้องกันลูกธนูได้
แม้ว่าหากเผชิญหน้ากับกองทัพประจำการจะมีข้อเสียอย่างมาก แต่ฉินเฟิงไม่มีความคิดที่จะปล่อยให้กองทัพใหม่ต่อสู้แบบเผชิญหน้ากับกองทัพประจำการอยู่แล้ว ความเป็นไปได้ของการต่อสู้แบบตะลุมบอนจึงถูกตัดออกไปตั้งแต่ต้น
ถ้าเอาชนะได้ก็สู้ ถ้าทำไม่ได้ก็วิ่งหนี!
สุดท้ายนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ชุดเกราะดูน่าเกลียดจนเกินไป จึงมีการบุและห่อด้วยชั้นผ้าด้านนอก ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีรูปลักษณ์ที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ซ่อนได้ง่ายอีกด้วย
ฉินเฟิงเรียกฉินเสี่ยวฝูให้ไปส่งพิมพ์เขียวชุดเกราะที่เขาออกแบบให้กับหลู่หมิง เพื่อเริ่มสร้างชุดเกราะกองทัพใหม่ชุดแรกจำนวนสามร้อยชุดทันที
เพราะต้องลองให้ทหารองครักษ์สามร้อยคนได้สวมใส่และทดสอบในการต่อสู้จริงก่อน จึงจะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะสร้างพวกมันต่อไปหรือไม่
หลังจากชุดเกราะ ต่อไปก็คืออาวุธ
อาวุธหลักของกองทัพใหม่ไม่ใช่คมดาบ แต่เป็นธนู!
ในเมื่อบทบาทหลักของกองทัพใหม่นี้คือ การต่อสู้แบบกองโจร เช่นนั้นก็ต้องทำตัวให้สมกับที่เป็นโจร การประจัญบานใด ๆ ย่อมมีผู้เสียชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะมีอุปกรณ์ครบครันเพียบพร้อม
หากเปลี่ยนอาวุธหลักเป็นธนูและยึดถือยุทธวิธีที่ว่า ‘เมื่อศัตรูรุกเราถอย เมื่อศัตรูถอยเราไล่ตาม และเมื่อศัตรูเหนื่อยเราโจมตี’ ก็จะสามารถลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายลงได้มาก
แม้ธนูคันแข็งจะมีพลังในการเจาะทะลุที่ร้ายกาจและยิงได้ระยะไกล แต่ฉินเฟิงก็มองข้ามมันไป เพราะธนูคันแข็งต้องใช้ความแข็งแรงทางกายภาพในการยิงค่อนข้างมาก และไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ในที่สุดฉินเฟิงก็ตัดสินใจใช้ ‘ธนูมองโกล’*[3] ที่เล็กแต่ทรงพลัง
อาวุธรองมีสองอย่าง
อย่างแรกคือ ทวนประกอบ ซึ่งจะตัดทวนออกเป็นสามส่วน นอกจากปลายทวน แกนจะทำจากไม้และมี ‘ช่องเสียบข้อต่อ’ ฝังอยู่ที่หัวและท้าย
โดยปกติจะเก็บไว้ในถุงคู่กับถุงลูกธนู หากถูกทหารม้าบีบให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังก็สามารถประกอบทวนขึ้นมาใช้ต่อสู้ได้
ทว่าเนื่องจากเป็นทวนที่ประกอบขึ้นมา ความแข็งแรงของมันจะลดลงอย่างมากทำได้เพียงใช้ ‘แทง’ เท่านั้น
อาวุธรองอย่างที่สองคือ ดาบสั้น
เหตุที่ต้องเป็นดาบสั้น ประการแรก สามารถใช้ฝ่าฟันขวากหนามได้ ประการที่สอง สามารถทำเรื่องที่คาดไม่ถึงได้เช่นกัน
หลังจากส่งแบบอาวุธให้หลู่หมิงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคืออุปกรณ์ที่ใช้งานได้จริง
เนื่องจากต้องบุกไปให้ถึงแนวหลังของข้าศึก การใช้ลูกธนูจำนวนมากจึงเป็นปัญหาที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้นจึงต้องเตรียม ‘ถุงบรรจุหัวศร’ สำหรับกองทัพใหม่ เพื่อเอาหัวศรไปเผื่อล่วงหน้า หากลูกธนูหมด พวกเขาสามารถใช้วัสดุที่มี อย่างพวกแท่งไม้ เอามาต่อหัวศร และใช้เป็นลูกธนูแทนได้
เสบียงทหารก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน
ตามปกติเสบียงทหารแบบพกพาที่ทนทานที่สุดคือขนมปังแห้ง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากขาดผงฟูและเทคโนโลยีแรงดันสูง ฉินเฟิงจึงทำได้เพียงทำขนมปังแห้งแบบง่าย ๆ เท่านั้น
โดยการนำแป้งข้าวเจ้าผสมกับสารอาหาร เช่น น้ำตาล น้ำมัน และเนื้อสับ
หลังจากผสมแล้วก็ใช้แม่พิมพ์อัดให้แน่นที่สุด จากนั้นจึงนำไปตากให้แห้ง แม้ว่ากลิ่นจะแย่มากแต่ก็สามารถประทังชีวิตในสนามรบได้
ด้วยเหตุนี้ ต้นแบบอุปกรณ์พื้นฐานของกองทัพใหม่จึงได้รับการสรุปเป็นที่เรียบร้อย
คราแรก ฉินเฟิงวางแผนจะจัดตั้งทหารม้า แต่หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ระงับความคิดนี้
เดิมทีต้าเหลียงขาดแคลนม้าและความอดทน รวมถึงความเร็วของม้าในท้องถิ่นก็ไม่ได้ดีเท่ากับม้าเป่ยตี๋ นอกจากนี้หากให้ทหารม้าที่ได้รับการฝึกฝนชั่วคราวเผชิญหน้ากับทหารม้าเป่ยตี๋ที่สู้รบในทะเลทรายมาอย่างยาวนาน คงจะเป็นเรื่องที่ดูเพ้อฝันไปสักหน่อย
ฉินเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดไปกับกองทัพใหม่
ด้วยการลงทุนซ้ำแล้วซ้ำอีกของเขา ค่ายเทียนจีทั้งหมดจึงพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยแรงของโรงงาน
นอกจากหลู่หมิงและช่างฝีมือแห่งเมืองหลวงที่ได้รับการว่าจ้างในราคาสูงแล้ว ยังมีช่างฝีมือชาวบ้านจำนวนมากที่ได้รับคัดเลือกจากพื้นที่โดยรอบด้วย รวมทั้งสิ้นจึงช่างฝีมือราวสามร้อยคน
แค่ค่าจ้างช่างฝีมืออย่างเดียวก็น่ากลัวแล้ว!
แต่เพื่อสร้างกองทัพใหม่ที่เก่งกาจ นายน้อยเจ้าสำราญทำได้เพียงกัดฟัน และทุ่มเงินกับมันต่อไป
โรงงานได้รับการขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ ในเวลาสั้น ๆ เพียงสี่วัน อาวุธและอุปกรณ์ทั้งหมดที่ฉินเฟิงร้องขอก็สร้างขึ้นเสร็จสรรพ
ในเวลาเดียวกัน ภายใต้ ‘การฝึก’ ของจิ่งเชียนอิ่ง ชูเฟิง หนิงหู่ สวีโม่ เหล่าทหารองครักษ์ทั้งสามร้อยนายก็ด้านชาไปหมด
เป็นความด้านชา ไร้ความรู้สึก ที่สื่อถึงพลังการต่อสู้!
เมื่อฉินเฟิงสั่งรวมพลทหารองครักษ์สามร้อยนาย
กลุ่มคนที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า ‘ทหารลาดตระเวน’ ก็แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ทุกคนอกผายไหล่ผึ่ง นัยน์ตามองตรง ทั้งสนามเงียบกริบ ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
และจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากทหารสามร้อยคน ก็เหนือกว่ากองทัพประจำการทั้งหมดที่ฉินเฟิงเคยสัมผัสมาเสียอีก
ชายหนุ่มพึงพอใจกับผลการฝึกซ้อมมาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่หัวใจกลับกำลังมีเลือดไหลซิบ ๆ
“ให้ตายเถอะ! ข้าทุ่มเงินทั้งหมดก็เพื่อสิ่งนี้!”
หากสุ่มดึงทหารองครักษ์ออกมาหนึ่งคน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดคงเพียงพอที่จะฝึกทหารใหม่ได้หนึ่งกองพันแล้ว!
[1] ปืนคาบศิลา (musket) : เป็นปืนที่ใช้ดินปืนตำกรอกทางปากกระบอกปืน จากนั้นรองหมอน นุ่น หรือผ้าแล้วใส่หัวกระสุนทรงกลม ปิดด้วยหมอนอีกชั้น ปืนชนิดนี้เมื่อบรรจุกระสุนไว้ต้องถือตั้งตรงตลอด เวลาจะยิงต้องใช้ หิน ‘คาบศิลา’ (Flint) ตอกกระทบโลหะ เพื่อให้ดินปืนลุกไหม้และปล่อย กระสุนออกไป
[2] เกราะเกล็ดถัก (Scale mail) : เป็นชุดเกราะในยุคแรก ๆ ซึ่งประกอบด้วยเกล็ดขนาดเล็กจำนวนมากถักเข้าด้วยกัน
[3] ธนูมองโกล : มีแกนธนูทำจากไม้ไผ่ ประกบด้วยชิ้นส่วนเขาสัตว์แนบด้านใน โดยมีเอ็นสัตว์อยู่ด้านนอกเชื่อมด้วยกาวที่ทำจากสัตว์ มักจะใช้แรงดึงสายอยู่ระหว่าง 40-70 กิโลกรัม โดยปกติสามารถยิ่งได้ไม่ต่ำกว่า 320 เมตร ธนูบางคันอาจยิงได้ไกลถึง 500 เมตร
MANGA DISCUSSION